การค้าระหว่างกัมพูชาและเวียดนามเพิ่มขึ้น 13.8%

การค้าระหว่างกัมพูชาและเวียดนามมีมูลค่าถึง 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 13.8% จากเดือนมกราคมถึงตุลาคม โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายของรัฐบาล ซึ่งทั้งสองประเทศมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณการค้าให้ถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020 โดยหอการค้าเวียดนามและหอการค้ากัมพูชาร่วมกันจัดเวทีธุรกิจในกรุงพนมเปญ ซึ่งฟอรัมในครั้งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างสองประเทศ โดยพวกเขาได้หารือเกี่ยวกับประเด็นสำคัญรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของการแลกเปลี่ยนการค้าและการปกป้องผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายขององค์กร ซึ่งเวียดนามรายงานว่าขณะนี้มีโครงการลงทุน 214 แห่ง ในกัมพูชาด้วยการลงทุนมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ สิ่งนี้ทำให้เวียดนามเป็นผู้ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในกัมพูชา ขณะเดียวกันกัมพูชามีโครงการลงทุน 21 โครงการในเวียดนามด้วยมูลค่าการลงทุนเกือบ 64 ล้านเหรียญสหรัฐติดอันดับ 54 ใน 132 ประเทศที่ลงทุนในประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50669272/kingdoms-trade-with-vietnam-rises-13-8/

กัมพูชาอาจได้รับเอกสิทธิ์ทางการค้าจากอังกฤษหลัง Brexit

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวถึงสหราชอาณาจักรได้ให้คำมั่นที่จะรักษาสิทธิพิเศษของกัมพูชาในการเข้าถึงตลาดของตนแม้จะออกจากสหภาพยุโรป โดยนายกรัฐมนตรีฮุนเซนกำลังติดตามสถานการณ์ในสหราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิดเนื่องจากประเทศเตรียมที่จะออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการส่งออกของกัมพูชาภายในกลุ่มยุโรป โดยการค้าระหว่างกัมพูชาและสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นจาก 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2555 เป็นมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2561 จากตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งกัมพูชาส่งออกเสื้อผ้า, รองเท้า, ข้าวสารและจักรยานไปอังกฤษเป็นหลัก โดยในระหว่างการเยือนกัมพูชาในช่วงกลางเดือนกันยายนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเครือจักรภพอังกฤษแห่งเอเชียกล่าวว่ากัมพูชาเป็นหนึ่งใน 48 ประเทศ ที่พัฒนาน้อยที่จะได้รับการรักษาสิทธิพิเศษทางการค้าในตลาดสหราชอาณาจักร ซึ่งสหราชอาณาจักรจะยังคงจัดให้มีโครงการการค้าพิเศษแก่กัมพูชาและประเทศที่พัฒนาน้อยอีกกว่า 48 ประเทศ แม้หลังออกจาก EU ในอนาคต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50669270/cambodia-to-keep-trade-privileges-in-the-uk-after-brexit-hun-sen/

“มหากิจศิริ”ซุ่มขอไลเซนส์ ดัน”ทาโก้เบลล์”รุก CLMV

“มหากิจศิริ” ซุ่มเจรจาขอสิทธ์ทาโก้ เบลล์ รุกตลาดซีแอลเอ็มวี หลังเปิดตลาดในไทยได้ดี ลั่นอีก 5 ปีผุดสาขาครบ 40 แห่งในไทย ด้านยัมเจ้าของทาโก้เบลล์ ลั่นโหมตลาดเอเชียแปซิฟิกนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีทีเอ และกรรมการ บริษัท สยามทาโก้ จำกัด ผู้บริหารร้านทาโก้ เบลล์ (Taco Bell) ในไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความสนใจที่จะขอลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านทาโก้เบลล์ ซึ่งเป็นอาหารจานด่วนสไตล์เม็กซิกันเพื่อทำตลาดในกลุ่ม CLMV ( กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และ เวียดนาม) เพิ่มเติม ซึ่งก็เริ่มมีการเจรจากันบ้างแล้วแต่ยังไม่เป็นทางการ หลังจากที่บริษัทฯรับสิทธ์ทำตลาดในไทยมาปีเศษแล้วประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยส่วนในปี 2563 ได้เตรียมที่จะขยายแบรนด์ทาโก้ เบลล์ เข้าไปเปิดตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเติม โดยเบื้องต้นมองไปที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย หลังจากที่เปิดตลาดไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ทั้งนี้ ร้านทาโก้ เบลล์ มีจำนวนสาขามากกว่า 7,000 แห่งในตลาดอเมริกา ส่วนตลาดนอกอเมริกามีประมาณ 580 สาขา กระจายในเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก

ที่มา : https://mgronline.com/business/detail/9620000118260

เวียดนามเผยยอดการส่งออกผักและผลไม้ ลดลงเล็กน้อย

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนาม (MARD) เปิดเผยว่ามูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนามลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2562 โดยยอดการส่งออกลดลงดังกล่าว เป็นผลมาจากยอดขายของแก้วมังกรลดลงร้อยละ 9 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31 ของมูลค่าการส่งออกผลไม้รวม, ทุเรียน (ลดลง 17.4%), มะพร้าว (ลดลง 35%), ลำไย (ลดลง 56%) และแตงโม (ลดลง 26.4%) เป็นต้น ทั้งนี้ สำนักงานผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและพัฒนาตลาด ระบุว่าการส่งออกไปยังจีนลดลงอย่างมาก ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 66.8 ของมูลค่าการส่งออกผักและผลไม้รวม ทางด้านยอดการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้นั้น ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ว่ายังไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของตลาดจีนได้

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/fruit-vegetables-exports-see-slight-decrease-407397.vov

Hoa Phat Steel Pipe ส่งออกท่อเหล็กพุ่งสูงขึ้น 22.3% ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 62

บริษัทฮว่า ฟ้าด กรุ๊ป (Hoa Phat Group) ได้แตกธุรกิจท่อเหล็กเป็นบริษัทฮว่า ฟ้าด สตีลไพพ์ จำกัด ระบุว่าปริมาณการส่งออกท่อเหล็กอยู่ที่ 17,000 ตัน ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ อเมริกาเหนือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และละตินอเมริกา เป็นต้น ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน บริษัทฯได้จำหน่ายท่อเหล็กกว่า 72,500 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้บริษัทฯนั้นเป็นซัพพลายเออร์ผลิตท่อเหล็กรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 31 ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดการขายท่อเหล็กอยู่ที่ 750,000 ตัน ในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ภายในปี 2562 และมีอัตราการเติบโตร้อยละ 10 ในปี 2563

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/hoa-phats-steel-pipe-export-surges-223-pct-in-11-months-407398.vov

การนำเข้าสินค้าทุนมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในเวลาสองเดือน

ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ถึง 29 พ.ย.ในปีงบประมาณปี 62-63 มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนสูงถึง 1,021 ล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่มูลค่าของปีที่แล้วอยู่ที่ 934.902 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเกินกว่า 86.701 พันล้านเหรียญสหรัฐ มีธุรกิจต่างประเทศ 35 แห่งที่ได้รับการอนุมัติมีการลงทุน 496.282 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลาดังกล่าวธุรกิจที่ลงทุนอยู่แล้วได้ขยายการลงทุนเป็น 18 พันล้านเหรียญสหรัฐ และการลงทุนใหม่มีมูลค่า 514.882 ล้านเหรียญสหรัฐ จำนวนการลงทุนจากต่างประเทศที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษติวาล่ามีมูลค่าถึง 14.303 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นการลงทุนจากต่างประเทศรวม 529.189 พันล้านเหรียญสหรัฐรวมถึงการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เมียนมาตั้งเป้าที่จะได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศรวมกว่า 220,000 ล้านเหรียญสหรัฐใน 20 ปี และมีเป้าหมายที่จะเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางภายในปี 2573

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/capital-goods-import-value-over-1bn-in-two-months

จำนวนนักท่องเที่ยวชายแดนเมียวดีเพิ่มขึ้น

นักท่องเที่ยวจากประเทศที่สามกว่า 37,000 คนเดินทางผ่านชายแดนเมียวดีของเมียนมา ใน 11 เดือนของปีนี้เพิ่มขึ้น 23,000 คนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ปี 61 มีเพียง 14,000 คนที่มาเยือนเมียนมาผ่านทางชายแดนเมียวดีและจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยใช้ e-visas เพื่อเริ่มธุรกิจและการท่องเที่ยว ในปีนี้มีนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยจำนวน 5,937 คน มีชาวเมียนมามากกว่า 26,800 คนเดินทางมาไทยด้วยวีซ่าหนังสือและมีเพียง 13,000 คนที่เดินทางกลับ เมียนมาปิดประตูชายแดนเพื่อให้กับนักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 56 และนิยมใช้ e-visas ผ่านระบบออนไลน์

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/number-of-tourist-arrival-via-myawady-border-increases

ไฮ-คูล รุกตลาดลุ่มน้ำโขง จ่อขึ้นเบอร์1ฟิล์มกรองแสง

ไฮ-คูลลั่น ปีนี้โกยรายได้ทะลุ 700 ล้าน เตรียมรุกหนักตลาด CLMV เล็งเปิดสาขา ในเวียดนามเพิ่มเท่าตัว หวังขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งลุ่มน้ำโขงใน 3 ปี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ลีวณิชย์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงไฮ-คูล เปิดเผยว่าแนวโน้มตลาดฟิล์มกรองแสงโดยรวมปีนี้อยู่ในภาวะที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับภาวะเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ ที่มีอัตราการเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ แต่สำหรับไฮ-คูลกลับมีผลการดำเนินธุรกิจสวนกระแสภาวะตลาด มียอดขายของบริษัทปีนี้เติบโต 8-9% จากรายได้ที่ ตั้งเป้าไว้ทั้งปีที่ 700 ล้านบาทแบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายในประเทศ 95% และต่างประเทศ 5% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามกลยุทธ์การตลาดที่วางไว้ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดฟิล์มกรองแสงในประเทศไทย ประกอบกับการเดินหน้ารุกตลาดในประเทศไทยต่อเนื่อง และการเดินหน้าเปิดตลาดฟิล์มกรองแสงไปยังประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง หรือ CLMV  โดยเฉพาะตลาดเวียดนามถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และกลุ่มพันธมิตรที่เข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายฟิล์มกรองแสงไฮ-คูล ในปีที่ผ่านมาถึง 70 ราย และปี 63 จะเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัวเป็น 160 ราย ทั้งนี้บริษัทจะต้องก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ภายใน 3 ปี หลังจากในปีที่ผ่านมา สามารถก้าวขึ้นเป็นฟิล์มกรองแสงที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 3 ในประเทศเวียดนามได้แล้ว

ที่มา: นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 – 15 ธ.ค. 2562

สำนักงานสถิติสปป.ลาววิจัยการเติบโตของประชากรวัยหนุ่มสาว

สำนักงานสถิติ สปป.ลาวกำลังทำการวิจัยเพื่อประเมินอัตราการเติบโตของประชากรเยาวชนในช่วงปี 58-78 เพื่อเป็นข้อมูลอันมีค่าที่จะช่วยในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการสำรวจในปี 58 เปิดเผยว่าประชากรสปป.ลาวประกอบด้วยวัยคนหนุ่มสาวมากกว่าครึ่งหนึ่ง การสำรวจสำมะโนประชากรและเคหะครั้งที่ 4 ในปี 58 แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 60 ของประชากรสปป.ลาวอายุต่ำกว่า 25 ปีในขณะที่ผู้ที่มีอายุระหว่าง 10 – 24 ปีถึงร้อยละ 31 ตอนนี้ 1 ใน 3 ของประชากรอาศัยอยู่ในเขตเมืองและประชากรส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ในชนบท ทั้งนี้ สปป.ลาวจะดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากรประชากรในปี 63 โดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบอายุเพื่อให้ข้อมูลที่ทันสมัย อย่างไรก็ตามประชากรวัยหนุ่มสาวจะนำไปสู่โอกาสและความท้าทายสำหรับภาคสาธารณสุข การศึกษา สวัสดิการและแรงงาน โดยจะทำการวิจัยทั้งในเรื่องการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง เช่น อัตราการเกิดการตายและการย้ายถิ่นฐาน เพื่อกำหนดแผนและนโยบายในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาของรัฐบาล จากการสำรวจสำมะโนประชากรและเคหะ ครั้งที่ 4 ในปี 58 พบว่ามีประชากรทั้งหมด 6,492,228 คน เพิ่มขึ้น 5,621,982 คนจากปี 48 ซึ่ง 3,237,458 เป็นเพศหญิง

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2019-12/11/c_138622972.htm