“ศก.ดิจิทัล” มีสัดส่วน 25% ของ GRDP เมืองโฮจิมินห์ ปี 2568

เศรษฐกิจดิจิทัลของเมืองโฮจิมินห์ คาดว่าจะมีสัดส่วน 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของภาคใต้ (GRDP) ในปี 2568 โดยมีการตั้งเป้าว่าให้เร่งทำการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและส่งเสริมเมืองโฮจิมินห์ให้เป็นเมืองอัจฉริยะ ทั้งนี้ ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ มองว่าการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล นับเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ไขปัญหาเพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของเชื้อโรค และก้าวไปสู่การพัฒนาที่แข็งแกร่งในอนาคต นอกจากนี้ ตามข้อมูลของสถาบันพัฒนาเมืองของโฮจิมินห์ ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจดิจิทัล มีมูลค่ากว่า 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้สัดส่วนของ GRDP ของเมืองในปี 2564 คิดเป็น 14.41% ของมูลค่าทั้งหมด และอัตราดังกล่าวจะมีสัดส่วนสูงถึง 15% ในปี 2565

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/digital-economy-to-make-up-25-of-hcm-citys-grdp-by-2025/236868.vnp

“มูดี้ส์-ฟิทช์” ยกระดับเครดิตเวียดนาม สู่ Ba2 เหตุศก.มีเสถียรภาพ

กระทรวงการคลังเวียดนาม เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ว่าทางมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส (Moody’s Investors Service) สถาบันจัดอันดับระดับสากล ประกาศยกระดับความน่าเชื่อถือของสกุลเงินในประเทศระยะยาวของเวียดนามที่ระดับ “Ba2” จาก “Ba3” และได้ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของเวียดนามเป็น “เชิงบวก” สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นต่อผลกระทางเศรษฐกิจภายนอกที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของนโยบายที่ดีขึ้น ทั้งนี้ สถาบันจัดอันดับยังคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะได้รับประโยชน์จากการปรับโครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานใหม่ รวมถึงการกระจายการส่งออกและการไหลเข้าของการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมการผลิต อีกทั้ง ผลการจัดอันดับเครดิตยังสะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการคลังของเวียดนามที่แข็งแกร่งขึ้น

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/moodys-upgrades-vietnams-ratings-to-ba2-outlook-to-stable-post968258.vov

“เวียดนาม” เผย 8 เดือนแรก การผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัว โต 9.4%

สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (IIP) ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้น 9.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หากพิจารณาการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม ยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัว เพิ่มขึ้น 15.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี เป็นผลมาจากการดำเนินธุรกิจในเรื่องของการขยายขนาดการผลิต เพื่อชดเชยกับช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งนี้ ตามรายงานของสำนักงาน แสดงให้เห็นว่าในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ผลิตอุตสาหกรรมหลักบางรายการเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ได้แก่ ชิ้นส่วนโทรศัพท์ (19.6%), รถยนต์ (13.9%) และอื่นๆ เป็นต้น นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ระบุว่าศูนย์การผลิตภาคอุตสาหกรรม มีแนวโน้มในมทิศทางที่เป็นบวก อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่สำคัญ ซึ่งผู้ประกอบการพยายามหาแนวทางที่จะฟื้นฟูการผลิต

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/industrial-production-recovers-quickly-with-growth-of-94-in-eight-months/236799.vnp

“อีคอมเมิร์ซ” กุญแจสำคัญ เพิ่มโอกาสขยายการค้าเวียดนาม-สหราชอาณาจักร

ภาคธุรกิจของเวียดนามได้รับการกระตุ้นให้มาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อที่จะขยายการเข้าถึงตลาดสหราชอาณาจักร (UK) หลังจากข้อตกลงการค้าเสรีสหราชอาณาจักร-เวียดนาม (UKVFTA) มีผลบังคับใช้แล้ว โดยสหราชอาณาจักรเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อันดับที่ 4 ของโลกที่ทำรายได้กว่า 117.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 หากพิจารณาผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดอีคอมเมิร์ซของสหราชอาณาจักร คือเว็บไซต์ร้านค้า amazon.co.uk ทำรายได้ 17.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว รองลงมา tesco.com และ argos.co.uk คิดเป็นสัดส่วนทั้งสามร้านค้ารวมกัน 30% ของรายได้ออนไลน์ในสหราชอาณาจักร

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมอิคอมเมิร์ซ เติบโตสูงถึง 53% ในปี 2564 ดังนั้น คุณ Bùi Thanh Hằng ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ ชี้ว่าข้อตกลง UKVFTA จะอนุญาติให้ใช้วิธีการใหม่ในการเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1312561/e-commerce-the-key-to-increase-bilateral-trade-between-viet-nam-and-the-uk.html

“เวียดนาม-สปป.ลาว” ตั้งเป้าดันการค้าแตะ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปัจจุบัน สปป.ลาวเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 7 ของเวียดนามในกลุ่มประเทศอาเซียน และทั้งสองประเทศยังพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายทางการค้า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เวียดนามและลาวมีพรมแดนร่วมกันมากกว่า 2,300 กม. โดยเฉพาะประตูชายแดนระหว่างประเทศ มีจำนวน 9 แห่ง, ประตูหลัก 6 แห่ง, ประตูอื่นๆ อีก 18 แห่ง และเส้นทางต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันของทั้งสองประเทศ รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 9 แห่ง

ทั้งนี้ การส่งออกของเวียดนามไปยังสปป.ลาว มีมูลค่า 594.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4% ในขณะที่การนำเข้า 778.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 69.8%

นอกจากนี้ นาย โด ทั้งห์ หาย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า กล่าวว่าเวียดนามพร้อมที่จะช่วยเหลืออุปสรรคของสปป.ลาว ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-laos-aiming-fo-2-billion-usd-in-bilateral-trade-2056831.html

“เวียดนาม” กลายเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของห่วงโซ่อุปทานในเอเชีย

Nikkei Asia สื่อยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น รายงานว่าเวียดนามกำลังดึงดูดกลุ่มผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก นอกจากบริษัทระดับโลกอย่างแอปเปิล (Apple), ซัมซุง (Samsung) และพานาโซนิค (Panasonic) ซึ่งวางแผนที่จะขยายกำลังการผลิต ในขณะที่บริษัทออกแบบชิบรายใหญ่ของสหรัฐฯ “Synopsys” เพิ่งจะประกาศว่าจะช่วยเหลือในการฝึกอบรมด้านวิศวกรและจัดตั้งศูนย์การออกแบบชิปในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากตั้งข้อสังเกตจะเห็นได้ว่าเวียดนามดึงดูดกลุ่มธุรกิจไฮเทคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ คุณ Okuda Yoshiki ที่ปรึกษาขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) กล่าวว่าในอดีตไม่เพียงแต่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่พึ่งพาการผลิตของจีน อย่างไรก็ตาม COVID-19 ทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ทำให้เกิดการย้ายโรงงานไปยังเวียดนามและยังถือว่าเป็นข้อกังวลอย่างมากต่อมุมมองของประเทศญี่ปุ่น

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-an-important-link-in-asian-supply-chain-post967774.vov

“ลอตเต้ กรุ๊ป” เล็งสร้างเมืองอัจฉริยะเชิงนิเวศและศูนย์โลจิสติกส์ในเวียดนาม

ธุรกิจค้าปลีกขนาดยักษ์ของประเทศเกาหลีใต้ “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าจะสร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและศูนย์โลจิสติกส์ในเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจที่ขยายกิจการ เพื่อวางรากฐานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ภายใต้โครงการ “Thu Tiem Eco Smart City” ด้วยมูลค่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บริษัทมีแผนที่จะสร้างอาคารสูง 60 ชั้น และมีชั้นใต้ดิน ประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ พื้นที่สำนักงาน โรงแรม ที่พักอาศัยและอพาร์ทเมนท์ในเมืองโฮจิมินห์ นอกจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่แล้วนั้น บริษัทวางแผนที่จะสร้างศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะในจังหวัดด่งนาย (Dong Nai) ภายในปี 2567 เพื่อยกระดับการนำเข้าและส่งออก

ที่มา : http://www.theinvestor.co.kr/view.php?ud=20220905000144