อุตสาหกรรมการก่อสร้างเมียนมาพร้อมต้อนรับแรงงานที่อพยพกลับประเทศ

อุตสาหกรรมการก่อสร้างของประเทศพร้อมเตรียมตำแหน่งงานสำหรับแรงงานอพยพที่มีประสบการณ์ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศเนื่องจาก COVID-19 สหพันธ์ผู้ประกอบการก่อสร้างของเมียนมาจะช่วยบริษัทก่อสร้างในท้องถิ่นให้ดำเนินการตามกระบวนการประกวดราคาของรัฐบาลหากพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งรัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการจ้างงานมากขึ้นในประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคมสถานที่ก่อสร้างเอกชนในเขตย่างกุ้งเกือบทั้งหมดหยุดชะงักเนื่องจาก COVID-19 แต่ธุรกิจเปิดใหม่และการก่อสร้างจะเริ่มต้นในช่วงเดือนมิถุนายน องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ออกโรงเตือนว่าแรงงานข้ามชาติหลายล้านคนทั่วโลกอาจเผชิญกับการว่างงานและความยากจนหลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศกลับประเทศบ้านเกิด สองเดือนที่ผ่านมามีแรงงานเดินทางกลับประเทศมากกว่า 71,000 คนจากประเทศไทย หลายพันคนกลับมาจาก จีน มาเลเซีย สิงคโปร์และเกาหลีใต้ โดยค่าแรงขั้นต่ำต่อวันคือ 4,800 จัต ในขณะที่ประเทศไทยค่าแรงขั้นต่ำต่อวันจะอยู่ที่ 325 บาทหรือประมาณ 15,000 จัต ILO กล่าวว่าด้วยนโยบายที่ถูกต้องของแรงงานอพยพอาจเป็นทรัพยากรสำคัญในการฟื้นตัวจากผลกระทบของ COVID-19 แรงงานข้ามชาติเหล่านี้จะนำความสามารถและทักษะใหม่ ๆ มาพัฒนาประเทศเมียนมาต่อไป

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-construction-industry-ready-provide-jobs-returnees.html

อัตราเงินเฟ้อลดลงท่ามกลางความต้องการที่ลดลง

จากรายงานของธนาคารโลกอัตราเงินเฟ้อในประเทศลดลงเหลือร้อยละ 8.3 ในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการที่ลดลงของผู้ประกอบการในเมียนมา เนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลงท่ามกลางวิกฤติ COVID-19  ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนและคาดว่าจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อรายปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงจากร้อยละ 9.5 ในเดือนธันวาคม 2562 เป็นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนเมษายนเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ที่เป็นตัวฉุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 13 ในเดือนเมษายนนี้คาดว่าเดือนกรกฎาคมจะลดลอีกเนื่องจากอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นเมื่อเทียบเป็นรายปี การใช้จ่ายที่ลดลงและราคาที่ลดลงคาดว่าจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อโดยรวมในปีงบประมาณ 2563-2563 ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อควรอยู่ที่ร้อยละ 7.5 ในปีงบประมาณนี้ลดลงจากร้อยละ 8.5 ของปีก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อโลกที่คาดไว้ที่อยู่ที่ร้อยละ 7.5 ในปีนี้อาจสูงกว่าอัตราของธนาคารกลางในปัจจุบันที่ร้อยละ 7 อัตราเงินฝากขั้นต่ำของธนาคารในเมียนมาคือร้อบละ 5 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ร้อยละ 10

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-inflation-declines-amid-falling-demand.html

ส่งอออกข้าวโพดเมียนมาคาดอุปสงค์ตลาดเพิ่ม

กระทรวงพาณิชย์พร้อมหนุนธนาคารปล่อยสินเชื่อเพื่อปลูกข้าวโพดในประเทศซึ่งคาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างกระทรวงกับสมาคมอุตสาหกรรมข้าวโพดเมียนมาที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 เมียนมามีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ 1.9 ล้านเอเคอร์ทั่วทั้งภูมิภาค Ayeyarwady, Nay Pyi Taw, รัฐ Shan, รัฐ Kayah และรัฐ Kayin ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่า 3 ล้านตันต่อปีตามข้อมูลของปีที่แล้ว การบริโภคภายในประเทศนั้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตทั้งหมดส่วนอีกครึ่งหนึ่งส่งออกไปยังประเทศไทยเป็นหลัก ปัจจุบันเมียนมาเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดรายใหญ่อันดับสองของอาเซียน ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2562-2563 ความต้องการข้าวโพดได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศไทยซึ่งมีความต้องการข้าวโพดเพิ่มขึ้นเนื่องจากอุตสาหกรรมและอาหารสัตว์มีปริมาณเพิ่มขึ้น จากข้อมูลพบว่าในปีนี้ส่งออกข้าวโพดไปแล้วประมาณ 1.8 ล้านตันซึ่งมากกว่าหนึ่งล้านตันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว  มากกว่าร้อยละ 60 ส่งออกไปยังประเทศไทย

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/corn-traders-myanmar-get-organised-anticipation-more-demand.html

เมียนมาลงทุนด้านการดูแลสุขภาพเกษตรและอุตสาหกรรม

เมียนมาให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการดูแลสุขภาพ การเกษตร ปศุสัตว์และการประมง และเขตอุตสาหกรรมหลังจากที่ได้รับ COVID-19 โดยมีการจัดลำดับความสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนในทั้งสามกลุ่มหลังจากได้รับ COVID-19 ในปีนี้ในด้านการดูแลสุขภาพ เช่น ธุรกิจที่ผลิตหน้ากากอนามัย อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และเจลล้างมือแต่ต้องได้รับการอนุมัติก่อน การพัฒนาระบบฟาร์มเนื้อสัตว์และการประมงเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านอาหาร การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภาคการประมงและการเกษตรประกอบคิดเป็น 1%และ 0.5% ของการลงทุนทั้งหมดในประเทศ การลงทุนจะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นและลดค่าใช้จ่ายทางและความเจ็บป่วยจากการว่างงาน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีมูลค่ารวม 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐจนถึงวันที่ 23 มิถุนายนในปีงบประมาณปัจจุบันลดลง 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเป้าหมายของคณะกรรมการการลงทุนของเมียนมา (MIC) ในช่วงปีงบประมาณก่อนหน้าได้อนุมัติการลงทุน 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามธุรกิจที่ได้รับอนุญาตมีทั้งหมด 189 ธุรกิจ ส่งผลให้มีการสร้างงานใหม่ 8,700 ตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงธุรกิจ 14 แห่งที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งร้านค้าหรือขยายกิจการในประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายได้เกือบ 200 ล้านในเมืองหลวงและสร้างงานมากกว่า 2,500 ตำแหน่ง จนถึงตอนนี้มีนักลงทุนจากสิงคโปร์ จีน และไทยได้ลงทุนมากที่สุด ปัจจุบันมี 51 ประเทศที่ลงทุนใน 12 สาขา – ไฟฟ้า 26.6% , 26% ในธุรกิจน้ำมันและก๊าซและ 14       % ในการภาคผลิต

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-lure-investments-healthcare-agri-and-industry.html

ไทยพยายามเรียกคืนแรงงานพม่ากลับเข้าประเทศ

ประเทศไทยกำลังเตรียมต้อนรับแรงงานอพยพชาวเมียนมาที่ออกประเทศภายหลังจากตกงานเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 สหพันธ์นายจ้างจัดหางานต่างประเทศเมียนมากล่าวว่ารัฐบาลไทย เมียนมาและบริษัทจัดหางานกำลังเจรจาเรื่องการดูแลสุขภาพสำหรับแรงงาน ภายใต้ข้อบังคับของไทยชาวต่างชาติต้องมีประกันสุขภาพอย่างน้อย 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (K138.1 ล้านบาท) เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษา COVID-19 แรงงานต้องถูกกักกันเป็นเวลา 14 วันด้วยโดยแรงงานต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ถึงมีนาคม 2563 เมียนมาส่งออกแรงงานประมาณ 100,000 คนมายัง ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จากข้อมูลของรัฐบาล ณ วันที่ 21 มิถุนายน มีแรงงานกว่า 71,000 คนกลับจากไทย ชาวเมียนมากว่า 4 ล้านคนที่ทำงานในต่างประเทศโดยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย เมื่อปีที่แล้วมีแรงงานกว่า 305,000 คนออกจากประเทศเพื่อทำงานและมีแรงงานที่ทำงานในประเทศ 2.3 ล้านคน แรงงานเมียนมาส่งเงินกลับประเทศประมาณ 910 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 หรือคิดเป็นประมาณ 1.06% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/thailand-seeks-return-myanmar-workforce.html

เมียนมานำเข้าลูกไก่มากกว่า 19 ล้านตัวเพื่อลดปัญหาขาดแคลนสัตว์ปีกในประเทศ

สำนักงานอุตสาหกรรมปศุสัตว์แห่งมัณฑะเลย์เผยรัฐบาลอนุญาตให้เกษตรกรนำเข้าลูกไก่มากกว่า 19 ล้านตัวเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนสัตว์ปีกที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19 นับตั้งแต่เดือนที่ผ่านมาการผลิตไก่ลดลงมากถึง 40% ราคาขายส่งไก่เพิ่มขึ้นเป็น 5,000-5,500 จัต (4 ดอลล่าร์สหรัฐ) และราคาขายปลีกอยู่ที่ 8,000-10,000 จัต ทำให้ราคาไก่ในฟาร์มเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ดังนั้นรัฐบาลจึงอนุญาตให้นำเข้าไก่จำนวน 19.2 ล้านตัวตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนกรกฎาคม ส่วนเครื่องเพาะพันธุ์ไก่มีกำลังการผลิตเพียงพอ แต่สามารถอนุญาตให้นำเข้าได้เนื่องจากการขาดแคลนอุปทาน คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติในเดือนกรกฎาคม และราคาไก่เริ่มลดลงเรื่อย ๆ โดยราคาสูงสุดจะอยู่ที่ 5,500 จัต ต่อ 1.63 กิโลกรัมและตอนนี้อยู่ที่ 4,400 จัต ผู้ผลิตสัตว์ปีกได้หันมามาทำห้องเย็นที่ทันสมัยและปรับปรุงพันธุ์จากโรงงานเพื่อรับมือกับความท้าทายจากจำนวนคู่แข่งต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในภาคนี้

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-imports-over-19-million-chicks-ease-poultry-shortage.html

เมียนมาขาดดุลงบประมาณปี 2563-2564 ประมาณ 6.8 ล้านล้านจัต

ประธานาธิบดีอู วิน หมินท์ คาดเมียนมาจะขาดดุลงบประมาณที่ 6.8 ล้านล้านจัตในปีงบประมาณ 2563-2564 หรือ 5.4% ของ GDP  มีรายได้ประชาชาติรวม 27.8 ล้านล้านจัตในปีงบประมาณ 2563-2564 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นถึง -34.6 ล้านล้านจัต ค่าใช้จ่ายจะรวมถึงการใช้จ่ายเพื่อการฟื้นฟูผลกระทบจาก COVID-19 และการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงด้านศึกษาการ สุขภาพ โครงสร้างพื้นฐาน และการเกษตร การใช้จ่ายด้านประกันสังคมและสวัสดิการเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาในขณะที่โครงการสำหรับคนพิการก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ในปีงบประมาณนี้รายได้จากภาษีคาดจะลดลง แต่รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่วนกองทุนฉุกเฉินที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้วมียอดรวม 100 พันล้านจัต เพิ่มเป็น 150 พันล้านจัต ในปี 2563-2564 ขณะเดียวกันการจัดสรรงบการใช้จ่ายสำหรับรัฐและภูมิภาคนั้นเพิ่มขึ้นจาก 267 พันล้านจัต เป็น 2.3 ล้านล้านจัต การขาดดุลคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.4% ของ GDP ในปีงบประมาณ 2563-2564 เมื่อเทียบกับ 5.9% ในปีงบประมาณปัจจุบัน 2562-2563 คาดว่าจะมีรายได้รวม 25.3 ล้านล้านจัตและมีค่าใช้จ่ายรวม 32.3 ล้านล้านจัตทำให้ขาดดุล 7 ล้านล้านจัต

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/budget-deficit-fiscal-2020-21-myanmar-k68-trillion.html