B คาดปี 63 พลิกมีกำไรสุทธิ จากวางเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 20% พร้อมรุกโลจิสติกส์ CLMV กลุ่มอีคอมเมิร์ช

“บี จิสติกส์” ลั่นผลงานปี 63 เทิร์นอะราวด์ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เหตุเทรนด์ธุรกิจโลจิสติกส์มาแรงและเติบโตสูง วางยุทธศาสตร์เจาะกลุ่ม CLMV พร้อมเพิ่มบริการเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้าง-บริหารจัดการคลังสินค้า โดยประธารบริหารบริษัทบี จิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแผนการดำเนินงานปี 63 ตั้งเป้าผลในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจง) ประกอบกับบริษัทให้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจภายใน ทั้งนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV  ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง และปัจจุบันธุรกิจโลจิสติกส์ถือเป็นรายได้หลักของบริษัทสัดส่วนกว่า 80% ของรายได้รวม ขณะเดียวกัน ในปี 2563 บริษัทยังได้ขยายขอบข่ายการทำธุรกิจที่ต่อยอดกับธุรกิจหลัก โดยเพิ่มการให้บริการ การเป็นที่ปรึกษาออกแบบก่อสร้างและบริหารจัดการคลังสินค้า ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

ที่มา : นสพ.ข่าวหุ้น ฉบับวันที่ 14 ม.ค. 2563

เวียดนามมียอดเกินดุลการค้า 11.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 62 : กรมศุลกากร

จากรายงานของสำนักงานศุลกากรเวียดนาม เปิดเผยว่ายอดเกินดุลการค้าของเวียดนามปี 2562 อยู่ที่ 11.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่เกินดุล 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดของเวียดนาม ได้แก่ สมาร์ทโฟน เสื้อผ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ขณะที่สินค้านำเข้าหลัก คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร ซึ่งการส่งออกในปี 2562 อยู่ที่ 264.189 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ขณะที่ ยอดการนำเข้าอยู่ที่ 253.071 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 ทั้งนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 46.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว จาก 34.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า สำหรับสถานการณ์การค้ากับสหรัฐฯนั้น เวียดนามมีความเสี่ยงที่จะถูกระบุว่าเป็นประเทศที่มีการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Manipulation) เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ในทิศทางที่เป็นบวกอย่างสูงและทางธนาคารกลางทำการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากขึ้น เพื่อลดช่องว่างทางการค้าหลังจากสหรัฐฯกำหนดอัตราภาษีสินค้าอเมริกาท่ามการสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20200114/vietnam-2019-trade-surplus-1112-billion-beating-994-billion-forecast-customs/52583.html

สนามบินนานาชาติเตินเซินเญิ้ตให้บริการรองรับผดส. 3.7 ล้านคน ในช่วงเทศกาลเต็ด

จากตัวแทนของสนามบินนานาชาติโฮจิมินห์ซิตีเตินเซินเญิ้ต (Ho Chi Minh City Tan Son Nhat International Airport) เปิดเผยว่ามีจำนวนเที่ยวบินขาเข้าและขาออกประมาณ 965 เที่ยวบิน ในช่วงไฮซีซั่นก่อนที่จะถึงช่วงเทศกาลเต็ด (Tet) ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มกราคม และคาดว่ามีผู้โดยสารมากกว่า 3.7 ล้านคนในช่วงเทศกาลปีใหม่ตรงกับตรุษจีน โดยเพื่อตอบสนองต่อการท่องเที่ยวที่มากขึ้นในช่วงเทศกาลดังกล่าวนั้น สิ่งอำนวยทางด้านโครงสร้างพื้นฐานจะได้รับการลงทุนพร้อมกัน ซึ่งสายการบินประจำชาติเวียดนามได้ติดตั้งตู้คิออส (Kiosk) มากกว่า 10 แห่งที่อาคารผู้โดยสารในประเทศ เพื่อให้บริการที่ดียิ่งขึ้นและลดความแออันตรงหน้าเคาน์เตอร์เช็คอิน ประกอบกับมีการเพิ่มพื้นที่สแกนและระบบรักษาความปลอดภัยมากขึ้น รวมไปถึงลานจอดอากาศยานมากกว่า 14 แห่ง

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/tan-son-nhat-airport-to-serve-over-37-million-passengers-during-tet-408789.vov

เมียนมาต้องการตลาดอัญมณีที่ดีขึ้น

ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมากำลังพัฒนาตลาดสำหรับอัญมณีดิบ แม้เมียนมาจะเป็นผู้ผลิตอัญมณีและส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ไทยและจีน ซึ่งอัญมณีดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อผลิตอัญมณีราคาแพงโดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ในการติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านต้องเพิ่มมูลค่าและความสามารถให้กับตลาดอัญมณีให้มากขึ้น ปัจจุบันความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการสมาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวทำให้ตลาดอัญมณีในเมียนมาเติบโตช้า ในขณะที่มีตลาดขนาดเล็กสำหรับอัญมณีที่ทำผลิตจากเมียนมา สินค้าสำเร็จรูปจำนวนมากขายในราคาที่ถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เหตุผลหนึ่งก็คืออัญมณีในท้องถิ่นได้ยังขาดคุณภาพ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/better-jewellery-market-needed-myanmar-official.html

เมียนมามีรายรับจากการส่งออกประมง 270 ล้านเหรียญสหรัฐ

เมียนมามีรายรับมากกว่า 270 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกประมงตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 3 มกราคมในปีงบประมาณนี้และมากกว่า 37 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้ว ปัจจุบันเมียนมาจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการส่งออก 10 เท่าหรือมากกว่านั้น ซึ่งต้องพัฒนาเทคนิคการผสมพันธุ์แทนการจับปลาตามธรรมชาติ โดยจะร่วมมือกับอินโดนีเซีย ไต้หวัน และจีนเพื่อสร้างโรงงานอาหารปลา โรงงานห้องเย็น และโรงงานที่ทันสมัยเพื่อสร้างรายได้ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐจากภาคการประมง คาดสามารถสร้างงานได้ถึง 100,000 ตำแหน่ง ซึ่งกระทรวงการวางแผนและการเงินจะให้สินเชื่อเพื่อซื้อที่ดิน สร้างโรงงานสำหรับปลาและกุ้ง

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-earns-us270-m-from-fishery-export

บริษัท อีวีลาว จำกัด ร่วมมือกับ Electricite du Laos (EDL) ติดตั้งสถานีชาร์จ 100 แห่ง

บริษัท อีวีลาว จำกัด ได้ร่วมมือกับ Electricite du Laos (EDL) เพื่อติดตั้งสถานีชาร์จ 100 แห่งสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า (EV) ในปีนี้ คุณอัญชลีบูรณานนท์กรรมการผู้จัดการบริษัท อีวีลาว จำกัดกล่าวว่าในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับ EDL ติดตั้งสถานีชาร์จ 7 แห่งเพื่อเพิ่มการรองรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ที่อนาคตจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันตลาดยานพาหนะไฟฟ้า (EV)ของสปป.ลาวศักยภาพสูงมากที่จะขยายตลาดแต่พวกเขากำลังรอทิศทางนโยบายของรัฐบาลสปป.ลาวจึงทำให้การขยายตลาดทำได้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตามภาครัฐกำลังทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในสปป.ลาวเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้น้อยที่สุดตามแผนส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคการขนส่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลในการจัดหาพลังงานสู่ภาค ทำให้ตลาดยานพาหนะไฟฟ้า (EV)ในอนาคตเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูง

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/100-charging-stations-jump-start-electric-vehicle-use-111969

ความร่วมมือสปป.ลาว – จีนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและการเกษตรในสะหวันนะเขต

หน่วยงานสปป.ลาวและบริษัทจีนจะสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมและการเกษตรในเมืองเซโปน แขวงสะหวันนะเขต ซึ่งบริษัท ซันเปเปอร์โฮลดิ้งลาว จำกัด จะให้การสนับสนุนมากกว่า 177 พันล้านกีบ (20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อดำเนินโครงการบนที่ดิน 800 เฮกตาร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและการลงทุนในแขวงสะหวันนะเขตและผู้อำนวยการ บริษัท ซันเปเปอร์โฮลดิ้งลาว จำกัด ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับโครงการ โดยมีแผนที่จะจัดสรรที่ดินเพื่อการเพาะปลูก การเลี้ยงปลาและการปลูกต้นไม้เพื่อการผลิตที่ยั่งยืนที่จะสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น หน่วยงานและบริษัทยังวางแผนที่จะพัฒนาพื้นที่โครงการ 800 เฮกตาร์เป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยสร้างเพื่อรับรองผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/lao-chinese-partnership-develop-industry-and-agriculture-savannakhet-111968