เมียนมาพร้อมอำนวยความสะดวกด้านการค้าภายในอาเซียน

อาเซียนรวมถึงรวมถึงเมียนมาจะร่วมกันเพื่อฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคโดยการเสริมสร้างการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมถึงความพยายามจัดการกับอุปสรรคทางการค้าส่งเสริมการค้าและการลงทุนและขยายสาขาของความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจของ COVID-19 โดยมีผู้นำอาเซียน ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีตกลงที่ประสานงานเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจของการระบาดไปยังประเทศของตนและภูมิภาค ซึ่งเมียนมาจะร่วมมือกันเพื่อลดขั้นตอนการนำเข้าและส่งออกภายในภูมิภาค การอำนวยความสะดวกในการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์สำหรับการป้องกัน COVID-19 และการยกเว้นอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในการนำเข้าและข้อกำหนดของ FDA (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเพื่อรักษาการหมุนเวียนของสินค้าและบริการ ยกเว้นจากการใช้มาตรการที่ไม่จำเป็นที่ส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร สินค้ายา และเวชภัณฑ์ในภูมิภาค

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-commits-facilitating-trade-within-asean.html

RTAD พร้อมดำเนินการลงทะเบียนยานพาหนะ

สำนักงานฝ่ายบริหารการขนส่งทางถนน (RTAD) จะดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์ต่อจากวันนี้สำหรับลูกค้าที่ทำการจองทางออนไลน์ที่สำนักงานเซาท์เดกอนก ลูกค้าสามารถนำรถยนต์มาตรวจสอที่บสำนักงาน ในช่วงฤดูฝนพื้นถนนรอบสำนักงานไม่สามารถใช้สัญจรได้ แต่ตอนนี้การบำรุงรักษาถนนเสร็จสมบูรณ์สำนักงานจะกลับมาใช้งานได้เป็นปกติ ค่าปรับที่เกินกำหนดจะผ่อนผันตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนถึง 31 กรกฎาคมสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนที่ถูกต้องตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2563 ค่าปรับสำหรับการต่ออายุใบขับขี่จะลดลงขึ้นอยู่กับวันหมดอายุ ส่วนการสอบการขับขี่ใหม่นั้นยังคงถูกระงับไว้ก่อน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/rtad-resumes-vehicle-registrations.html

ผลผลิตน้ำตาลเมียนมาต่ำสุดในรอบ 7 ปี

รองประธานสมาคมผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์น้ำตาลและอ้อยเมียนมากล่าวว่าการผลิตอ้อยในเมียนมาคาดว่าจะลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี ในปีงบประมาณ 2563-2564 จากความต้องการของตลาดโลกที่ลดลง เมียนมาส่งออกน้ำตาลดิบที่ไม่ผ่านการกลั่นไปยังจีน อย่างไรก็ตามจีนได้เพิ่มภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 85 และปราบปรามผู้ค้าที่ผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งนำไปสู่อุปทานส่วนเกินในปัจจุบัน เป็นผลให้การส่งออกน้ำตาลได้ลดลงในช่วงสองปีที่ผ่านมา ในอนาคตคาดว่าเกษตรกรจะลดการปลูกอ้อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีงบประมาณ 2553-2564 ที่ลดลงเหลือเพียง 350,000 เอเคอร์ หรือลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับเจ็ดปีที่ผ่านมาและเป็นสถิติต่ำที่สุด นอกเหนือจากประเทศจีนแล้วมีเพียงไม่กี่ประเทศที่นำเข้าน้ำตาล ส่วนใหญ่ที่ผลิตได้ในตอนนี้จึงถูกนำไปใช้ในการบริโภคภายในประเทศ เมื่อพื้นที่เพาะปลูกลดลงโรงงานจะปิดตัวลงอย่างช้า ๆ และอาจต้องนำเข้าน้ำตาลเพื่อบริโภคแทนเนื่องจากชาวไร่อ้อยจะไม่ปลูกถ้าไม่ทำกำไร

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-sugar-production-hit-lowest-level-seven-years.html

เมียนมาจับมือสิงคโปร์พัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นสูง

กระทรวงการวางแผนการเงินและอุตสาหกรรม (MOPFI) เลื่อนการดำเนินการตามโครงสร้างพื้นฐานภายใต้ธนาคารโครงการเมียนมาโดยร่วมมือกับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (Infra Asia) ของสิงคโปร์ โดยอินฟราเอเชียกำลังทำงานร่วมกับ บริษัท นิวย่างกุ้งดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (NYDC) เพื่อแบ่งปันความรู้เชิงวิชาการและแนวการปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างประเทศในการพัฒนาเมืองย่างกุ้งใหม่ การประเมินขอบเขตสำหรับการพัฒนาแหล่งจ่ายไฟและการจัดจำหน่าย การจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ และโครงสร้างพื้นฐานการเพื่อเชื่อมต่อไซเบอร์ ธนาคารโครงการเมียนมาเป็นแพลตฟอร์มของรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพ การประสานงาน และความโปร่งใสของโครงการลงทุนที่สำคัญในเมียนมา จนถึงขณะนี้รัฐบาลได้จัดทำโครงการพัฒนาระดับชาติ 58 โครงการในธนาคารโครงการเมียนมา

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-collaborate-singapore-advance-infrastructure-projects.html

สามประเทศอาเซียนเสนอซื้อข้าวจากเมียนมา

มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์เสนอที่จะซื้อข้าวของเมียนมา ในจำนวน 300,000 ตันและ 50,000 ตันตามลำดับ ขณะที่อินโดนีเซียยังไม่ได้ยืนยันปริมาณที่ต้องการ เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ประเทศในกลุ่มอาเซียนกำลังเพิ่มปริมาณสำรองข้าวซึ่งเป็นโอกาสสำหรับเมียนมาในการส่งออกระยะยาว แต่เมียนมาต้องชั่งน้ำหนักอุปสงค์ระหว่างประเทศสำหรับข้าวต่อความต้องการภายในประเทศ กระทรวงพาณิชย์ระงับการส่งออกในเดือนเมษายน แต่อนุญาตให้ส่งออก 150,000 ตัน จนถึงขณะนี้ได้มีการสร้างปริมาณสำรองส่งออกคิดเป็นร้อยละ 10 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดและซื้อสำรองภายในประเทศ 50,000 ตัน คาดว่าจะส่งออกข้าว 2.5 ล้านตันในปีงบประมาณ 62-63 และมีรายรับมากกว่า 542 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกข้าว 1.8 ล้านตันจนถึง 15 พ. ค. 63 ประมาณ 14 % เป็นการส่งออกผ่านชายแดน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/three-asean-countries-offer-buy-myanmar-rice.html

JICA ปรับโครงสร้างสินเชื่อเพิ่มช่องทางระดมทุนให้ธุรกิจ SMEs

กระทรวงการวางแผนการเงินและอุตสาหกรรม (MOPFI) และสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (JICA) ร่วมตั้งกองทุน 64 พันล้านจัตให้กับธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ของเมียนมาซึ่งได้รับผลกระทบเชิงจาก COVID – 19 ภายใต้โครงการฉุกเฉิน JICA โดยดำเนินการผ่าน Myanma Economic Bank และธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวนเงินกู้สูงสุดเท่ากับ 300 ล้านจัต อัตราดอกเบี้ยรายปี 5.5% ถึง 10 % ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้กู้ในการจัดหาหลักประกัน ระยะเวลาเงินกู้จะแตกต่างจากสามปีถึงห้าปี สินเชื่อในระยะ 3 ปี จะมีระยะเวลาผ่อนผัน 6 เดือนและสินเชื่อตั้งแต่สามปีถึงห้าปีจะได้ระยะเวลาผ่อนผันสูงสุดถึงหนึ่งปี

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/jica-restructures-loan-program-channel-more-funds-needy-smes.html