เวียดนามเผยเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ดิ่งลง 15.6%

Foreign Investment Agency (FIA) ของเวียดนาม เผยว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ หดตัว 15.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็นมูลค่า 5.46 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการผลิต มูลค่ากว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยภาคพลังงาน ประมาณ 1.44 พันล้านเหรียญสหรัฐ และภาคอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 485 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ นักลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในเวียดนามมากที่สุด มูลค่า 1.64 พันล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาสิงคโปร์และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ ปี 2563 เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ดิ่งลง 25% เมื่อเทียบเป็นรายปี มูลค่าอยู่ที่ 28.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ สาเหตุมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางทางอากาศได้และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง

  ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/economy/fdi-down-15-6-pct-4240708.html

เวียดนาม-อังกฤษ เผยมูลค่าการค้าพุ่ง หลังบังคับใช้ข้อตกลงการค้าเสรี UKVFTA

สำนักงานส่งเสริมตลาดยุโรปและอมริกา ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เผยว่าในเดือนมกราคม มูลค่าการส่งออกและนำเข้าระหว่างเวียดนามและสหราชอาณาจักร พุ่งสูงถึง 657 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนามส่งออกสินค้าไปยังสหราชอาณาจักร มูลค่ากว่า 598 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 84.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถือว่าเป็นการเติบโตได้ดีท่ามกลางโควิด-19 ระบาด และอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการยกระดับการส่งออกของเวียดนามคือ ความตกลงทางการค้าเสรีระหว่างสหราชอาณาจักร – เวียดนาม (UKVFTA) ที่มีผลยังคับใช้เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2563 โดยสินค้าส่งออกไปยังตลาดดังกล่าว อาทิ อาหารทะเล ผัก ชิ้นส่วนโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว สหราชอาณาจักรเข้ามาลงทุนในเวียดนาม จำนวน 411 โครงการ ด้วยมูลค่าทุนจดทะเบียน 3.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การธนาคารและพลังงานหมุนเวียน

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/economy/vietnam-uk-trade-turnover-soars-after-post-brexit-free-trade-deal-4241118.html

เกษตรกรเมืองมี่นบู้ ปลื้ม ผลผลิต-ราคาถั่วเขียวเพิ่มขึ้น

เกษตรกรหมู่บ้าน U Yin Zin เมืองมี่นบู้ในเขตมะกเวพอใจกับผลผลิตถั่วเขียวที่เพิ่มสูงขึ้นและได้ราคาดีในตลาดท้องถิ่น บางส่วนเพาะปลูกหลังเผชิญกับมรสุมในช่วงเพาะปลูกข้าว และบางรายยังเพาะปลูกด้วยระบบน้ำชลประทาน ซึ่งในปีนี้ราคาลดลงเล็กน้อยจาก 41,000 จัตต่อตะกร้าเหลือ 38,000 จัตต่อตะกร้า ตามที่เกษตรกรในท้องถิ่นกล่าวว่ากรัมสีเขียวให้ผลผลิตอย่างมากมายและมีราคายุติธรรม ก่อนหน้านี้ผลผลิตถั่วเขียวในเมียนมาต่อปีมีเพียง 300,000 ตัน ต่อมามีการปลูกเพิ่มมากกว่า 600,000 ตัน นอกจากนี้การส่งออกส่วนใหญ่จะเน้นไปที่จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และยุโรป

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/farmers-enjoy-high-yield-of-green-gram/#article-title

คลังส่องหาทางผ่อนวินัยการเงินการคลัง หนี้สาธารณะปริ่มคอหอยแค่เฉียดเส้นตาย

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการระบาดไวรัสโควิดระลอกใหม่ ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบในวงกว้างนั้น ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาแผนระยะสั้นและแผนระยะยาว เพื่อรองรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่ต้องรับกับความผันผวนของเศรษฐกิจในอนาคต การกระตุ้นเศรษฐกิจยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวและฟื้นตัว ดังนั้นต้องพิจารณาผลของมาตรการต่างๆที่รัฐทยอยออกมาก่อนหน้านี้ ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด แล้วจะมีมาตรการใหม่ๆ ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอย่างไร เช่น มาตรการคนละครึ่ง จะสิ้นสุดเดือนมี.ค.นี้ โครงการเราชนะ สิ้นสุดการใช้เงินเดือนพ.ค. แล้วจะมีมาตรการใดต่ออีก หรือพอแล้ว เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว ในปีงบประมาณ 2564 มั่นใจว่าระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบความยั่งยืนทางการคลังของรัฐบาล จะไม่เกิน 60% ของจีดีพี ตามที่ได้กำหนดไว้แน่นอน แต่อาจขึ้นไปแตะที่ระดับ 58-59% จากก่อนหน้านี้ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ระบุว่า ระดับหนี้สาธารณะหลังกู้เงินตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 1 ล้านล้านบาทเต็มจำนวนแล้ว จะขึ้นไปอยู่ระดับ 57% ของจีดีพี”.

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/finance-banking/2041405

การค้าระหว่างกัมพูชาและไทยหดตัวต่อเนื่อง

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทยในช่วงต้นปี 2021 มีการหดตัวลงอย่างต่อเนื่องเนื่อง จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 โดยการค้าระหว่างสองประเทศมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 653 ล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคม 2021 ซึ่งลดลงร้อยละ 10.6 เมื่อเทียบเป็นรายปีจากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ของไทย โดยกัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังไทยในเดือนมกราคมมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 113 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบเป็นรายปี ในขณะที่กัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทย 540 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 11.7 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปี 2020 ซึ่งปีที่แล้วการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 7.236 พันล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้วลดลงร้อยละ 23 จากปี 2019 โดยขณะนี้ความพร้อมของวัคซีนโควิด-19 กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะมีความเคลื่อนไหวในการฟื้นตัวของกิจกรรมการค้าภายในประเทศที่ดีขึ้นในช่วงปี 2021

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50818390/cambodia-thailand-trade-continues-contraction/

กัมพูชาลงนามข้อตกลงด้านการสนับสนุนการพัฒนาภาคเอกชน

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) และบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) ได้ทำบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อดำเนินโครงการ “การพัฒนาตลาดซัพพลายเชนทางการเงิน” โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้รับการลงนามเมื่อไม่นานมานี้ระหว่างผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายกำกับการธนาคารในนามของผู้ว่าการ NBC และผู้แทนของ IFC ซึ่งโครงการพัฒนาตลาดห่วงโซ่อุปทานทางการเงินจะช่วยสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาในการปรับปรุงภาคเอกชนในประเทศต่อไป นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ชาติด้านการเงินรวมสำหรับปี 2019-2025 เพื่อส่งเสริมภาคสินเชื่อสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โครงการนี้จะมีบทบาทสำคัญในฐานะแนวทางสำหรับการจัดทำนโยบายสำหรับ SMEs และระบบทางการเงินในกัมพูชา ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการสนับสนุนด้านกฎระเบียบและการปรับปรุงความรู้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50818714/agreement-to-support-cambodias-private-sector-development-signed/

ถนนในเมืองได้รับการปรับปรุงเพื่อการจราจรและขนส่งที่ดีขึ้น

ถนนหลายสายทั่วเมืองหลวงได้รับการปรับปรุงหรือซ่อมแซมโดยมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงการจราจรและทำให้การขับขี่ง่ายขึ้นโดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน โดยโครงการจะมีงบประมาณลงทุน 2.4 พันล้านกีบ นอกจากนี้กระทรวงโยธาธิการและการขนส่งยังได้ปรับปรุงถนนแห่งชาติหมายเลข 13 ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งและการขนส่งสินค้าที่สำคัญระหว่างสปป.ลาวและประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็น จีน เวียดนามไทยและกัมพูชา ทั้งนี้การส่งเสริมดังกล่าวนอกจากกจะเป็นการลงทุนเพื่อให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้วถนนที่ปรับปรุงยังเป็นส่วนช่วยสนับสนุนการค้าระหว่างชายแดนสปป.ลาวและเพื่อนบ้านอีกด้วย

ที่มา https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_City_41.php