ราคาขายแตงโมเมียนมาในประเทศลดลงอย่างมาก

การปลูกแตงโมของเมียนมาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับตลาดจีนเป็นหลักกำลังประสบกับการชะลอตัวครั้งใหญ่ ราคาแตงโมลดลง 50% ในตลาดชายแดนมูเซ และยอดขายลดลงมากถึง 99%  ปกติชายแดนมูเซในช่วงเวลานี้จะมีพ่อค้าจากจีนถึง 600-700 คนมาซื้อในทุกๆวัน แต่ในวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมามีพ่อค้าเพียง 55 รายที่มาซื้อผลผลิตและไม่ใช่ทั้งหมดที่สนใจซื้อแตงโม ปกติแล้วแตงโมประมาณ 12,000 ตันจะถูกส่งไปขายที่จีนในทุกวัน แต่ตอนนี้ยอดขายทั้งหมดยังไม่ถึง 120 ตัน ความต้องการแตงโมจากต่างประเทศมักจะสูงกว่าในดังนั้นเกษตรกรจึงประสบปัญหาจึงไม่มีรายได้เพียงพอที่จะใช้จ่ายในการขนส่ง กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกแตงโม ผู้ผลิต และผู้ส่งออกกำลังเรียกร้องให้ผู้ซื้อภายในประเทศช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการซื้อพืชผลให้มากขึ้น

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/prices-sales-watermelons-plunge-dramatically-myanmar.html

กระทรวงอุตฯ เผยวิกฤตไวรัสโคโรนาอาจกระทบภาคการส่งออกไปยังจีน

จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม เปิดเผยว่าทางหน่วยงานจับตาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง และให้ผู้ประกอบการเตรียมรับมือกับผลกระทบจากการส่งออกในทิศทางที่เป็นลบ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกเกษตรไปยังจีน ซึ่งในปัจจุบัน คาดว่าไวรัสโคโรนายังไม่น่ากระทบต่อการค้าระหว่างเวียดนามกับจีน อย่างไรก็ตาม มีสัญญาบ่งบอกว่ายอดขายสินค้าเกษตรบางรายการไปยังจีนเริ่มชะลอตัวแล้ว เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวและความเข้มงวดในการป้องกันของไวรัส ทำให้การส่งออกมีความยากลำบากมากขึ้น ทั้งนี้ ทางกรมส่งเสริมการค้าได้แนะนำให้ผู้ประกอบการเวียดนามเตรียมค้นหาตลาดอื่นๆ เพื่อให้มาทดแทนกับตลาดจีน สำหรับตัวเลขสถิติการค้าระหว่างประเทศ พบว่าในปี 2562 ยอดส่งออกสินค้าของเวียดนามอยู่ที่ 41.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ที่มาจากสินค้าเกษตรกรรม โดยจีนยังคงเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม

ที่มา : https://www.vir.com.vn/coronavirus-might-affect-exports-to-china-ministry-73553.html

เมียนมาเล็งหาตลาดส่งออกใหม่หลังการระบาดของไวรัสโคโรน่าในจีน

เมียนมาเร่งขยายการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ เพื่อชดเชยต้องการที่ของจีนซึ่งกำลังได้รับผลดระทบจากไวรัสโคโรนา ที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 14,000 คนและเสียชีวิตกว่า 300 รายส่วนใหญ่มาจากมณฑลหูเป่ย ปัจจุบันการส่งออกแตงหยุดชะงักและราคาได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงมีการเตรียมการที่จะส่งสินค้าไปยังตลาดอื่น ๆ มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของอุปสงค์จากจีน โดยมีการวางแผนในการส่งออกสินค้าทางอากาศและทางทะเลเพื่อชดเชยการค้าที่ชายแดนที่ลดลง นับตั้งแต่มีการระบาดของโคโรนาไวรัสจีนได้หยุดการนำเข้าแตงและเก็บสต๊อกผลไม้ในมณฑลยูนนาน ประมาณ 80 %ของการค้าชายแดนทั้งหมดเกิดขึ้นที่ด่านมูเซ ปริมาณการค้าชายแดนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐระหว่างวันที่ 1 ตุลาคมถึง 24 มกราคมของปีงบประมาณปัจจุบัน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-hedge-against-slower-china-trade-due-coronavirus.html

รอบสองเดือนการค้าเมียนมา-จีน แตะ1.337 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

มูลค่าการค้าระหว่างเมียนมาและจีนอยู่ที่ 1.337 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสองเดือนของปีงบประมาณนี้และเมียนมามีดุลการค้าเนื่องจากนำเข้าสินค้าเพียง 551 ล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออกมูลค่ากว่า 785 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งสองประเทศเปิดศูนย์ธุรกิจและดำเนินการเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการลงทุนตามที่กระทรวงกำหนด กระทรวงพาณิชย์ของเมียนมาลงนาม MoU กับจีนเพื่อจัดตั้งเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจชายแดน (EOI) และเชิญให้นักธุรกิจท้องถิ่นเข้าร่วมในพื้นที่ดังกล่าวเช่น Muse, Nantkhan, Kanpiketie, Laukkai และ Chinshwehaw

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-china-trade-volume-reaches-to-us1337-b-within-two-months

ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน ส่งผลธุรกิจให้มีการเติบโตสูงขึ้น

เมื่อเร็วๆนี้ สหรัฐฯ และจีน ลงนามในข้อตกลงการค้าเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจ นับว่าเป็นข่าวดีต่อผู้ประกอบการเวียดนามที่จะรองรับกับความท้าทายและโอกาสในการทำธุรกิจที่จะเกิดขึ้น โดยหัวหน้าสถาบันเศรษฐกิจและนโยบายเวียดนาม (VEPR) ระบุว่าสหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มที่จะหาทางจัดการกับความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีนที่ส่งสัญญาว่าจะปฏิบัติตามหลักเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ จากผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคาร ระบุว่าในปัจจุบัน สหรัฐฯและจีนต่างถอยออกมาจากภาวะสงครามการค้า ซึ่งทางสหรัฐฯได้ถอดจีนออกจากรายชื่อผู้บิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนแล้วและจีนจะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแต่ก็ยังลำบากว่าผลจะออกเป็นอย่างไร ซึ่งสงครามการค้าจะมีผลต่อเศรษฐกิจเวียดนามทั้งในแง่ที่ได้รับประโยชน์และเสียผลประโยชน์ เนื่องจากผลของการค้าทั้งสหรัฐฯและจีน จะทำให้เสียโอกาสในการขายทั้งสองประเทศดังกล่าว ในทางกลับกัน สินค้าจำนวนมากที่มาจากสหรัฐฯและจีน จะโอนย้ายมายังเวียดนามและสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจในประเทศ แต่ในข้อตกลง CPTPP และ EVFTA จะส่งผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจเวียดนามในระยะยาว

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/571326/us-china-trade-deal-forces-firms-to-grow.html

พาณิชย์ เร่งหารือจีน ดันตลาดกลางผลไม้

อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ จะดำเนินการเชื่อมโยงตลาดกลางสินค้าเกษตรที่จำหน่ายผลไม้ในความส่งเสริมของกรมฯ กับตลาดกลางผลไม้ของจีน เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลไม้ไทยเข้าสู่ตลาดจีน ซึ่งเป็นการดำเนินการล่วงหน้ารองรับผลไม้ที่กำลังจะออกสู่ตลาด ทั้งลิ้นจี่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลำไย เป็นต้น การเชื่อมโยงตลาดกลางผลไม้ของไทยกับตลาดผลไม้ของจีน จะช่วยให้ผลไม้ไทยมีโอกาสในการส่งออกไปยังจีนได้เพิ่มขึ้น เพราะตลาดที่อยู่ในความส่งเสริมในปัจจุบันประมาณ 20 แห่ง ทั้งนี้กรมฯ มีแผนจะผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์จัดชั้นคุณภาพสินค้าเกษตร (AGQC) จะให้บริการในด้านต่างๆ เช่น การคัดแยกคุณภาพสินค้า การตรวจสอบสารพิษสารตกค้าง การตรวจสอบโรคพืชและแมลง การบรรจุหีบห่อ และการเก็บรักษาคุณภาพสินค้า สำหรับผลไม้ที่ผ่านการตรวจสอบจากศูนย์ฯ จะได้รับตรา AGQCไปติดไว้ ทำให้ผู้ซื้อเชื่อมั่นได้ว่าเป็นผลไม้ที่ดี มีคุณภาพและไม่ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพซ้ำอีกเมื่อสินค้าไปถึงปลายทางลดปัญหาผลไม้ช้ำเสียหาย เพราะเป็นสินค้าที่มีเงื่อนไขเรื่องเวลา การเก็บรักษา ส่วนมาตรการดูแลดูแลผลไม้ในภาพรวม กรมฯ ได้เตรียมมาตรการรับมือไว้แล้ว เช่น การดึงผู้ประกอบการและโรงงานมาทำสัญญาซื้อขายกับเกษตรกร การระบายผลไม้ผ่านห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า และร้านธงฟ้า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคและจำหน่ายผลไม้ การเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่รับซื้อผลไม้ การดูแลโรงคัดและบรรจุผลไม้ (ล้ง) ให้รับซื้อเป็นธรรม เป็นต้น

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/862551?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

ยอดการค้าระหว่างเวียดนามกับจีน ทะลุ 117 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากรายงานของกรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศในปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกและนำเข้ารวมอยู่ที่ 517.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งมูลค่าการส่งออกสินค้าอยู่ที่ 264.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ขณะที่ มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 253.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 สำหรับยอดเกินดุลการค้าในปีที่แล้วอยู่ที่ 11.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งนี้  จีนยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.6 ของยอดการค้ารวมในปีที่แล้ว) อย่างไรก็ตาม มูลค่าการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นผลมาจากการนำเข้าสินค้าจากจีนเติบโตอย่างมาก ขณะที่ เวียดนามส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ดังนั้น ดุลการค้าระหว่างเวียดนามกับจีน จึงขาดดุลการค้ามากกว่า 34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/571193/viet-nam-china-import-export-turnover-reaches-117-billion.html

กัมพูชานำเข้าก๊าซธรรมชาติ LNG จากบริษัทในประเทศจีน

Natural Gas Co Ltd ของกัมพูชา และบริษัทจีน CNOOC Gas Power Group Co Ltd ร่วมมือกันในการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อจัดจำหน่ายภายในตลาดกัมพูชา โดยเจ้าหน้าที่ของบริษัทกล่าวว่าความร่วมมือในการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ในตลาดท้องถิ่นเนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายมุ่งเน้นไปที่กลุ่มโรงแรมและร้านอาหารในแผนขั้นแรก ซึ่งเจ้าหน้าที่บริหาร Natural Gas ของกัมพูชากล่าวว่าตู้บรรจุก๊าซ LNG ถูกส่งจากจีนและมาถึงที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ของกัมพูชาแล้ว โดยความต้องการการบริโภค LNG ในกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของการใช้ LNG ในประเทศอื่นๆ ซึ่งบริษัทวางแผนที่จะขยายไปยัง 25 เมืองหลวงของกัมพูชา ปัจจุบันได้มุ่งเน้นไปที่กรุงพนมเปญและจังหวัดพระสีหนุ ตามสถานทูตจีนในกัมพูชา บริษัท CNOOC Gas & Power Group จำกัด ร่วมมือกับกลุ่มกัมพูชา Natural Gas เพื่อบรรลุการส่งออกก๊าซธรรมชาติของจีนไปยังประเทศกัมพูชาเป็นครั้งแรก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50680059/lng-imported-from-china-to-cambodia

ความร่วมมือสปป.ลาว – จีนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและการเกษตรในสะหวันนะเขต

หน่วยงานสปป.ลาวและบริษัทจีนจะสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมและการเกษตรในเมืองเซโปน แขวงสะหวันนะเขต ซึ่งบริษัท ซันเปเปอร์โฮลดิ้งลาว จำกัด จะให้การสนับสนุนมากกว่า 177 พันล้านกีบ (20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อดำเนินโครงการบนที่ดิน 800 เฮกตาร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและการลงทุนในแขวงสะหวันนะเขตและผู้อำนวยการ บริษัท ซันเปเปอร์โฮลดิ้งลาว จำกัด ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับโครงการ โดยมีแผนที่จะจัดสรรที่ดินเพื่อการเพาะปลูก การเลี้ยงปลาและการปลูกต้นไม้เพื่อการผลิตที่ยั่งยืนที่จะสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น หน่วยงานและบริษัทยังวางแผนที่จะพัฒนาพื้นที่โครงการ 800 เฮกตาร์เป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยสร้างเพื่อรับรองผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-chinese-partnership-develop-industry-and-agriculture-savannakhet-111968

นักลงทุนชาวจีนกระตือรือร้นที่จะหาโอกาสการลงทุนในสปป.ลาว

นักธุรกิจจีนมีความสนใจในการลงทุนในด้านต่าง ๆ ในสปป.ลาว โดยเมื่อวันที่ 6 มกราคมมีการประชุมของผู้ประกอบการสปป.ลาวและจีนโดยมีการหารือในรายละเอียดการส่งเสริมผู้ประกอบและการส้รางบรรยากาศที่ดีในการลงทุน ซึ่งเป้าหมายที่นักธุรกิจจีนสนใจจะลงทุนครอบคลุมตั้งแต่ภาคอุตสหกรรมในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงาน การผลิตกระดาษ ไปจนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางพิเศษ โรงพยาบาล และท่าเรือรวมถึงการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษอีกด้วย นอกจากนี้การประชุมดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้สร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจและเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการสปป.ลาวและจีนมีโอกาสในการร่วมทุนในอนาคต ผลของการจัดประชุมครั้งนี้จะทำให้มีนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุนในสปป.ลาวมากขึ้นนอกเหนือจาก เศรษฐกิจที่จะขยายตัวจะรวมถึงการได้เรียนรู้และพัฒนาจากเทคโนโลยีของต่างชาติที่เข้ามาอีกด้วย

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/chinese-investors-keen-find-investment-opportunities-laos-111891