แตงโมได้รับผลกระทบมากที่สุดหลังจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

การค้าระหว่างเมียนมาและจีนได้หยุดชะงักไปเกือบ 20 วันเนื่องจากไวรัสโคโรนา ที่มีแตงโมและแตงเมลอนได้รับผลกระทบมากที่สุด Facebook ของศูนย์ขายส่งกล่าวว่าจีนจะเปิดเส้นทางการขนส่งภายในไม่กี่วัน แต่ตลาดจะยังคงหายไปเจ็ดจังหวัดที่มีการระบาด จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่ารัฐบาลกำลังช่วยเหลือพ่อค้าในการหาตลาดท้องถิ่นและจำหน่ายในย่างกุ้ง แผนการตลาดในท้องที่นั้นรวมถึงการขายแตงในงานเทศกาลและตลาดในเมืองย่างกุ้งด้วยการเปิดร้านค้าในเขตเย่างกุ้งและการขายสินค้าแบบถึงมือผู้รับ (Door To Door) เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมูเซ (Muse 105th Mile Border Trade Zone) ออกแถลงการณ์ว่ามีความยากลำบากมากในการขายผลไม้เนื่องจากการจำกัดเส้นทางคมนาคมของจีนเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/melon-sales-most-affected-following-coronavirus-outbreak-in-china

สนามบินพะล่านพร้อมเปิดใช้งานเดือนพฤษภาคม

งานก่อสร้างของสนามบินพะล่าน (เซอบุ่ง) จะเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมและเครื่องบิน ATR-72 สามารถลงจอดที่สนามบินแห่งใหม่ได้ สนามบินตั้งอยู่ในใจกลางรัฐชินและเชื่อมต่อกับเมืองต่าง ๆ เช่น พะล่าน, เทือกเขาLonpi ,ฮ่าค่า , ทานตะลาน ตีเดนและทะเลสาบเรย เพื่อเข้าถึงสนามบินทั้งหมดในรัฐและภูมิภาค โครงการจะสร้างสนามบินพะล่านใหม่และเพื่อปรับปรุงสนามบินตั่งตแว โดยใช้งบประมาณของรัฐในปี 62-63 รันเวย์ยาว 6,000 ฟุต เทด้วยราดยางและคอนกรีต งานก่อสร้างอาคารสนามบินหอควบคุมการจราจรทางอากาศและอาคารบริการดับเพลิงเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้กระทรวงจะใช้งบ 141,112,000,000 จัตจากความช่วยเหลือจากต่างประเทศและสินเชื่อในปี 63-64 สนามบินถูกสร้างขึ้นเนื่องจากความลำบากของชาวบ้านในการขนส่งซึ่งเป็นเรื่องยากในฤดูฝน เมื่อสร้างเสร็จจะกลายเป็นประตูทางอากาศของรัฐชินและจะทำมีนักท่องเที่ยวเข้าถึงรัฐชินได้ในเวลาอันสั้น และสามารถส่งสินค้าของท้องถิ่นไปทั่วประเทศได้อย่างง่ายดาย

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/falam-airport-to-open-in-may

โซล่าฟาร์ม 5 แห่งใหม่กำลังดำเนินการเชื่อมต่อกับกริดแห่งชาติ

กระทรวงพลังงานและเหมืองแร่เปิดเผยว่าโซล่าฟาร์มจาก 5 จังหวัดจะเริ่มเปิดตัวในปีนี้ โดยในรายงานประจำปีระบุว่ากำลังเร่งงานก่อสร้างเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับกริดแห่งชาติให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์จะช่วยเพิ่มแหล่งพลังงานของประเทศโดยรวม 160 เมกะวัตต์ (mW) ต่อปี โดยแบ่งเป็นจาก สวายเรียง 20 เมกะวัตต์, โพธิสัตว์ 30 เมกะวัตต์, กำปงสปือ 20 เมกะวัตต์, พระตะบอง 60 เมกะวัตต์ และ บันทายมีชัย 30 เมกะวัตต์ ซึ่งปีหน้าตามที่กระทรวงระบุประเทศจะเปิดตัวอีก 60 เมกะวัตต์ ในกำปงชนังและในจังหวัดโพธิสัตว์เพิ่มอีก 60 เมกะวัตต์ โดยรัฐบาลมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายแหล่งพลังงานในประเทศเนื่องจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากกิจกรรมการลงทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการก่อสร้างและการผลิต ซึ่งจากการศึกษาล่าสุดของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียระบุว่ากัมพูชามีศักยภาพด้านพลังงานน้ำประมาณ 10,000 เมกะวัตต์, 8,100 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์และประมาณ 6,500 เมกะวัตต์ สำหรับพลังงานที่มาจากลม โดยกัมพูชาสร้างพลังงานทั้งหมดได้จาก 2,635 เมกะวัตต์ ในปี 2018 เป็น 3,382 เมกะวัตต์ ในปี 2019 เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50692029/five-new-solar-farms-to-be-connected-to-the-national-grid

การส่งออกการ์เม้นท์และสินค้าด้านการท่องเที่ยวกัมพูชามีมูลค่าถึง 9.3 พันล้านดอลลาร์

กัมพูชาส่งออกเสื้อผ้า,รองเท้าและสินค้าด้านการท่องเที่ยวมูลค่ากว่า 9.35 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบเป็นรายปีจากรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและหัตถกรรมของกัมพูชา โดยรายงานดังกล่าวได้เผยแพร่ในการประชุมประจำปีเพื่อทบทวนและกำหนดวัตถุประสงค์สำหรับปี 2563 ซึ่งรายงานระบุว่ามีโรงงานกว่า 1,069 แห่ง ในปีที่แล้วซึ่งมีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าและสิ่งทอประกอบด้วย 823 แห่ง โรงงานสินค้าด้านการท่องเที่ยว 114 และโรงงานรองเท้า 132 แห่ง มีการจ้างแรงงานรวมกัน 923,313 คน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและหัตถกรรมกล่าวในการกล่าวเปิดงานว่ากระทรวงกำลังทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุนในอุตสาหกรรมและจัดหาสินค้า รวมถึงบริการที่ดีขึ้น ซึ่งเป้าหมายของกระทรวงคือการช่วยให้ภาคเอกชนมีความก้าวหน้าซึ่งก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามสมาคมผู้ผลิตเสื้อผ้าแห่งกัมพูชา (GMAC) การส่งออกสินค้าเสื้อผ้าและสินค้าด้านการท่องเที่ยวของกัมพูชาคิดเป็น 75% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดของกัมพูชาและ 90% ส่งออกไปยังสหภาพยุโรปซึ่งเป็นผู้ซื้อเสื้อผ้ากัมพูชารายใหญ่ที่สุด

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50692028/garment-footwear-and-travel-goods-exports-valued-at-9-3-billion

ผู้เชี่ยวชาญชี้เวียดนามจำเป็นหาตลาดข้าวใหม่ แทนตลาดจีน

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (Covid-2019) จะส่งผลต่อการส่งออกของเวียดนามไปยังประเทศจีน สำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวฤดูหนาว-ใบไม้ผลิที่จะเริ่มต้นเก็บเกี่ยวในพื้นที่กู๋ลองยาง (ราบลุ่มแม่น้ำโขง) ทั้งนี้ ในจังหวัดเหิ่วซางมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่ที่ 1,000 เฮกตาร์ ได้รับผลกระทบจากการรุกตัวของน้ำเค็ม แต่ชาวเกษตรได้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนที่จะได้รับผลกระทบอยู่หลายร้อยเฮกตาร์และผลผลิตเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 7.7 ตันต่อเฮกตาร์ ในส่วนราคาสินค้าเกษตรยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากต้องหาตลาดใหม่ นอกจากนี้ ทางบริษัท VinaFood เปิดเผยว่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดจีนเป็นตลาดข้าวของเวียดนามรายใหญ่ที่สุด แต่ในปัจจุบันมีการขยายตัวส่งออกไปยังหลายๆประเทศ แสดงให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของไวรัสอาจไม่กระทบมากนักต่อการส่งออกของเวียดนาม ซึ่งในปีที่แล้ว ตลาดฟิลิปปินส์ถือเป็นตลาดส่งออกข้าวรายใหญ่ที่วุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่า 885 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงควรขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ได้แก่ แอฟริกาและตะวันออกลาง เป็นต้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/592304/viet-nam-needs-to-find-new-rice-markets-to-replace-china-experts.html

การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเวียดนามในไตรมาสที่ 1 คาดว่าขยายตัว 3%

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (GSO) เปิดเผยว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ขยายตัวร้อยละ 2.68 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถ้าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (COVID-19) อยู่ในการควบคุมได้ ซึ่งอุตสาหกรรมการแปรรูปและการผลิตเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศและมีส่วนแบ่งของสาขาอุตสาหกรรมมากที่สุด มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.38 สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้ส่วนประกอบนำเข้าจากประเทศจีน จะได้รับผลกระทบอย่างมากเนื่องจากจีนเป็นแหล่งซัพพลายเออร์วัสดุและส่วนประกอบรายใหญ่ของเวียดนาม ขณะเดียวกัน อุตฯการผลิตที่ได้รับผลกระทบในทิศทางลบ ได้แก่ กลุ่มเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มผลิตยานยนต์และโลหะ เป็นต้น ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวดำเนินไปจนถึงสิ้นไตรมาสที่ 2 ซึ่งแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 7 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ นอกจากนี้ ทางสำนักงานสถิติเวียดนาม (GSO) ได้เสนอให้รัฐบาลสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส ได้แก่ การหาซัพพลายเออร์ ลดอัตราภาษีการส่งออก-นำเข้าและกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รวมไปถึงควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสียรภาพเศรษฐกิจมหภาคและตลาดการเงิน

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/592301/industrial-sectors-growth-likely-to-hit-almost-3-in-q1.html

ธปท.คาดเศรษฐกิจไทยฟื้นโตเกิน 3% ปีหน้า

ธปท.ประเมินผลกระทบโควิด-19 รุนแรงสุดไตรมาสแรก จ่อปรับเป้าจีดีพี 25 มี.ค.นี้ มั่นใจเศรษฐกิจกลับมาโตเกิน 3% ได้ในปี 64 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผย ตัวเลขจีดีพีของสศช.ที่ออกมานั้น ต่ำกว่าตัวเลขที่ ธปท. ประมาณไว้ จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงแรง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผลกระทบของภัยแล้งต่อผลผลิตเกษตร และผลกระทบจากความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณปี 63 ต่อการใช้จ่ายภาครัฐ ที่มากกว่าคาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 62 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีนี้ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการระบาดของไวรัสโคโรน่า(โควิด-19) ตั้งแต่ปลายเดือนม.ค. 63 ซึ่งเป็นปัจจัยใหม่ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกฝ่าย.ทั้งนี้ ธปท.เตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ในวันที่ 25 มี.ค.นี้ โดยในระหว่างนี้ ธปท. จะติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นปัจจัยลบที่มีนัยสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เบื้องต้นคาดว่าผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรน่าจะรุนแรงที่สุดในไตรมาสแรกของปีนี้ ก่อนที่จะทยอยปรับดีขึ้นหลังสถานการณ์คลี่คลาย โดยเศรษฐกิจไทยน่าจะกลับมาขยายตัวเกิน 3% ได้อีกในปี 64 หากไม่มีปัจจัยลบอื่นเพิ่มเติม

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/758041