‘สหรัฐฯ – เวียดนาม’ เปิดเจรจาข้อตกลงการค้า หลังระงับภาษีศุลกากร

รองนายกรัฐมนตรี โฮ ดุ๊ก ฟก (Ho Duc Phoc) ได้เริ่มที่จะเจรเจากับนายเจมสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เพื่อที่จะทำข้อตกลงการค้าร่วมกัน แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่สหรัฐฯ ระงับการเลื่อนการจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 46% จากทั่วโลก โดยจากการแถลงการณ์ครั้งล่าสุด จากการหารือของทั้งสองประเทศนั้นครอบคลุมถึงเรื่องการค้าต่างตอบแทน (Reciprocal Trade) และโอกาสทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ถึงแม้ว่าจะระงับการใช้ภาษีศุลกากร แต่ยังคงเก็บภาษีศุลกากรจากทุกประเทศในอัตรา 10% ของสินค้านำเข้าทั้งหมด ทั้งนี้ เวียดนามเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคที่สำคัญของบริษัทตะวันตกหลายแห่ง และเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 123 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของประเทศในปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.reuters.com/world/asia-pacific/us-vietnam-agree-launch-trade-deal-talks-tariffs-paused-2025-04-10/

‘หอการค้าเวียดนาม’ เรียกร้องให้สหรัฐฯ ชะลอการเก็บภาษีศุลกากร

หอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม (VCCI) และหอการค้าอเมริกันในกรุงฮานอย (AmCham) ส่งจดหมายถึงรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์ชะลอการเก็บภาษีศุลกากรต่อการส่งออกเวียดนามไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ การตัดสินใจทางการค้า และระบบโลจิสติกส์ที่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ หอการค้าเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเวียดนามจะดำเนินการเชิงรุกอย่างจริงจัง และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้ากับสหรัฐ ในขณะเดียวกัน ดำเนินการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจของกลุ่มผู้ประกอบการและนักลงทุนสหรัฐฯ

ที่มา : https://en.vneconomy.vn/the-u-s-asked-to-delay-implementing-reciprocal-tariffs-on-vietnam.htm

‘เวียดนาม’ เดินหน้าเร่งนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลังชะลอการเก็บภาษีออกไป 45 วัน

นายฝ่าม มิงห์ จิ๋ง (Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรีเวียดนาม แถลงการณ์การประชุมคณะรัฐมนตรีว่าเวียดนามจะทำการจัดซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงอุปกรณ์ป้องกันประเทศและความมั่งคง และยังได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการให้ชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ออกไป 45 วัน ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้สายการบินในประเทศของเวียดนาม สั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์จากผู้ผลิตสหรัฐฯ นอกจากนี้ จากความคืบหน้าการเจรจาครั้งล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำเวียดนาม โต เลิม (To Lam) ตกลงที่จะหารือถึงแนวทางในการยกเลิกภาษีศุลกากร หลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์ที่ทรัมป์บรรยายว่าเป็นการสนทนาที่มีประสิทธิผลมาก

ที่มา : https://www.kaohooninternational.com/economics/555706

‘ภาษีสหรัฐฯ’ กระทบส่งออกหนัก กดดันเศรษฐกิจเวียดนาม

บรรดานักเศรษฐศาสตร์และผู้นำทางธุรกิจ แสดงความกังวลกับการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นอัตราภาษีในอัตรา 46% กับสินค้าเวียดนาม เริ่มมีผลวันที่ 9 เมษายน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาคการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ไมเคิล โคคาลารี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของวินาแคปปิตอล (VinaCapital) กล่าวว่าการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรในครั้งนี้ ‘เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง’ และจากการวิเคราะห์ แสดงให้เห็นว่าการขึ้นภาษีดังกล่าว ทำให้การบรรลุเป้าหมาย GDP ของเวียดนาม ขยายตัว 8% ในปีนี้ เป็นเรื่องที่ยาก

ในขณะที่นายฝ่าม ซาน ห่ง (Pham Xuan Hong) ประธานสมาคมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในเมืองโฮจิมินห์ กล่าวว่าตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 40% ของการส่งออกทั้งหมดของอุตสาหกรรมนี้ โดยสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในปัจจุบัน เสียอัตราภาษี 16% หากมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 46% ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถแข่งขันได้ ดังนั้น ทางสมาคมฯ หวังว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งและความพยายามในการเจรจาของรัฐบาลเวียดนาม จะช่วยลดอัตราภาษีที่เสนอขึ้นได้ ในระหว่างนี้ ธุรกิจต่างๆ จะใช้กลยุทธ์การการกระจายตลาด เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1695360/us-tariffs-threaten-viet-nam-s-exports-economic-growth.html

กรมศุลกากรเมียนมาประกาศอัตราการแลกเปลี่ยนสำหรับภาษีศุลกากร

ตามประกาศฉบับที่ 90/2024 ของกระทรวงการวางแผนและการคลังระบุว่ากรมศุลกากรจะแก้ไขอัตราแลกเปลี่ยนรายสัปดาห์ตามอัตราการซื้อขายออนไลน์ แทนที่จะเป็นอัตราที่อิงตามอัตราอ้างอิงของธนาคารกลางเมียนมา ในขณะที่จัดเก็บภาษีศุลกากรตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2025 โดยกรมศุลกากรประกาศใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศรายสัปดาห์เพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งจากประกาศกรมศุลกากรเมียนมาล่าสุด กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนสำหรับภาษีศุลกากรระหว่างวันที่ 5 ถึง 11 มกราคม 2568 คือ 3,587.5 จ๊าดต่อดอลลาร์สหรัฐฯ 2,641.80 จ๊าดต่อดอลลาร์สิงคโปร์ 104 จ๊าดต่อบาท และ 491.51 จ๊าดต่อหยวน อย่างไรก็ดี อัตราแลกเปลี่ยนรายสัปดาห์ที่อิงตามอัตราการซื้อขายออนไลน์จะถูกโพสต์บนเว็บไซต์และเพจ Facebook ของกรมศุลกากรเป็นรายสัปดาห์

โอกาสสำหรับนักธุรกิจอเมริกาในประเทศกัมพูชา

สหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา โดยมีสินค้าส่งออกรวมร้อยละ 37 ของยอดการส่งออกทั้งหมดที่มูลค่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 กล่าวโดยนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต หลังเข้าพบกับสมาชิกสมาคมกลุ่มนักธุรกิจอเมริกันในวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 ก.ย.) ในระหว่างงาน “US-Cambodia Business Forum” ในนครนิวยอร์ก ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับภาคธุรกิจของอเมริกันในการพบปะกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกัมพูชา รวมถึงกัมพูชาพร้อมที่จะสนับสนุนต่อบริษัทอเมริกัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้ามาลงทุนยังกัมพูชาเพิ่มขึ้น เพื่อหวังดึงการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันกัมพูชาถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนกัมพูชา เนื่องด้วยกัมพูชาสามารถเป็นซัพพลายเชนส่งต่อไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงมีโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจแบบ 100% ในการครอบครองธุรกิจ

อีกทั้งภาคแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานคนหนุ่มสาวกว่าร้อยละ 65 ของกลุ่มประชากร รวมถึงกัมพูชายังอยู่ภายใต้โครงการ สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ที่เอื้อต่อภาคการส่งออกของกัมพูชา และกัมพูชายังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ อาทิเช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และ ข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัมพูชาและเกาหลีใต้ (CKFTA) เอื้อต่อภาคการส่งออกของประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501365721/an-opportunity-for-american-business-in-cambodia/

กัมพูชาหารือร่วมกับสหรัฐฯ หวังต่ออายุสิทธิพิเศษ GSP

กระทรวงพาณิชย์กัมพูชาและสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาหารือร่วมกัน นำโดย Pan Sorasak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือทางการค้าในแง่มุมต่างๆ รวมถึงข้อตกลงทางการค้าใหม่ๆ และการต่ออายุระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) โดยปัจจุบันด้วยยุทธศาสตร์ชาติของกัมพูชา ประกอบกับฐานการผลิตในประเทศที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่างเข้ามาแสวงหาโอกาสสำหรับทั้งการค้าและการลงทุน ซึ่งการต่ออายุระบบสิทธิพิเศษดังกล่าว มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าระหว่างกัมพูชาและสหรัฐฯ จากความได้เปรียบทางภาษีศุลกากรสำหรับผู้ส่งออกกัมพูชา ที่มีส่วนในการสนับสนุนการเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจของกัมพูชาเป็นอย่างมาก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501337672/renewal-of-generalised-system-of-preferences-gsp-discussed-in-cambodia-u-s-trade-talks/

“เมียนมา” เผยราคาขายส่งน้ำมันปาล์มในย้างกุ้ง ดีดตัวขึ้นในสัปดาห์นี้

คณะกรรมการกำกับดูแลการนำเข้าและจัดจำหน่ายน้ำมันเพื่อการบริโภคของเมียนมา เปิดเผยว่าราคาขายส่งน้ำมันปาล์มในตลาดย้างกุ้ง ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นที่ 4,000 จ๊าดต่อ viss ในสัปดาห์นี้ (2 ก.ค.66) โดยราคาอ้างอิงของน้ำมันปาล์ม ณ วันที่ 19-25 มิ.ย.66 ได้ตั้งราคาอยู่ที่ 3,860 จ๊าดต่อ viss แสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้นราว 150 จ๊าดต่อ viss เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ทำการติดตามราคา FOB ของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซียอย่างใกล้ชิด รวมถึงค่าขนส่ง ภาษีศุลกากรและอื่นๆ เป็นต้น ตลอดจนกำกับราคาน้ำมันปาล์มให้เป็นธรรมกับผู้บริโภค

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/palm-oil-wholesale-reference-price-in-yangon-region-rebounds-this-week/#article-title

รัฐบาลกัมพูชา เห็นชอบร่างกฎหมายว่าด้วยแหล่งกำเนินสินค้า

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติร่างกฎหมายว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าที่ได้รับประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางการค้า นอกจากนี้ยังจะช่วยป้องกันการปลอมแปลงของสินค้าที่มีการผลิตในกัมพูชา ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการอนุมัติในการประชุมระหว่างคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ ที่มีนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เป็นประธาน ซึ่งร่างกฎหมายนี้มี 9 บท และมี 35 มาตรา ในการกำหนดหลักการและกฎเกณฑ์สำหรับการกำหนดแหล่งกำเนิดของสินค้าที่ส่งออกและนำเข้าระหว่างกัมพูชา

นอกจากนี้ยังช่วยให้กัมพูชาสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กรอบ WTO และส่งเสริม อำนวยความสะดวกทางการค้ากับภาคเอกชน โดยเฉพาะการส่งออกสินค้ากัมพูชาที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากประเทศผู้นำเข้าที่ให้สิทธิพิเศษทางการค้ากับกัมพูชาและภายใต้การค้าเสรีต่างๆ รวมถึงความตกลงที่กัมพูชาเป็นสมาชิก ซึ่งในปี 2022 กัมพูชาส่งออกสินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรองรวม 8.6 ล้านตัน ไปยังตลาดต่างประเทศ 74 แห่ง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501294323/government-approves-draft-law-on-rules-of-origin/

“เมียนมา” เผยแนวโน้มราคาข้าวโพดในประเทศปรับตัวลดลง

สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งภูมิภาคย่างกุ้ง เปิดเผยข้อมูล ณ สิ้นเดือน ม.ค. พบว่าราคาข้าวโพดอยู่ในระดับทรงตัวที่ 1,300 จัตต่อ viss และได้ปรับตัวลดลงเหลืออยู่ที่ 1,200 จัตต่อ viss ในเดือน ก.พ. ทั้งนี้ สมาคมอุตสาหกรรมข้าวโพดเมียนมาระบุว่าในปัจจุบัน เมียนมาส่งออกข้าวโพดไปยังจีนและไทยผ่านชายแดน และยังส่งออกไปทางเรือไปยังจีน อินเดีย เวียดนามและฟิลิปปินส์ โดยประเทศไทยได้รับอนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดจากเมียนมาภายใต้ภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ (แบบ Form-D) ระหว่างวันที่ 1 ก.พ. – 31 ส.ค. อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีสูงสุดที่ 73% สำหรับในกรณีที่มีการนำเข้าข้าวโพดในช่วงฤดูข้าวโพดของไทย นอกจากนี้ อู มิน ข่าย ประธานสมาคมอุตสาหกรรมข้าวโพด เมียนมา กล่าวว่าทิศทางการส่งออกข้าวโพดไปยังต่างประเทศจะเกินกว่า 2 ล้านตัน ในปี 2566

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/corn-price-on-downward-trend-in-domestic-market/#article-title