โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 แห่ง ในกัมพูชากำลังจะเริ่มส่งกระแสไฟฟ้า

โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์จะเริ่มส่งผ่านกระแสไฟฟ้าในกัมพูชาเร็ว ๆ นี้ จากสถานีใหม่ 4 แห่ง ที่มีกำหนดจะเชื่อมโยงกับกริดในต้นปีนี้ ขณะนี้โครงการทั้ง 4 โครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยส่วนใหญ่แล้วเสร็จกว่าร้อยละ 90 ซึ่งผู้อำนวยการใหญ่ด้านพลังงานของกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานกล่าวว่าโครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกัมพูชาในปลายปี 2019 สำหรับการก่อสร้าง รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อื่น ๆ ทั่วประเทศ รวมขนาด 110 เมกะวัตต์ (mW) ทั่วกัมพูชา เพื่อช่วยตอบสนองต่อความต้องการในการใช้พลังงานของประเทศในไม่ช้า โดยปัจจุบันกัมพูชาผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ พลังงานลม โรงไฟฟ้าถ่านหิน การผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และการนำเข้าพลังงานบางส่วน ซึ่งกัมพูชาผลิตไฟฟ้าได้เพียงร้อยละ 85 ของอุปสงค์ในประเทศ โดยมีการนำเข้าพลังงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ในปี 2019 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50803921/four-solar-power-stations-coming-online/

เวียดนามเอาชนะจีน อินเดีย ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตถัดไป

ตามรายงานของ Economist Intelligence Unit (EIU) เผยว่าเวียดนามเป็นจุดหมายปลางทางของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในเอเชีย หลังออกจากจีนและอินเดีย ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงเป็นศูนย์กลางการผลิตด้วยต้นทุนต่ำในห่วงโซ่อุปทานของเอเชีย ซึ่งปัจจัยสำคัญในการเติบโตของประเทศนั้น ได้แก่ ข้อเสนอให้กับบริษัทระหว่างประเทศ เพื่อให้ธุรกิจสามารถจัดตั้งหน่วยงานในการผลิตสินค้าไฮเทค ด้วยค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ และผลประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เป็นต้น อีกทั้ง หน่วยงาน EIU ระบุว่าเวียดนามมีคะแนนมากกว่าทั้งอินเดียและจีน เกี่ยวกับเรื่องนโนบาย FDI นอกจากนี้ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ FTA จะแสดงถึงจุดแข็งของความสัมพันธ์ทางการค้าของเวียดนาม และช่วยลดต้นทุนทางด้านการส่งออกอีกด้วย

  ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnam-beats-china-india-to-become-next-manufacturing-hub-831078.vov

นักเศรษฐศาสตร์ คาดเศรษฐกิจเวียดนามเร่งตัวพุ่งในปีนี้

การขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตค่อนข้างช้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน ประเมินว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเร่งพุ่งสูงขึ้น แค่รอโอกาสที่จะกลับมา ดังนั้น รัฐบาลจึงตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้อยู่ที่ 6.5% เพิ่มขึ้น 2 เท่าของปีที่แล้ว นับว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ สาเหตุจากยังคงมีความเสี่ยงจาก COVID-19 และความขัดแย้งทางการค้า รวมถึงความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองทั่วโลก อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผนและการลงทุน กล่าวว่าเวียดนามมีโอกาสอีกมากมายและเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ ประกอบกับโอกาสจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และการหันมานำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ รวมถึงการก่อตั้งของอุตสาหกรรมใหม่และโมเดลธุรกิจ นอกจากนี้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB), ธนาคารยูโอบี (UOB) และธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) คาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัว 6.3%, 7.1% และ 8.1% ในปีนี้ ตามลำดับ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/858071/vietnamese-economy-tipped-to-bounce-back-in-2021.html

รัฐยะไข่ทุ่มเงิน 2 พันล้านจัต สร้างค่ายผู้ลี้ภัย

รัฐยะไข่ใช้เงินไปประมาณ 2.2 พันล้านจัต เพื่อสร้างและดูแลค่ายผู้ลี้ เนื่องจากการสู้รบระหว่างเมียนมาและกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่เริ่มมีความรุนแรงขึ้น เป็นผลให้ผู้ลี้ภัยได้รับความเดือดร้อนและถูกขับออกจากพื้นที่เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย ดังนั้นงบประมาณ 1.5 พันล้านจัต ถูกใช้สร้างค่ายผู้ลี้ภัยเจ็ดแห่งใน โปนน่าจู้น(Ponnagyun), ระเต่ดอง (Rathedaung), เจาะตอ (Kyauktaw), มเยาะอู้ (Mrauk-U) และ มี่น-บย่า (Minbya) นอกจากนี้ยังใช้ในด้านดูแลสุขภาพ การศึกษา และความปลอดภัยสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจนกว่าจะได้กลับหมู่บ้าน เงินจำนวน 88 ล้านจัตถูกใช้ไปกับค่ายผู้ลี้ภัยในเขตเมืองเจาะตอ และ 423 ล้านจัตถูกใช้สร้างค่ายผู้ลี้ภัยใน Angu Village Group, มเยโบน (Myebon) และยังนำไปใช้ในการสร้างค่ายผู้ลี้ภัยในเมืองอ้าน (Ann ) อีกเช่นกัน รวมถึงการแบ่งปันอาหารเสื้อผ้า ห้องเรียน และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ สำหรับผู้ลี้ภัย

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/rakhine-expends-k2-billion-state-budget-refugee-camps.html

อคส.ลุยรีแบรนด์ข้าวถุง เป้ายอดปีนี้1,300 ล้าน

อคส.เดินหน้ารีแบรนด์ข้าวถุงครั้งใหญ่ ชูคุณภาพดีราคาถูก เน้นขายเข้าร้านธงฟ้า หลังรายได้ขายเข้าเรือนจำวูบกว่า 40% จากเสียภาพลักษณ์ทุจริตถุงมือยาง ทำส้มหล่นใส่ อ.ต.ก. เร่งกู้ตลาดคืน ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 1,300 ล้านบาท ลุ้นตลาดจีนช่วยดันยอด 4,000 ล้าน นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เผยเดินหน้าต่อยอดในส่วนของงานปี 2563 แม้ว่ารายได้จะลดลงจากการจำหน่ายข้าว เข้าเรือนจำจะลดลงไปกว่า 40-50% จากเกิดกรณีทุจริตถุงมือยางช่วงปลายปีและอยู่ระหว่างการเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง ส่งผลให้เรือนจำหันไปซื้อข้าวจากองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.)เพิ่มขึ้น เบื้องต้นมีแผนจะทำข้าวถุงที่มีคุณภาพแต่ราคาถูกลงจากเดิม และปรับคุณภาพข้าวใหม่ มีการหาข้าวสายพันธุ์อื่นๆ มาทำตลาด เช่นจากกลุ่มเกษตรกรลพบุรี กลุ่มเกษตรกรบุรีรัมย์ เป็นต้น สำหรับช่องทางการจำหน่ายข้าวถุงแบรนด์ใหม่ของอคส. จะยังคงเน้นไปที่ร้านธงฟ้า ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และในอนาคตจะมีไปวางจำหน่ายตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก ส่วนข้าวหอมมะลิจะเน้นขายเข้าโมเดิร์นเทรด วิลล่ามาร์เก็ต  และมีแผนส่งทำตลาดออนไลน์ในจีนผ่าน T-Mall  ที่กระทรวงพาณิชย์มีเครือข่ายอยู่ ทั้งนี้ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีรายได้ 1,260 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการขายข้าวเข้าเรือนจำ หาก สามารถจำหน่ายข้าวเข้าเรือนจำทั่วประเทศได้จะทำให้มียอดขายแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นปีละ 10% แต่หากการจำหน่ายข้าวถุงประสบความสำเร็จในตลาดจีน อคส.น่าจะมีรายได้แตะ 4,000 ล้านบาท ได้ในปี 2565 

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/464255

เวียดนามส่งออกทุเรียนไปจีน ผ่านช่องทางหลัก

เวียดนามเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้า เพื่อที่จะส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีน ในจำนวนที่มากขึ้นผ่านช่องทางหลัก ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จีนก็ยังเป็นผู้บริโภคทุเรียนของเวียดนามรายใหญ่ที่สุดในปีที่แล้ว เมื่อพิจารณาจากตัวเลขสถิติ พบว่าจีนนำเข้าทุเรียนทั่วโลกอยู่ที่ 397,000 ตัน เป็นมูลค่า 1.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับปี 2562 อย่างไรก็ตาม การนำเข้าทุเรียนของเวียดนาม ลดลง 66.3% ในช่วง 8 เดือนแรกของปีที่แล้ว ทั้งนี้ เวียดนามส่งออกทุเรียนแบบปอกเปลือกและทุเรียนแช่แข็งไปยังตลาดจีนเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านช่องทางไม่เป็นทางการ อย่างไรก็ตาม จีนเพิ่งระงับช่องทางไม่เป็นทางการชั่วคราว เนื่องจากกลัวการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้ส่งออกในประเทศลำบาก นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ได้เร่งเจรจากับทางจีนเพื่อส่งออกสินค้าเกษตรผ่านช่องทางที่เป็นทางการ โดยจะให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตร อาทิ ทุเรียน มันเทศ รังนก ส้มโอ เสาวรส อะโวคาโด และอื่นๆ เป็นต้น

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-to-export-durians-to-china-via-official-channels-830589.vov

จังหวัดด่งนายดึงดูดเม็ดเงิน FDI 226 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งเดือนแรกเดือนมกราคม 64

ตามข้อมูลจากคณะกรรมการเขตอุตสาหกรรมจังหวัด เผยว่าจังหวัดด่งนาย (Dong Nai) ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) จำนวน 11 โครงการ รวมมูลค่ามากกว่า 226 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนมกราคม 2564 นับว่าสูงที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีโครงการขนานใหญ่ ได้แก่ Hansol Electronics (100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมฮอร์นายและโรงงาน Ojitex (60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทั้งนี้ นาย Pham Van Cuong รองผู้อำนวยการคณะกรรมการบอร์ด กล่าวเสริมว่านักลงทุนเน้นที่จะเบิกจ่ายเงินทุนในการสร้างโรงงานและการซื้อเครื่องจักรในไตรมาสที่ 1 และเริ่มดำเนินโครงการภายในสิ้นปี 2564 เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจเวียดนาม รวมถึงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนที่ดีในจังหวัดด่งนาย นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ทางจังหวัดดังกล่าวมีจำนวน 32 เขตอุตสาหกรรม ด้วยอัตราการดำเนินงาน 80%

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/dong-nai-attracts-over-226-million-usd-in-fdi-on-first-days-of-2021/194729.vnp

เมียนมาคาดส่งออกหัวหอมจะลดลงในปีนี้

สมาคมการผลิตและส่งออกหัวหอม กระเทียม และพืชอาหารของเมียนมาเผย การส่งออกหัวหอมคาดว่าจะลดลงในปีนี้แม้จะมีผลผลิตสูงก็ตาม เป็นผลมาจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยแม้ผลผลิตจะเพิ่มจาก 2,000 viss (1 Viss ประมาณ 1.63 กิโลกรัม) ต่อเอเคอร์เพิ่มเป็น 4,000 viss ต่อเอเคอร์ในปีนี้ ซึ่งผลผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น 2 เท่าในปี 2564 เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยจาก 2,000 viss ต่อเอเคอร์ในพม่าตอนบนเป็นมากกว่า 4,000 viss ต่อเอเคอร์ในปีนี้ เมียนมาผลิตหัวหอมได้ 300 ล้าน Viss ถึง 400 ล้าน Viss ในปีที่แล้วและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในปี 2564 รถบรรทุกผักกว่า 60 คันได้ส่งไปยังตลาดย่างกุ้งเป็นประจำทุกวัน หัวหอมขนาดเล็กที่ตลาดค้าส่ง Bayint Naung ราคาอยู่ที่ 150 – K200 จ๊าตต่อ viss ในขณะที่ขนาดกลางและขนาดใหญ่ขายที่ 300 จ๊าต และ 450 จ๊าตต่อ viss ตามลำดับ หัวหอมหนึ่งตันราคาส่งออกจะอยู่ที่ 350 เหรียญสหรัฐ โดยปกติจะส่งออกไปยังเวียดนามและมาเลเซีย แต่ปัญหาหลักคือการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ส่งผลให้ราคาเช่าเพิ่มขึ้นสองเท่าหรือสามเท่า อีกทั้งผู้ค้ายังพบปัญหาในการขนส่งและโลจิสติกส์เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ที่มีอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-onion-exports-expected-decline-year.html

บรูไนเจ้าภาพประชุมอาเซียนนัดแรก ผลักดัน 3 ยุทธศาสตร์ ฟื้นฟู-ดิจิทัล-ยั่งยืน

นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (SEOM Retreat) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยประเทศบรูไนดารุสซาลาม ทำหน้าที่ประธานอาเซียน บรูไน ได้เสนอประเด็นสำคัญที่ต้องการผลักดันให้สำเร็จ ภายในปี 2564 จำนวน 10 ประเด็น ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการฟื้นฟู 2.ด้านการเป็นดิจิทัล และ 3.ด้านความยั่งยืน  สำหรับยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ที่ประธานอาเซียนต้องการผลักดันมีสาระสำคัญ ดังนี้ 1. ด้านการฟื้นฟู ส่งเสริมมาตราการค้าเสรี การจัดทำแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวและการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดา 2. ด้านการเป็นดิจิทัล จัดทำแผนงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน 3. ด้านความยั่งยืน เช่น การจัดทำกรอบการส่งเสริมผู้ผลิตรายย่อย สหกรณ์ และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม  ในด้านอาหาร การเกษตร และป่าไม้ ยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจและความยั่งยืนของภูมิภาคภายหลังการระบาดของโควิด-19

ที่มา : https://www.ryt9.com/s/iq03/3191228

กลยุทธ์การเติบโตเศรษฐกิจของสปป.ลาวในอนาคต

 แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในสปป.ลาวเริ่มต้นเมื่อมีการเปิดประเทศในช่วงต้นทศวรรษ  1990     สปป. ลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลทำให้การค้าชายแดนเป็นพื้นที่สำคัญของสปป.ลาวในการค้าโดยประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่สำคัญของสปป.ลาว ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาสปป.ลาวเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญของโลกถึง 2 ครั้งซึ่งสร้างส่งผลกระทบต่อสปป.ลาว รวมถึงผลกระทบต่อกลยุทธ์การเติบโตของประเทศซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนตามบริบทของโลกหรือวิกฤตที่กำลังเผชิญ ปัจจุบันสปป.ลาวกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจโลกรวมถึงสปป.ลาว ถึงแม้สถานการณ์ COVID-19  ของสปป.ลาวจะไม่ได้รุนแรงแต่ประเทศที่สปป.ลาวพึ่งพา ไทย จีน เกาหลี ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ด้วยหตุนี้ทำให้สปป.ลาวได้รับผลกระทบไปด้วย ตัวเลขการประมาณการเศรษฐกิจ พ.ศ. 2564-2568 ถูกปรับลดจากเฉลี่ยจะเติบโตที่ร้อยละ 8   จะเหลือเพียงเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4 ในอนาคตสปป.ลาวจะมีการดำเนินกลยุทธ์การเติบโตควบคู่ไปกับความมั่นคงเสถียรภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจให้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน 

ที่มา : https://www.eastasiaforum.org/2021/01/15/what-next-for-laos-growth-strategy/