การค้าชายแดนไทย-เมียนมาร์ สร้างรายได้ 3 พันล้านดอลลาร์ใน 7 เดือน

ในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม) ของปีงบประมาณปัจจุบัน พ.ศ. 2566-2567 มูลค่าการค้าชายแดนของเมียนมาร์กับประเทศไทยมีมูลค่า 3.034 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตัวเลขมูลค่าการค้าชายแดนดังกล่าวลดลงจากเดิม 3.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าลดลงอย่างมากที่ 125.558 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ เมียนมาร์ดำเนินการค้าข้ามพรมแดนกับไทยผ่านทางด่านท่าขี้เหล็ก เมียวดี เกาะสอง มะริด ทิกิ และมอต่อง ซึ่งด่านชายแดนทิกิ เป็นด่านที่มีมูลค่าการค้ามากที่สุดอยู่ที่ 1,889 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ที่ชายแดนเมียวดีมีมูลค่าการค้าอยู่ที่ 882.303 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่าขี้เหล็ก 94.397 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มะริด 68.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เกาะสอง 89.226 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และที่มอต่อง 10.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เมียนมาร์ดำเนินการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านจีน ไทย บังคลาเทศ และอินเดีย โดยมีสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ผลิตผลทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ การประมง แร่ธาตุ ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ สินค้าอุตสาหกรรมสำเร็จรูป และสินค้าอื่นๆ ในขณะที่สินค้านำเข้าหลัก ได้แก่ สินค้าทุน สินค้าขั้นกลาง สินค้าอุปโภคบริโภค และวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้า CMP

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-thailand-border-trade-earns-us3-bln-in-7-months/

รถไฟจีน-ลาว เริ่มให้บริการนักท่องเที่ยวจาก ‘กรุงปักกิ่ง-นครหลวงเวียงจันทน์’

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รถไฟจีน-ลาว ได้เริ่มเปิดให้บริการรถไฟท่องเที่ยวข้ามพรมแดนจากกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน ไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมีป้ายจอดหลายสถานีตั้งแต่เมืองหลวงพระบางและวังเวียง ขากลับจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวของจีน เช่น สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน และเมืองจิบิ มณฑลหูเป่ย รวมเวลาไป-กลับ 15 วัน ทั้งนี้ รถไฟสายนี้ได้ขนส่งสินค้าแล้วกว่า 9.62 ล้านตัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 94.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีปริมาณสินค้าข้ามพรมแดนมากกว่าสามเท่าอยู่ที่ 2.3 ล้านตัน (ไชน่านิวส์รายงาน) สินค้าหลักที่บรรทุกบนทางรถไฟสายนี้ ได้แก่ ผลไม้ แป้งมัน ข้าวบาร์เลย์ ยางพารา เบียร์ แร่เหล็ก และปุ๋ยเคมี นอกจากนี้ นับตั้งแต่เริ่มให้บริการรถไฟจีน-ลาวได้ขนส่งผู้โดยสารไปแล้วกว่า 3 ล้านคน เฉพาะแปดเดือนกว่าของปี 2566 ขนส่งผู้โดยสารไปแล้ว 1,759,900 คน

ที่มา : https://news.cgtn.com/news/2023-11-13/Tourism-train-service-from-Beijing-to-Vientiane-begins-1oH7tCQQNUc/index.html?fbclid=IwAR0g6s1-g2ck3bAU4kcP3n4ZFSA8Dde0soivCj5FalcSAcAlh7_XT23rl-s

‘วิกฤติประชากรเวียดนาม’ คาดลดลงเหลือ 72 ล้านคน ปี 2100 เหตุอัตราเกิดต่ำ

‘VnExpress’ สื่อหนังสือท้องถิ่นเวียดนาม ได้อ้างข้อมูลจากนาย Ha Anh Duc ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รายงานว่าประชากรเวียดนามคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 107 ล้านคนในปี 2044 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงเหลือ 72 ล้านคนในปี 2100 เนื่องจากอัตราการเกิดต่ำลง และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เวียดนามมีอัตราการเกิดลดลงอยู่ที่ 6.5 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปี 1960 เหลือ 2.05 ในปี 2020 โดยอ้างถึงสถิติว่าในแต่ละปี มีคู่รักประมาณหนึ่งล้านคู่ในเวียดนามที่ไม่สามารถมีบุตรได้ ประมาณ 7.7% ของคู่รักทั้งหมด นอกจากนี้ เวียดนามได้ร่างกฎหมายว่าด้วยประชากรที่จะเสนอไปยังหน่วยงานท้องถิ่นที่มีอัตราการเกิดต่ำ เพื่อสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้หญิงที่มีลูกคนที่สอง รวมถึงการยกเว้นค่าเล่าเรียนให้กับเด็ก

ที่มา : https://english.news.cn/20231113/de5e1f220f724e99a11cbe173f201d5e/c.html

จีนพร้อมสนับสนุนภาคพลังงานกัมพูชา

ทางการกัมพูชาพร้อมตอบสนองต่อความต้องการด้านพลังงานภายในประเทศ ภายใต้การร่วมมือของนักลงทุนจีน โดยเฉพาะการช่วยลดต้นทุนการบริโภคพลังงานของภาคครัวเรือนกัมพูชาซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 0.25 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศไทยมีต้นทุนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงอยู่ที่ 0.139-0.141 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และเวียดนามโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.073-0.078 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่ากัมพูชามีต้นทุนทางด้านพลังงานที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่ด้วยความพยายามของรัฐบาลในการปรับปรุงภาคพลังงานได้เริ่มดำเนินโครงการไว้ตั้งปี 2018 ด้วยการเปิดตัวโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 400 เมกะวัตต์ “Lower Sesan 2” ในจังหวัดสตึงแตรง ภายใต้เงินทุนสนับสนุนจาก China Hwaneng Group จับมือร่วมกับ Royal Group ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 800 ล้านดอลลาร์ ในการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำครอบคลุมกำลังการผลิตคิดเป็นกว่าร้อยละ 51 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501391160/china-proves-godsend-for-cambodias-energy-sector/

ส่งออกกัมพูชาโตแตะ 18.5 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2023

กรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา (GDCE) รายงานสถานการณ์การส่งออกของประเทศมีมูลค่ารวมสูงถึง 18.59 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับสินค้าส่งออกหลักของกัมพูชา ได้แก่ เครื่องแต่งกาย รองเท้า สินค้าเพื่อการท่องเที่ยว จักรยาน และสินค้าเกษตร เป็นสำคัญ โดยเน้นการส่งออกไปยังตลาดหลักอย่าง สหรัฐฯ เวียดนาม จีน ไทย และญี่ปุ่น ซึ่งกัมพูชาส่งออกสินค้าไปยัง สหรัฐฯ มากที่สุดที่มูลค่าการส่งออกรวม 7.49 พันล้านดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านการส่งออกไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40 หรือคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 2.26 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่การส่งออกไปยังจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 คิดเป็นมูลค่า 1.17 พันล้านดอลลาร์ ตามรายงานของ GDCE โดยส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และข้อตกลงการค้าเสรีกับจีนและเกาหลี ที่เริ่มมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการส่งเสริมภาคการผลิตในประเทศ และมีส่วนสำคัญในการดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ จากต่างประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501391190/cambodias-exports-reach-18-5b-in-10-months/

‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เผยเศรษฐกิจเวียดนามมีเสถียรภาพ ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์โลก

ดร.เหงียน จิ ฮิว นักเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญทางด้านการเงินและการธนาคาร กล่าวว่าผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่เด่นชัดที่สุด คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในขณะที่ผู้ส่งออกน้ำมัน เวียดนามขายน้ำมันดิบและนำเข้าน้ำมันสำหรับกระบวนการผลิต ด้วยเหตุนี้เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้านำเข้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พลังงาน นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์โลกที่ทวีความรุนแรงสูงขึ้น ได้ผลักดันราคาสินทรัพย์ปลอดภัย รวมไปถึงทองคำและเงินดอลลาร์สหรัฐ ตลอดจนกระทบต่อเงินด่องเวียดนามให้อ่อนค่าลง โดยปัจจัยเหล่านี้เกิดความยากลำบากในการควบคุมเงินเฟ้อและการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnamese-economy-stable-amidst-geopolitical-instability-2214122.html