การค้าระหว่างกัมพูชาและสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 33% สู่ 585 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมกราคม

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและสหรัฐอเมริกามีมูลค่าอยู่ที่ 585 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมกราคม 2563 เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยตัวเลขรายงานจากสำนักงานการค้าของสหรัฐฯแสดงให้เห็นว่าการส่งออกของกัมพูชาไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 38% เป็น 560 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่การนำเข้าจากสหรัฐฯอยู่ที่ 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลงจาก 34.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาพบว่าสินค้าส่งออกของกัมพูชาส่วนใหญ่ที่ส่งไปยังสหรัฐอเมริกา ได้แก่ สิ่งทอ รองเท้า สินค้าการท่องเที่ยวและสินค้าเกษตร ขณะที่สหรัฐฯส่งออกยานพาหนะ อาหารสัตว์และเครื่องจักรเป็นส่วนใหญ่ ในปี 2562 การค้าระหว่างประเทศมีมูลค่าอยู่ที่ 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50708596/cambodia-u-s-trade-volume-up-by-33-percent-to-us585-million-in-january/

สหรัฐฯ ดึงดูดการลงทุนของเวียดนามสูงสุด ในช่วง 3 เดือนแรก

เวียดนามลงทุนไปยังต่างประเทศ ด้วยมูลค่า 49.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 สหรัฐอเมริกายังคงเป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนของเวียดนามไปยังต่างประเทศสูงที่สุด โดยเวียดนามมีโครงการจดทะเบียนการลงทุน 78 โครงการ ด้วยมูลค่า 22.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ โครงการที่ปรับเพิ่มเงินทุนจำนวน 6 โครงการ ด้วยมูลค่า 26.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสาขาธุรกิจที่ได้รับการลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจบริการด้านที่พักและอาหาร มูลค่า 14.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 29.9 ของการลงทุนทั้งหมดโดยมาจากบริษัทเวียดนาม รองลงมาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และด้านการผลิต ซึ่งในช่วงไตรมาสแรก สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้รับทุนรายใหญ่ที่สุดจากเวียดนาม มูลค่า 20.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40.8 ของการลงทุนทั้งหมด รองลงมาสิงคโปร์และกัมพูชา ทั้งนี้ จากข้อมูลของหน่วยงานการลงทุนในต่างประเทศ ระบุว่าในเดือนม.ค.-มี.ค. เวียดนามมีโครงการจดทะเบียนใหม่ 758 โครงการ ด้วยมูลค่า 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแง่ของเงินทุนโครงการที่ปรับเพิ่มเงินทุน 230 โครงการ มูลค่า 1.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วยร้อยละ 82 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/us-attracts-most-vietnamese-investment-in-three-months/170914.vnp

เวียดนามส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์พุ่งสูงขึ้นไปยังสหรัฐฯ ในช่วง 2 เดือนแรก

จากรายงานของกรมศุลกากร เผยว่าเวียดนามส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไปยังสหรัฐฯ ด้วยปริมาณอยู่ที่ 17,900 ตัน คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ 126.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21, 3.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยราคาส่งออกเฉลี่ยของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในช่วง 2 เดือนแรก อยู่ที่ 7,046 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับตลาดสหรัฐฯ เนเธอแลนด์และจีนยังคงเป็นตลาดส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ทั้งนี้ สมาคมเม็ดม่วงหิมพานต์เวียดนาม ระบุว่าอุตสาหกรรมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ของเวียดนาม คาดว่าจะได้รับความลำบากในการส่งออกช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสินค้าล้นตลาด ซึ่งการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว มีความเสี่ยงหลายประการด้วยกันและเกิดความผันผวนของตลาดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ทางหน่วยงานแนะนำให้ผู้ประกอบการประเมินอย่างรอบด้านก่อนที่จะทำสัญญาซื้อเม็ดมะม่วงหิมพานต์(ดิบ) โดยไม่มีทางออก และควรติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แผนการผลิตเป็นไปอย่างเหมาะสมและตั้งเป้าแผนธุรกิจในปีนี้ รวมถึงแนะนำให้อุตสาหกรรมในประเทศพัฒนาคุณภาพต่อเนื่องและค่อยปรับปรุง/ซ่อมแซ่มเครื่องจักร อุปกรณ์ เป็นต้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/654034/viet-nams-cashew-exports-to-us-up-in-two-months.html

เวียดนามยังคงนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของกรมศุลกากร เปิดเผยว่าสหรัฐอเมริกาเป็น 1 ในแหล่งวัตถุดิบรายใหญ่ที่สุดจากเวียดนาม และมีการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่แล้ว พบว่ามูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 14.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 18  รวมถึงคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบด้วยมูลค่า 14.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้นร้อยละ 84.3 ด้วยมูลค่า 826.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ การนำเข้าสินค้าอื่นๆ เริ่มต้นเพิ่มขึ้นในช่วงปีนี้ ได้แก่ อาหารทะเลและวัตถุดิบอาหารเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้าทำให้ราคาลดลง เป็นผลมาจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ ทางผู้อำนวยการบริษัทเทรดดิ้งอาหารทะเลระหว่างประเทศ ระบุว่าการส่งออกล็อบสเตอร์ของสหรัฐฯไปยังจีนลดลง เนื่องมาจากราคาสินค้าและทำให้ต้องนำเข้าจากเวียดนามพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้คนไม่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านเท่าไรนัก เนื่องจากความกังวลต่อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้อุปทานของภัตตาคารลดลง แต่ในทางกลับกัน จำนวนผู้คนที่ทำอาหารในบ้านเพิ่มสูงขึ้น

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vn-imports-of-us-goods-continue-to-rise-411376.vov

สหรัฐอเมริกาสนับสนุนงบประมาณแก่สปป.ลาวในการป้องกัน Covid-19

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนงบประมาณ 1.9 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในการช่วยเหลือสปป.ลาว .ในการป้องกันการแพร่กระจายของ Covid-19 และยังมีการพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุขของสปป.ลาวเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านสาธารณสุขมากขึ้น โดยโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกรมควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (DCDC)และกระทรวงสาธารณสุขสปป.ลาวภายใต้การสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) อีกด้วย ทำให้การดำเนินการดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ในปัจจุปันนอกจากปัญหาเรื่องความยากจนที่เป็นปัญหาเรื้อรังของสปป.ลาวที่กำลังเผชิญอยู่ ปัญหาที่สำคัญอีกอย่างที่ต้องได้รับการแก้ไขคือปัญหาการเข้าถึงระบบสาธารณสุขต่างๆ ของสปป.ลาวที่ในปัจจุบันมีประชากรมากกว่าร้อยละ 50 ที่ได้รับการรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการได้รับเงินสนับสนุนดังกล่าวไม่เพียงเป็นการช่วยสนับสนุนการป้องกันไวรัส Covid-19 แต่จะทำให้ระบบสาธารณสุขของสปป.ลาวมีความั่นคงและประสิทธิภาพมากขึ้น

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_USA_53.php

โอกาสในการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคเวียดนามเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ : สัมมนา

งามสัมมนาเรื่องการส่งเสริมในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ที่จะจัดขึ้นในวันอังคาร นครโฮจิมินห์, ผู้อำนวยการบริษัท Vietway เปิดเผยว่าบริษัทฯดำเนินการขายสินค้าเวียดนามในสหรัฐฯ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งในหลายๆประเทศทั่วโลก รวมถึงเวียดนามเห็นว่าตลาดสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกหลัก ทั้งนี้ สถานการณ์การส่งออกสินค้าเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะเน้นส่งออกสินค้าสมาร์ทโฟน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้าและเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทต่างชาติ ในขณะเดียวกัน สินค้าอุตสาหกรรมที่เจ้าของเป็นบริษัทเวียดนามได้เผชิญกับอุปสรรคจากการส่งออกในตลาดโลก ทั้งนี้ สหรัฐฯ ถือว่ามีความเข็มงวดต่อการนำเข้าสินค้า แต่ก็มีความต้องการนำเข้าสินค้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นสินค้าไฮเทคไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาถูก ซึ่งเป็นจุดแข็งของสินค้าเวียดนาม นอกจากนี้ จากตัวเลขสถิติการค้า พบว่าในสิ้นเดือนม.ค. 2563 มูลค่าส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/592126/opportunities-to-boost-consumer-goods-exports-to-the-us-market-seminar.html

ตัวแทนบริษัทจากสหรัฐอเมริกาจะไปเยือนกัมพูชา

ตัวแทนจาก 16 บริษัท จากสหรัฐอเมริกาจะไปเยือนกัมพูชาในสัปดาห์นี้เพื่อสำรวจแนวโน้มล่าสุดในภาคเกษตรกรรมของประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักเช่น Amazon, John Deer, IBM, Walmart, US Grains Council และ Sripipat Engineering โดยมีกำหนดการจะเดินทางมาถึงกัมพูชาในต้นเดือนหน้าตามที่สถานทูตสหรัฐฯในกรุงพนมเปญรายงาน ซึ่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจในภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา โดยบริษัทจะมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีความปลอดภัยทางชีวภาพ และความปลอดภัยของอาหารในภาคเกษตรกรรม ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแนะนำให้บริษัทจากสหรัฐสามารถลงทุนในการเกษตร การแปรรูปอัญมณี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยข้อมูลการค้าระหว่างสองประเทศระหว่างกัมพูชาและสหรัฐอเมริกามีมูลค่าราว 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50686575/us-firms-to-visit-cambodia

ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน ส่งผลธุรกิจให้มีการเติบโตสูงขึ้น

เมื่อเร็วๆนี้ สหรัฐฯ และจีน ลงนามในข้อตกลงการค้าเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจ นับว่าเป็นข่าวดีต่อผู้ประกอบการเวียดนามที่จะรองรับกับความท้าทายและโอกาสในการทำธุรกิจที่จะเกิดขึ้น โดยหัวหน้าสถาบันเศรษฐกิจและนโยบายเวียดนาม (VEPR) ระบุว่าสหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มที่จะหาทางจัดการกับความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจีนที่ส่งสัญญาว่าจะปฏิบัติตามหลักเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ จากผู้เชี่ยวชาญด้านธนาคาร ระบุว่าในปัจจุบัน สหรัฐฯและจีนต่างถอยออกมาจากภาวะสงครามการค้า ซึ่งทางสหรัฐฯได้ถอดจีนออกจากรายชื่อผู้บิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนแล้วและจีนจะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแต่ก็ยังลำบากว่าผลจะออกเป็นอย่างไร ซึ่งสงครามการค้าจะมีผลต่อเศรษฐกิจเวียดนามทั้งในแง่ที่ได้รับประโยชน์และเสียผลประโยชน์ เนื่องจากผลของการค้าทั้งสหรัฐฯและจีน จะทำให้เสียโอกาสในการขายทั้งสองประเทศดังกล่าว ในทางกลับกัน สินค้าจำนวนมากที่มาจากสหรัฐฯและจีน จะโอนย้ายมายังเวียดนามและสร้างแรงกดดันต่อธุรกิจในประเทศ แต่ในข้อตกลง CPTPP และ EVFTA จะส่งผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจเวียดนามในระยะยาว

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/571326/us-china-trade-deal-forces-firms-to-grow.html

สื่อมะกันชูไทยประเทศดีสุดในโลกอันดับที่26-เด่นเรื่องเปิดกว้างธุรกิจ

ไทยได้คะเเนนสูงด้าน การเปิดกว้างทางธุรกิจ ประเทศที่เหมาะกับการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ โอกาสในอนาคตที่ดีขึ้น และมรดกทางวัฒรธรรม แต่ได้คะเเนนน้อยด้านอำนาจของประเทศในเวทีโลก และสถานะการเป็นพลเมือง ยูเอส นิวส์แอนด์เวิลด์ รีพอร์ท สื่อสหรัฐ เผยแพร่รายงานจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลก73 ประเทศประจำปี 2563 ที่พิจารณาจากข้อมูลหลายด้าน ตั้งแต่คุณภาพชีวิต การเคารพสิทธิมนุษยชน และมรดกทางวัฒนธรรมผ่านการสอบถามความเห็นของประชาชนทั่วโลกจำนวน 20,000 คน ซึ่งเเบ่งเป็นกลุ่มผู้มีความรู้ นักธุรกิจและประชาชนทั่วไป ให้ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศดีที่สุดอันดับหนึ่งต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ตามมาด้วยแคนาดา ญี่ปุ่น เยอรมนี ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร สหรัฐ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์ ส่วนประเทศไทย ติดอันดับที่ 26 รัสเซีย อยู่อันดับที่ 23 อินเดีย อันดับที่ 25 และกรีซ ในอันดับที่ 27 ส่วนประเทศอื่นๆมีฝรั่งเศสอยู่อันดับที่ 12 นิวซีแลนด์อันดับที่ 11 จีนและสิงคโปร์ติดอันดับที่ 15 และ 16 ตามลำดับ ขณะที่เกาหลีใต้ อยู่อันดับที่ 20 สำหรับประเทศที่รั้งท้ายในการจัดอันดับครั้งนี้ คือโอมาน อยู่อันดับที่ 71 เซอร์เบีย อยู่อันดับที่ 72 และเลบานอนอยู่อันดับที่ 73

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/862641?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน กระทบ FDI กัมพูชา

กัมพูชาและประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง จากรายงานล่าสุดของธนาคารแห่งชาติกัมพูชา โดยกล่าวเสริมว่าสงครามการค้าที่ยืดเยื้อได้ผลักดันให้เกิดความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งทำให้กิจกรรมและการลงทุนระหว่างประเทศหลายประเทศชะลอตัวลง โดยรองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ลุ่มน้ำโขงกล่าวว่าสงครามการค้าส่งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวต่อประเทศ ซึ่งในระยะสั้นกัมพูชาจะได้รับประโยชน์ในแง่ของการค้าเพราะบริษัทจีนบางแห่งกำลังเผชิญกับการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดสหรัฐเนื่องจากมีการเก็บภาษีที่สูง ดังนั้นหลายบริษัทจึงมองหาฐานการผลิตใหม่เช่นกัมพูชา อย่างไรก็ตามในระยะยาวสงครามการค้าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจกัมพูชาไม่มากก็น้อย เช่นส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาน้อยลงและการลงทุนจากต่างประเทศในกัมพูชาลดลง โดย Nikkei Asian Review ได้รายงานเมื่อเร็วๆนี้ว่ามี บริษัท 16 แห่งกำลังมองหาฐานการผลิตใหม่จากจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเนื่องจากข้อพิพาททางการค้า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50677276/us-china-trade-tension-diverts-foreign-investments-to-kingdoms-benefit