อาเซียน-จีน หารือเปิดตลาดสินค้า-ลงทุนเพิ่มเติม ไทยเสนอจีนหนุนเชื่อมเส้นทางคุนหมิง-เชียงราย เพิ่มโอกาสการค้า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน และอาเซียน-ฮ่องกง โดยระบุว่าจากการหารือระหว่างอาเซียนกับจีนนั้น เนื่องจากมีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ตั้งแต่ปี 2548 มูลค่าการค้าระหว่างอาเซียน-จีน อยู่ที่ระดับดับ 4.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าจีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียน โดยจะยกระดับความร่วมมือในอีก 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.การเปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติม 2.การปรับปรุงกฎระเบียบเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้าให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับการค้ายุคใหม่ และ 3.การเตรียมเปิดเสรีการลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งทางจีนมีกองทุนสำหรับช่วยสนับสนุนการดำเนินการของอาเซียนด้วย และที่ผ่านมาสนับสนุนเงินกองทุนแก่อาเซียน 300 ล้านหยวน โดยจะเพิ่มอีก 50 ล้านหยวน ในโครงการต่างๆ เช่น โครงการแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการท่องเที่ยวในอาเซียน โครงการฝึกอบรมผู้ประกอบการรวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎระเบียบถิ่นกำเนิดสินค้า เป็นต้น ทางการไทยได้เสนอใช้เงินจากกองทุนของจีนใน 3 โครงการสำคัญ คือ 1.โครงการเส้นทาง R3A ซึ่งเชื่อมเส้นทางระหว่างคุณหมิงกับเชียงราย โดยได้เสนอเรื่องนี้เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าระหว่างกัน เป็นการค้าข้ามพรมแดนที่จะเป็นประโยชน์กับไทยต่อไปในอนาคต 2.โครงการพัฒนานักธุรกิจรุ่นใหม่ และ 3.โครงการแพลตฟอร์มสำหรับการค้าและนักธุรกิจรุ่นใหม่

ที่มา: https://www.ryt9.com/s/iq03/3039204

ดีไอทีพี เปิดเวทีรวมกลุ่มผู้นำเศรษฐกิจ CLMVT

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ คณะกรรมการบริหารสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (ที่ 3 จากซ้าย)เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “CLMVT PLUS EXECUTIVE PROGRAM ON NEW ECONOMY 2019” เวทีแลกเปลี่ยนกลยุทธ์จาก 69 ผู้นำทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาเซียน เพื่อส่งเสริมนโยบายในการสร้างเครือข่ายผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสร้างแนวคิดและความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการยกระดับศักยภาพธุรกิจในภูมิภาค โดยมีนายวิทยากร มณีเนตร รองอธิบดีกรมส่งเสริม การค้าระหว่างประเทศ(คนที่ 2 จากซ้าย) และนายนันทพงษ์    จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่(NEA) (คนที่ 1 จากซ้าย) ร่วมพิธีเปิด สำหรับกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิลเลนเนียมฮิลตัน กรุงเทพฯ

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/prg/3035058

DEMCO เดินหน้าขยายธุรกิจใน CLMV พร้อมชิงงานใหม่ต่อเนื่อง แม้ตุน Backlog ได้แล้วกว่า 3 พันลบ.

บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจไปยังประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศมีการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ถือเป็นโอกาสในการเข้าไปบุกตลาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้รับงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าย่อยมาแล้ว เพื่อเพิ่มฐานรายได้ และกระจายความเสี่ยงธุรกิจต่อไป นอกจากนี้ยังมีแผนจะยื่นประมูลงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนที่เปิดให้ยื่นประมูลราว 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ล่าสุดได้งานโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินมูลค่า 958.078 ล้านบาท ส่งผลให้มีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.3 พันล้านบาทเป็น 3.2 พันล้านบาท สำหรับงานโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินดังกล่าวนั้น บริษัทได้เข้าทำสัญญากับกิจการร่วมค้าเอดับบลิวดี ให้ดำเนินการงานออกแบบวิศวกรรม จัดหา ก่อสร้าง โครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2 ของบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (ครอบคลุมถนนสายหลัก สายรอง ถนนโครงข่ายและซอย พื้นที่เขตดินแดง วัฒนา ห้วยขวาง สะพานสูง หนองจอก รวมถึงพื้นที่บางส่วนของเขตสวนหลวง มีนบุรี ลาดกระบัง ราชเทวี คลองเตย วังทองหลาง บางกะปิ ประเวศ คลองสามวา ) ระยะทางรวม 121 กิโลเมตร มีระยะเวลาในการก่อสร้างรวม 2 ปี

ที่มา: https://www.ryt9.com/s/iq05/3030389

รมว.คลังมั่นใจ GDP ปีนี้เติบโตได้ถึง 3%

รมว.คลัง มั่นใจ GDP ปีนี้ยังโตได้ร้อยละ 3 เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.16 แสนล้านบาท เข้า ครม. พรุ่งนี้ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของปี 2562 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 นั้น มองว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ไม่ได้ต่ำเกินความคาดหมาย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีความผันผวนมาก สงครามการค้า และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลต้องมีการออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตต่อไปได้ สำหรับวันพรุ่งนี้ กระทรวงการคลังเตรียมเสนอชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 3.16 แสนล้านบาท เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1.ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.บรรเทาค่าครองชีพสำหรับเกษตรกรผู้ประสบปัญหาภัยแล้ง และ 3.กระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ โดยเชื่อว่าหาก ครม. เห็นชอบมาตรการทั้งหมด จะช่วยกระตุ้น GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.55 ทำให้ยังมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 3 ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้จะเริ่มใช้ได้ปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน

ที่มา: https://mgronline.com/stockmarket/detail/9620000079184

ตั้งวอร์รูมกู้วิกฤตส่งออก เจาะ 5 ตลาดเป้าหมาย-เร่งค้าชายแดน

ภายหลังจากช่วงครึ่งปีแรกส่งออกไทยติดลบ 2.91% จากพิษสงครามการค้า และอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าอย่างหนักในรอบ 6 ปี กลไกการทำงานรัฐ-เอกชน ที่เรียกว่า “คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ หรือ กรอ.พาณิชย์” ตามนโยบายของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้เริ่มประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในการตั้งคณะกรรมการวอร์รูม (War Room) เพื่อทำหน้าที่ติดตามประเมินสถานการณ์และวางแนวทางเจาะตลาดเป้าหมาย รวมถึงสินค้าเป้าหมายในแต่ละตลาดอย่างเร่งด่วนให้เห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมภายใน 3-6 เดือน สำหรับตลาดมี 5 ตลาดหลัก คือ ตลาดกลุ่มอาเซียน และกลุ่ม CLMV จีน อินเดีย และตลาดตะวันออกกลาง เช่น ตลาดอิรัก ซึ่งที่เป็นตลาดสำคัญในการส่งออกข้าว รวมไปถึงกาตาร์ จอร์แดน คูเวต เป็นต้น ผลักดันและเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน ลดอุปสรรค ด้านสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เสนอให้ผลักดันการส่งออกควบคู่กับการตั้งวอร์รูม ผลักดันการเปิดตลาดและเจรจาการค้า เน้นเปิดตลาดใหม่ และฟื้นตลาดเดิมที่ซบเซา ขณะที่ นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ยื่น 6 ข้อเสนอสมุดปกขาว ประกอบด้วย 1.การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน 2.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอกชน ยกระดับเอสเอ็มอี สินค้า บริการ ให้มีคุณภาพและมาตรฐานสากล 3.การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ 4.สนับสนุนโครงการที่สำคัญของภาครัฐให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 5.เสริมสร้างธรรมาภิบาล และความรับผิดชอบต่อสังคม และ 6.ยกระดับทักษะความรู้และคุณภาพชีวิตทรัพยากรมนุษย์

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-361651

กระทรวงพลังงานเร่งศึกษาเปิดสัมปทานแหล่งสำรวจปิโตรฯใหม่

รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมมอบนโยบายด้านพลังงาน โดยการเปิดประมูลสัมปทานแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 63 ส่วนปัญหาพื้นที่ทับซ้อนแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ไทย กัมพูชา จะเร่งทำให้แล้วเสร็จก่อนปี 65 โดยจะดำเนินภารกิจในการใช้พลังงานสร้างเศรษฐกิจฐานราก และเดินหน้าเรื่อง “พลังงานชุมชน” ที่อยู่ระหว่างการศึกษา โดยมีเป้าหมายลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และมีนโยบายเปิดกว้างให้กับนักลงทุน หรือผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ในการร่วมลงทุนร่วมกับชุมชน รวมถึงนโยบายผลักดันสินค้าเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ไบโอแก๊ส ไบโอแมส ที่อยู่ระหว่างการจัดทำแผนให้สอดรับกับนโยบายการผลิต ทั้งนี้ในมิติที่ 2 กระทรวงฯ จะเน้นสร้างการเป็นผู้นำด้านพลังงานอาเซียนโดยจะทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมต่อกับผู้เชี่ยวชาญบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ให้ได้โนวฮาวที่ดี และเข้มแข็ง เพื่อยกระดับด้านพลังงานในระดับสากล ไม่เฉพาะแค่ใน CLMV เพื่อให้เติบโตเร็วขึ้น

ที่มา : https://www.mitihoon.com/2019/08/15/129235/

สงครามการค้าพ่นพิษพ่อค้าจีนเริ่มเบี้ยวหนี้

หอการค้าไทยเผยได้รับการร้องเรียนจากผู้ส่งออกผลไม้ไทยถูกพ่อค้าจีนเบี้ยวหนี้หลังจากจีนประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจากสงครามการค้า นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับร้องเรียนจากสมาชิกหอการค้าไทยและผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ไทยว่าถูกนักธุรกิจในประเทศจีนเบี้ยวเงินค่าผลไม้ ต้องการให้รัฐบาลเร่งช่วยเข้าไปช่วยเหลือเนื่องจากผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี นอกจากนี้ต้องการให้ ช่วยเจรจากับสถาบันการเงิน เนื่องจากในระยะหลังการปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจค้าขายกับจีนค่อนข้างที่เข้มงวดมาก อยากให้มีการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน ภาพรวมยอมรับว่าการส่งออกที่ชะลอตัวของไทยมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องลดกำลังการผลิต ลดการทำงานล่วงเวลา (โอที) ของพนักงานซึ่งจะกดดันรายได้แรงงานให้ลดลงตาม กลุ่มธุรกิจเอสเอมอีหลายรายที่ทำธุรกิจกับจีนก็เริ่มได้รับผลกระทบส่งสินค้าไปแล้วมีทั้งเก็บเงินไม่ได้ และบางรายยังถูกเบี้ยวหนี้

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/725488

หอการค้าเสนอแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยดูแลบาทเพิ่มอีก ห่วงเกษตรอ่วมสุด

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังจากหารือกับนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ ธปท. ว่าทางเอกชนขอบคุณ ธปท. ที่ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% อยู่ที่ 1.50% ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ในระดับหนึ่งแต่อย่างไรก็ตามยังมีความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาต่อเนื่องในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมาคาดหวังว่าจะมีมาตรการอื่นๆออกมาอีก ซึ่งในส่วนข้อเสนอของทางหอการค้าที่ได้เสนอ ธปท.ให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกเพื่อดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุน ซึ่งปัญหาของไทยคือเรื่องของโครงสร้างเศรษฐกิจที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงโดยระยะต่อไปทั้ง ธปท.และภาคเอกชนอาจจะต้องหารือร่วมกันเพื่อให้โครงสร้างเศรษฐกิจเหมาะสมในการดูแลค่าเงินบาท 

ที่มา : https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1617558

เวียดนามสืบสวนการทุ่มตลาดสำหรับพลาสติกจากประเทศจีน มาเลเซีย และไทย

เวียดนามดำเนินการตรวจสอบการทุ่มตลาดสำหรับวัตถุดิบพลาสติกจากบริษัทจีน ไทย และมาเลเซีย ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม โดยการสอบสวนได้เริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ผ่านมา ตามข้อร้องเรียนจากผู้ผลิตพลาสติก 2 กลุ่ม ได้แก่ บริษัท Hung Nghiep Formossa จากประเทศไต้หวันและบริษัท  Youl Chon Vina จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งการ นำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกจากทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว ล้วนสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ เป็นผลมาจากบริษัทดังกล่าวมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 77 ของผลผลิตพลาสติกเวียดนาม โดยหลายๆบริษัทได้เสนออัตราภาษีสำหรับสินค้าพลาสติก จากประเทศจีน มาเลเซีย และไทย ทั้งนี้ ได้มีการประกาศเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดชั่วคราวสำหรับสินค้าอลูมิเนียมที่มาจากประเทศจีน และวัสดุไม้ มาจากประเทศไทยและมาเลเซีย

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/industries/vietnam-investigates-plastic-dumping-by-china-malaysia-thailand-3964222.html

การร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับหลักทรัพย์ฯของไทยและกัมพูชา

หน่วยงานกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศกัมพูชาและประเทศไทยได้ประกาศแผนการที่จะทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมตลาดทุนภายในประเทศ โดยตกลงว่าจะทำการส่งเสริมและพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ของกัมพูชาทั้งยังเคยลงนามทำ MoU ระหว่าง SECC และ SEC Thailand ขึ้นในปี 2557 และทางกัมพูชาได้เสนอให้มีการลงนามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์ข้ามพรมแดนและการออก DR การเสนอขายหลักทรัพย์ข้ามพรมแดนจะช่วยขยายธุรกิจของผู้ออกตราสาร เพิ่มสภาพคล่อง และเป็นการเข้าถึงนักลงทุนที่มีศักยภาพมากขึ้น โดย CSX ได้เปิดตัวในปี 2555 แต่จนถึงปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนเพียงแค่ 5 บริษัท ซึ่งในไม่ช้า CSX จะทำการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินออกมาเพิ่ม ถือเป็นการสร้างทางเลือกให้กับนักลงทุน และมากไปกว่านั้นจะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนแล้วทำ IPO มากยิ่งขึ้น โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาตลาด CSX มีการระดมทุนไปแล้วที่ 120 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50630865/cambodian-thai-bourse-regulators-to-work-together/