JICA สนับสนุนการพัฒนาสนามบินนานาชาติวัตไต

สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (JICA) และกรมการบินพลเรือนของสปป.ลาวได้บรรลุข้อตกลงในการปรับปรุงสนามบินนานาชาติวัตไต JICA ซึ่งเป็นตัวแทนของกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งได้ลงนามเพื่อดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนด้านเทคนิคเพื่อการปรับปรุงสนามบินอย่างต่อเนื่องรายละเอียดของโครงการจะมีการปรับปรุงอาคารสนามบินและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรวมถึงการขยายรันเวย์และการพัฒนามาตรการต่างๆ ให้เป็นสากลและทันสมัยมากขึ้น ปัจจุบันสนามบินให้บริการผู้โดยสารประมาณ 1.8 ล้านคนต่อปีและคาดการณ์ไว้สำหรับปี 2020 จะมีผู้โดยสารมากกว่า 1.5 ล้านคน หากพัฒนาให้เต็มความจุท่าอากาศยานคาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวของสปป.ลาวในอีกหลายทศวรรษที่จะมีการขยายตัวในอัตราที่สูงและเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจของสปป.ลาว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_JICA114.php

นายกรัฐมนตรีคาดการณ์เศรษฐกิจหดตัวมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.9 ในปีนี้

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศอาจหดตัวมาอยู่ที่ร้อยละ 1.9 ในปีนี้ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 เป็นสำคัญ โดยการเติบโตของของประเทศขึ้นอยู่กับการส่งออกเสื้อผ้า, รองเท้า, การท่องเที่ยว, การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเกษตร ซึ่งการส่งออกเสื้อผ้า, รองเท้าและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการระบาดของ Covid-19 โดยนายกรัฐมนตรียังคงมองในแง่ดีว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาจะกลับมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ในปี 2564 เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์จากต่างประเทศ โดยคาดการณ์เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ที่ร้อยละ 2.8 ในปีนี้และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยถึงร้อยละ 3.1 ในปีหน้าเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันระหว่างประเทศ ซึ่งธนาคารโลกกล่าวในรายงานล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่าเศรษฐกิจของประเทศมีแนวโน้มหดตัวระหว่างร้อยละ 1 ถึง 2.9 ในปีนี้ โดยถือเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537 รวมถึงหน่วยงานจัดอันดับเครดิตของมูดี้ส์เมื่อเดือนที่แล้วคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจขยายตัวประมาณ 0.3% ในปี 2020 และ 6% ในปีหน้า

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50733913/pm-forecasts-economic-contraction-of-1-9-percent-this-year/

การค้าระหว่างกัมพูชากับไทยมีมูลค่าสูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์ในรอบ 4 เดือน

การค้าระหว่างกัมพูชาและไทยมีมูลค่าสูงถึง 3.1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 18.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยกัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทย 2.4 พันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักร, สินค้าอิเล็คทรอนิคส์, เชื้อเพลิง, วัสดุก่อสร้าง, อาหาร, เครื่องสำอางและเครื่องใช้ในครัวเรือน ซึ่งกัมพูชาทำการส่งออกสินค้าไปยังไทยมูลค่า 687 ล้านดอลลาร์ จากการส่งออกสินค้าประเภทอัญมณีและผลิตผลจากฟาร์ม โดยทั้งสองประเทศกำลังมองหาการค้าทวิภาคีเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าให้ถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีนี้เทียบกับ 9.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 และ 8.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2561 จากข้อมูลในอดีต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50733994/cambodia-thailand-trade-hit-3-1-billion-in-four-months/

เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพ.ค.

จากรายงานของกรมศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่าในเดือนพ.ค. เวียดนามเกินดุลการค้า มีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ยอดเกินดุลการค้าสูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ข้อมูลเบื้องต้นของการค้าระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นว่าในเดือนพ.ค. เวียดนามมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 19.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะเดียวกัน มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 18.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.9 อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกพุ่งสูงขึ้นไปยังตลาดส่งออกรายใหญ่ ได้แก่ จีน (2.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) รองลงมาสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและอาเซียน เป็นต้น สำหรับสินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, โทรศัพท์และชิ้นส่วน, เครื่องจักรและรองเท้า เป็นต้น นอกจากนี้ ตัวเลขทางสถิติในเดือนพ.ค. ชี้ให้เห็นว่าตลาดส่งออกเริ่มกลับมาฟื้นตัว ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/vietnam-enjoys-us1-billion-in-trade-surplus-in-may-414911.vov

เวียดนามเผยยอดส่งออกผักผลไม้ครึ่งปีแรก สูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (MARD) เปิดเผยตัวเลขการส่งออกผักและผลไม้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 มีมูลค่ามากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน จีนยังคงเป็นผู้นำเข้าผักและผลไม้รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มีสัดส่วนร้อยละ 60.8 ของยอดนำเข้ารวม อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือ ลดลงร้อยละ 29.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ หลายตลาดขยายตัวได้ดี เช่น ไทย (57.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, เพิ่มขึ้น 244.1%) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเนเธอแลนด์ เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรส่งออกผักและผลไม้แปรรูปในช่วงเวลานี้ ยอดส่งออกจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงปลายปี เนื่องจากคาดว่าควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/veggie-fruit-exports-exceed-15-billion-usd-in-first-half/174897.vnp

YBS ใช้ระบบการชำระเงินด้วยบัตรเริ่มมิถุนายนนี้

ย่างกุ้งเปิดตัวระบบชำระเงินย่างกุ้ง (YPS) สำหรับรถประจำทางในปลายเดือนมิถุนายนจากรายงานของ Asia Starmar Transport Intelligent ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้ชนะการประกวดราคา เทคโนโลยีระบบบัตร YPS ได้ติดตั้งบนรถบัสเกือบ 2,000 คัน โดยจะมีจะขายในร้านสะดวกซื้อ รถบัส 2,000 คันได้รับการติดตั้งพร้อมกับอีก 500 เครื่องที่รอส่ง ภายใต้แผนที่จะติดตั้งเครื่องบนรถบัส 4,000 คัน  จะมีการออกบัตรจำนวน 100,000 ใบ โดยแต่ละใบมีราคาเริ่มต้นที่ 1,000 จัต รถโดยสาร YBS มีผู้โดยสารประมาณ 1.8 – 2.5 ล้านคนก่อนเกิดการระบาดใหญ่ แต่ผู้โดยสารลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วเมื่อปลายเดือนมีนาคมเหลือเพียง 100,000 คน ส่วนในเดือนมิถุนายนจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/ybs-adopt-card-payment-system-june.html

ฮ่องกงลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูงสุดในเมียนมาในปีงบประมาณนี้

ฮ่องกงกลายเป็นแหล่งที่มาของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่สำคัญ จากช่วงเจ็ดเดือนแรกของปีงบประมาณ 2562-2562 ซมีสัดส่วนประมาณ 32 % ของภาระผูกพันโดยรวม จากเดือนตุลาคม 2562 ถึงเมษายน 2563 มีการลงทุนโดยตรงจากหน่วยงานต่าง ๆ ในฮ่องกงจำนวน 39 แห่งมีมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากข้อมูลจากคณะกรรมการการลงทุนและการบริหารบริษัท (DICA) คิดเป็น 23% ของเป้าหมายการลงทุน 5.8 พันล้านดอลลาร์ตามเป้าหมายของรัฐบาล ส่วนใหญ่จะลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและพลังงาน การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ปี 2531 มีบริษัทจากฮ่องกงกว่า 200 แห่งได้ทำสัญญา FDI มากกว่า 9.5 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากความต้องการ พลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และภาคการผลิตของประเทศขยายตัวตามความต้องการที่สูงขึ้น

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/hong-kong-top-fdi-source-myanmar-fiscal-year.html

สมคิด สั่งบีโอไอเร่งสร้างปมเด่นประเทศไทย

รองนายกฯ สมคิด มอบนโยบายบีโอไอ ชี้ใช้โอกาสภาพลักษณ์จัดการโควิดดี เป็นโอกาส หันทิศใหม่สร้างฐานธุรกิจในประเทศให้ใช้ฐานการผลิตเกษตร อาหารที่ดีให้เป็นประโยชน์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายการทำงานให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า ได้สั่งให้บีโอไอปรับรูปแบบการทำงานใหม่ โดยใช้โอกาสที่ทั่วโลกเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ เร่งสร้างปมเด่นให้กับประเทศไทย เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ โดยต้องสร้างฐานธุรกิจภายในประเทศให้มากขึ้น เพราะไทยเรามีจุดเด่นทั้งด้านเกษตร อาหาร และการบริการที่สามารถผลักดันจนเป็นศูนย์กลางซีแอลเอ็มวี        นายสมคิด กล่าวว่า ยังสั่งให้บีโอไอตั้งเป้าหมายการทำงานในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยต้องสร้างธุรกิจของไทยก้าวไปสู่ชั้นของธุรกิจยูนิคอร์น หรือ ธุรกิจที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ได้ เพราะปัจจุบันมีธุรกิจไทยหลายประเภทที่สามารถผลักดันขึ้นมาเป็นยูนิคอร์นได้หากบีโอไอเข้าไปช่วยส่งเสริมถูกจุด…

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/780008