สปป.ลาว-เวียดนาม จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรมบริเวณชายแดนทั้ง 2 ประเทศ

เทศกาลการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหัวพันและเซินลา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 มีนาคม 2567 จังหวัดเซินลาในเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับแขวงหัวพันทางทิศตะวันออกของ สปป.ลาว และทั้งสองเมืองกำลังทำงานเพื่อพัฒนาและได้รับประโยชน์จากการเชื่อมโยงร่วมกัน นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับการแสดงทางวัฒนธรรมที่ยกย่อง ขนบธรรมเนียมและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของท้องถิ่น รวมถึงการเต้นรำแบบดั้งเดิม นิทรรศการภาพถ่าย และรายการอาหารที่แสดงถึงแก่นสารของอาหารหัวพัน โดยผู้ที่มาร่วมงานเทศกาลสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอันมั่งคั่งของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในแขวงหัวพันผ่านงานแสดงสินค้าริมถนนที่จัดแสดงอาหารและงานฝีมือท้องถิ่นยอดนิยมที่ผลิตโดยกลุ่มชาติพันธุ์ งานนี้ถือเป็นกิจกรรมที่หาได้ยากสำหรับทุกคนที่มาเยือนและนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงประสบการณ์ที่น่าสนใจอีกมากมาย

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_59_Huaphan_y24.php

สปป.ลาว-จีน ร่วมมือเพื่อพัฒนาการแพทย์แผนโบราณ

ยาแผนโบราณใน สปป.ลาว พร้อมที่จะได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้นในฐานะองค์กรเภสัชกรรมที่ดำเนินการโดยรัฐ ร่วมมือกับหน่วยงานของจีน 3 แห่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรักษาของยาแผนโบราณในประเทศ มุ่งส่งเสริมการวิจัยด้านการแพทย์แผนโบราณในประเทศลาว โรงงานเภสัชกรรมรัฐวิสาหกิจแห่งที่ 3 ได้ร่วมมือกับ Kmoeba (Zhuhai Hengqin) Biomedical Co., Ltd. ของจีน, Guangdong Engineering Center for Traditional Chinese Medicine และมหาวิทยาลัยชีหนาน ผู้ผลิตยาแผนโบราณใน สปป.ลาว ยังได้พัฒนาแคปซูลสมุนไพรเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยใช้การวิจัยและพัฒนาจากพืชสมุนไพรในท้องถิ่น เช่น ฟ้าทะลายโจร เป็นตัวยาสำคัญ ทั้งนี้ แม้ว่าการแพทย์แผนโบราณต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการใช้ยาแผนโบราณและเพิ่มขีดความสามารถผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/03/22/laos-china-collaborate-to-advance-traditional-medicine/

นักวิเคราะห์ชี้ปัญหาการเมืองเวียดนาม อาจฉุดความเชื่อมั่นนลท.ต่างชาติ

พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามอนุมัติใบลาออกของประธานาธิบดีหวอ วัน เถือง โดยระบุว่าเขาละเมิดกฎระเบียบของพรรค หลังจากเขาเพิ่งดำรงตำแหน่งได้ไม่ถึงปี รัฐบาลเวียดนามเผยแพร่แถลงการณ์ที่ระบุว่า ประธานาธิบดีหวอ วัน เถือง ละเมิดกฎระเบียบของพรรคคอมมิวนิสต์ และมีความบกพร่องจนส่งผลกระทบต่อความเห็นของสาธารณชน ชื่อเสียงของพรรค ประเทศ และตัวเขาเอง และคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจสูงสุด อนุมัติการลาออกของประธานาธิบดีเถืองแล้ว

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีมีบทบาทในทางพิธีการเท่านั้น แม้เป็น 1 ใน 4 ตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดของประเทศ

นอกจากนี้ นายฟลอเรียน เฟเยราเบนด์ เจ้าหน้าที่ประจำเวียดนามของมูลนิธิ Konrad Adenauer Foundation ซึ่งเป็นสำนักวิจัยของเยอรมนี กล่าวว่า เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความไม่มั่นใจเกี่ยวกับความสามารถในการคาดการณ์ และความน่าเชื่อถือ ซึ่งมีความสำคัญต่อการตัดสินใจด้านธุรกิจ

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/world/1118699

‘เวียดนาม’ สูญเสียสินค้าเกษตร 3 พันล้านเหรียญฯ เหตุน้ำเค็มรุกพื้นที่

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเวียดนาม เปิดเผยผลการวิจัยพบว่าการรุกพื้นที่เพาะปลูกของน้ำเค็มในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่เป็นแหล่งอาหารและแหล่งชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนหลายสิบล้านคน ได้สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะจังหวัดก่าเมาเป็นจังหวัดใต้สุดของเวียดนามที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งอาจสูญเสียเงินประมาณ 665 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะเดียวกัน สื่อของเวียดนาม ‘วีเอ็นเอ็กซ์เพรส’ อ้างถึงผลการวิจัย แสดงให้เห็นว่าเวียดนามอาจการสูญเสียพืชผลเป็นมูลค่าเกือบ 2.94 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นอจากนี้ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำประสบกับคลื่นความร้อนที่ยาวนานผิดปกติในเดือน ก.พ. ทำให้เกิดภัยแล้งในหลายพื้นที่และระดับน้ำในลำคลองของภูมิภาคลดต่ำลง

ที่มา : https://globalrubbermarkets.com/2024/03/21/vietnam-faces-3bn-annual-crop-losses-from-rising-saltwater-levels/

‘สื่อ’ เผยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเวียดนาม ส่งสัญญาเขิงบวก ปี 2567

ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าว ‘Vietnam Briefing’ เปิดเผยว่าภาพรวมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเวียดนาม ปี 2567 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และจากรายงานดังกล่าวได้อ้างข้อมูลของสำนักงานการค้าต่างประเทศที่ระบุว่าเวียดนามได้รับเม็ดเงินลงทุน FDI ของเดือน ม.ค. และ ก.พ. มูลค่ามากกว่า 4.29 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 38.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่มูลค่าการเบิกจ่ายเงินลงทุนในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ มีอุตสาหกรรมที่ได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศหลายภาคส่วน ได้แก่ เทคโนโลยี พลังงานทดแทน สุขภาพ การธนาคารและอสังหาริมทรัพย์ ในขณะเดียวกัน เวียดนามยังมีนโยบายที่เป็นมิตรกับนักลงทุน รวมถึงการลดหย่อนภาษีและมีศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่จะจัดตั้งในเมืองฮานอยและโฮจิมินห์ ทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่กำลังมองหาโอกาสการเติบโตในระยะยาวที่ยั่งยืน

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/fdi-flows-in-vietnam-forecast-to-boom-this-year/283248.vnp

ก.พลังงานและการเหมืองแร่ สปป.ลาว เผยผลสำรวจกิจการเหมืองแร่ไร้มาตรฐาน

การสำรวจของกระทรวงพลังงานและการเหมืองแร่ สปป.ลาว ระบุว่า กิจการเหมืองแร่ส่วนใหญ่ไม่ได้ดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ลงนามไว้กับรัฐบาล และได้ร้องขอการขยายโครงการจำนวนมากเมื่อไม่เป็นไปตามกำหนดเวลาและเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังพบว่า บริษัทหลายแห่งไม่ได้ดำเนินธุรกิจอย่างมืออาชีพ ไม่มีการจ้างเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคที่เกี่ยวข้อง และมีเงินทุนไม่เพียงพอ มีการใช้บริษัทนายหน้าทำหน้าที่จองที่ดินแล้วขายให้กับนักลงทุนรายอื่น ในบางกรณี บริษัทหนึ่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินโครงการหลายโครงการ ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาที่กำหนด บริษัทบางแห่งไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กำหนด เนื่องจากขาดช่างเทคนิค อุปกรณ์ และเงินทุน ขณะเดียวกันก็เกิดข้อพิพาทเรื่องที่ดินและขาดความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น อีกทั้งบริษัทหลายแห่งไม่สามารถชำระค่าธรรมเนียมสัมปทานและภาระผูกพันทางการเงินอื่นๆ ตามที่ตกลงกัน สาเหตุมาจากการขาดความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทำให้การแจ้งหนี้ล่าช้า ในขณะที่หลายบริษัทประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางการเงินและชำระเงินล่าช้าเป็นประจำ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_58_Ministry_y24.php

อุตสาหกรรมชาเผชิญกับความต้องการแรงงานท่ามกลางอุปสงค์ในท้องถิ่นที่สูงเป็นประวัติการณ์

ตามการระบุของชุมชนผู้ผลิตชา อุตสาหกรรมใบชาซึ่งมีผู้บริโภคในท้องถิ่นจำนวนมากและมีจีนเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกอันดับต้นๆ กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทั้งนี้ การบริโภคใบชาในท้องถิ่นยังคงแข็งแกร่ง ความต้องการก็ดีเช่นกัน แต่อุปทานลดลง เนื่องจากการขาดแคลนแรงงานและความยากลำบากในการขนส่ง ทั้งนี้ ผู้ประสานงานจากสมาคมชาเมียนมา กล่าวว่า จีนเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ สำหรับการส่งออกชาเมียนมาโดยสินค้าบางส่วนเข้าถึงประเทศในภูมิภาค เช่น มาเลเซีย ไต้หวัน และไทย การส่งออกชามีสองประเภทหลัก ได้แก่ แบบเปียกและแบบแห้ง ชาดำและอื่น ๆ ถูกส่งออกทางทะเล ที่เหลือส่วนใหญ่มาจากการค้าชายแดน มีการส่งออกทั้งสองเส้นทางแต่ประสบปัญหาเล็กน้อยในเส้นทางการค้าชายแดน

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/tea-industry-faces-labour-needs-amidst-ever-high-local-consumption-and-demand/

รองผู้อำนวยการอาวุโส : ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการพัฒนา MSME

พล.อ.โซ วิน รองประธานสภาบริหารแห่งรัฐ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2567 ที่กระทรวงอุตสาหกรรมในเมืองเนปิดอว์เมื่อวานนี้ โดยเขาเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของคณะกรรมการในการดำเนินการตามคำสั่งจากประธาน SAC ซึ่งรวมถึงโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปศุสัตว์ที่มีมูลค่าเพิ่ม การขยายพืชผลสำหรับน้ำมันที่บริโภคได้และวัตถุประสงค์ทางอุตสาหกรรม การเพิ่มผลผลิตผลิตภัณฑ์นม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นอกจากนี้ยังมองไปถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเน้นไปที่การส่งเสริม MSME เป็นพิเศษ เนื่องจาก MSME ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดตั้งแต่การผลิตไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ จึงมีศักยภาพที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศและสร้างโอกาสในการเติบโตมากมาย อย่างไรก็ดี หลังจากการหารือกับเจ้าของ MSME ในการประชุมระดับรัฐและระดับภูมิภาค 23 ครั้ง รวมถึงการประชุมเป้าหมาย 5 ครั้ง ประธานคณะกรรมการเน้นย้ำว่าความท้าทายหลัก 2 ประการที่ระบุคือการเข้าถึงที่ดินและเงินทุน รัฐบาลได้ให้กู้ยืมเงินผ่านกองทุนพัฒนา MSME ในความพยายามที่จะปรับปรุงทรัพยากรมนุษย์ กระทรวงต่างๆ ได้ฝึกอบรมบุคคล 91,807 คนใน 350 หลักสูตรตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ปัจจุบันมีผู้เข้ารับการฝึกอบรม 3,862 คนอยู่ระหว่างโครงการฝึกอบรม

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/vice-senior-general-foster-economic-growth-through-msme-development/#article-title