เจาะตลาดเวียดนาม 5 ช่องทางการขายที่คุณต้องรู้
โดย IH DIGITAL
เวียดนามถือว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ด้วยประชากรกว่า 90 ล้านคนและส่วนใหญ่ก็เป็นหนุ่มสาววัยทำงานที่กำลังช่วยพัฒนาประเทศ แน่นอนว่าด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจ ย่อมทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของชาวเวียดนามเพิ่มมากขึ้นและต้องมีนักลงทุนที่อยากไปเจาะตลาดเวียดนาม ทั้ง 5 ช่องทางนี้ เหมาะกับผู้ประกอบการ ดังนี้
- ใช้ผู้แทน/ตัวแทนจำหน่าย เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ SMEs หรือผู้ที่มีประสบการส่งออกน้อย ควรเลือกใช้ตัวแทนจำหน่าย (Distributor)
- เปิดร้านค้าใน E-Commerce เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ SMEs หรือผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการขายของออนไลน์เป็นอย่างดี เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมในเวียดนาม ได้แก่ Lazada, Shopee, TIKI, LOTTE, Sendo.VN
- เปิดร้านค้าผ่าน Social Media คล้ายกันกับข้อที่ 2 – ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังไม่เชี่ยวชาญในด้าน E-Commerce สามารถขายได้บนช่องทาง Social Media โดยแพลทฟอร์มที่ได้รับความนิยมในเวียดนามคือ FACEBOOK และ Instagram
- การส่งออก สำหรับบริษัทขนาดใหญ่หรือผู้ที่มีประสบการณ์การส่งออกสูง
- ก่อตั้งบริษัทการค้า เหมาะสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีภาพลักษณ์ของแบรนด์มั่งคงและน่าเชี่อถือในตลาดเวียดนาม
แต่อย่างไรก็ตาม แผนการตลาดเป็นปัจจัยสำคัญมาก ผู้ประกอบการอาจเลือกการโปรโมทสินค้าด้วยการแจก หรือให้ส่วนลดพิเศษต่าง ๆ ที่ดูฮาร์ดเซลส์ เมื่อเข้าสู่ตลาดเวียดนามในระยะแรก ส่วนในระยะยาวอาจใช้โฆษณา ป้ายประกาศ หรือช่องทางออนไลน์เพื่อให้คนเวียดนามจดจำตัวสินค้าและซื้อมาบริโภค “สิ่งที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะพลาดคือไม่ได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับแผนการตลาด”
สอดส่ายหาโอกาสธุรกิจขนมขบเคี้ยวในเวียดนาม
โดย SME Go Inter
จากการสำรวจของบริษัท The Harris Poll and Mondelez International เผยว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในเวียดนาม ขนมขบเคี้ยวกำลังเข้ามาแทนที่มื้ออาหารดั้งเดิม เนื่องจากวิถีการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ที่เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้ขนมขบเคี้ยวสามารถสร้างกำไรทั่วโลกรวมทั้งในเวียดนาม
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครโฮจิมินห์ ระบุว่าขนมขบเคี้ยวมียอดขายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนักเรียนและพนักงานออฟฟิสนิยมซื้อในช่วงพักและตลาดกำลังมีความหลากหลายมากขึ้น เพราะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้านผลกระทบและโอกาสของผู้ประกอบการไทย – ปัจจุบันตลาดของขนมขบเคี้ยวของเวียดนามมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว เป็นโอกาสของสินค้าและบริการจากไทยในการขยายตลาดเข้าสู่เวียดนาม ขณะเดียวกันเวียดนามมีผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากต่างชาติ เช่น Nestle หรือ Lay’s เป็นต้น สำหรับขนมขบเคี้ยวแบรนด์ไทยที่มีวางจำหน่าย เช่น สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ขาไก่โลตัส เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสสำหรับขนมขบเคี้ยวแบรนด์ไทยอื่นๆ ที่จะเข้าสู่ตลาด ดังนี้
- แนวโน้มประชากรเวียดนามวัยรุ่นถึงวัยทำงานจำนวนมาก ด้วยกำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้น
- พฤติกรรมบริโภคที่เปลี่ยนไป (ขนมขบเคี้ยวเปลี่ยนไปเป็นการบริโภคทดแทนมื้ออาหาร)
- ตลาดเวียดนามมีความหลากหลายมากขึ้น
- คนเวียดนามเปิดกว้างต่อสินค้าใหม่ๆ
เปิดโอกาสใหม่ทางการค้า-การลงทุนของเวียดนาม แต่อาจสร้างความเสี่ยงต่อไทย
โดย Soison Lohsuwannakul I วิจัยกรุงศรี Research Intelligence
ความตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (The EU-Vietnam Free Trade Agreement: EVFTA) เป็นความตกลงแรกของเวียดนามที่เปิดเสรีการค้าเกือบทุกรายการสินค้า อีกทั้งยังครอบคลุมการเปิดเสรีการบริการและการลงทุนในระดับสูงกว่าทุกความตกลงที่เวียดนามมีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่เวียดนามเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติเข้าร่วมการประมูลของรัฐ ทำให้เวียดนามมีศักยภาพในการส่งออกมากขึ้น สามารถดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศ ที่สำคัญจะช่วยให้เวียดนามเพิ่มแต้มต่อและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว สำหรับประเทศไทยอาจได้รับผลข้างเคียงเชิงลบ โดยสินค้าไทยมีแนวโน้มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ขณะเดียวกันการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตระหว่างเวียดนามและ EU อาจส่งผลให้ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกชิงส่วนแบ่งตลาดในเวียดนามและ EU มากขึ้นในระยะนับจากนี้
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2019 ทางการเวียดนามและสหภาพยุโรป (The European Union: EU) ได้ลงนามความตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (The EU- Vietnam Free Trade Agreement: EVFTA)/1 ซึ่งครอบคลุมการเปิดเสรีการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน ความตกลงดังกล่าวคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในครึ่งแรกของปี 2020
สำหรับความตกลง EVFTA ฉบับนี้เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญของเวียดนามในการเชื่อมโยงประเทศสู่เวทีการค้าการลงทุนระดับโลก โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ (1) ความตกลง EVFTA มีระดับการเปิดเสรีการค้าสินค้าเกือบ 100% สูงสุดในบรรดาความตกลงที่เวียดนามลงนามและมีผลบังคับใช้แล้ว/2 (2) เวียดนามเป็นประเทศที่ 2 ของอาเซียนถัดจากสิงคโปร์ ที่ได้ลงนามความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับ EU/3 และ (3) เวียดนามเป็นประเทศกำลังพัฒนารายแรกที่บรรลุความตกลงการค้าเสรีที่มีมาตรฐานสูง/4 กับ EU ซึ่งนอกเหนือจากการเปิดเสรีการค้าการลงทุนในเชิงปริมาณ (ในลักษณะของการลดอัตราภาษีนำเข้าหรือการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ) ยังรวมถึงการปรับปรุงคุณภาพ มาตรฐาน ความเท่าเทียมในการแข่งขัน ตลอดจนการยกระดับความร่วมมือและแลกเปลี่ยนทางเทคนิคระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นโอกาสของเวียดนามในการพัฒนาเศรษฐกิจต่อไป
ไม่เพียงเท่านี้ ความตกลง EVFTA ยังเป็นความตกลงแรกที่ทางการเวียดนามเปิดกว้างให้นักลงทุนจาก EU สามารถเข้าประมูลสัญญาของภาครัฐได้
- การเปิดเสรีการค้าสินค้า EU จะลดภาษีให้เวียดนามในสัดส่วนสินค้าที่มากกว่าและกรอบเวลาที่สั้นกว่าเวียดนาม ดังนี้
- EU จะยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าแก่เวียดนามเป็นสัดส่วนร้อยละ 85.6 ของรายการสินค้าที่มีการค้าระหว่างกัน (Tariff lines) ทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้
- เวียดนาม จะยกเว้นภาษีนำเข้าแก่ EU เป็นสัดส่วนร้อยละ 48.5 ของรายการสินค้าที่มีการค้าระหว่างกันทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ และจะทยอยยกเว้นภาษีเพิ่มเติมจนมีสัดส่วนร้อยละ 98.3 ภายในระยะเวลา 11 ปีนับจากวันที่ความตกลงมีผลบังคับใช้
- การเปิดเสรีด้านบริการ ภายใต้ EVFTA เวียดนามมีการเปิดเสรีในระดับสูงกว่าที่ตกลงไว้กับ WTO และสูงกว่าความตกลงอาเซียน
- การเปิดเสรีการลงทุน: ภายใต้ความตกลง EVFTA เวียดนามเปิดเสรีในระดับสูงกว่าทุกความตกลงที่ประเทศมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
- การเปิดเสรีการลงทุนในสาขาการผลิต เวียดนามและ EU เปิดเสรีการลงทุนเกือบทุกสาขา
- สำหรับการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาบริการ นักลงทุนจาก EU สามารถลงทุนในเวียดนามได้เสรีและถือหุ้นได้ในสัดส่วนสูงสุดถึง 100% ในหลายสาขาบริการ และสูงกว่าที่นักลงทุนจากอาเซียนได้รับอนุญาต
- การเปิดเสรีด้านอื่น ๆ : ความตกลง EVFTA ยังเป็นความตกลงฯ ที่มีมาตรฐานสูงและครอบคลุมกว่าความตกลงอื่นที่เวียดนามมีอยู่ โดยเฉพาะการเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติเข้าประมูลงานและสัญญาของรัฐได้ อีกทั้งยังให้ความคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้ การประมูลงานและสัญญาของรัฐ (Public contracts) เป็นครั้งแรกที่เวียดนามเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าประมูลงานของรัฐได้ ภายใต้ความตกลง EVFTA นักลงทุนจาก EU สามารถเข้าร่วมประมูลงานและสัญญาของรัฐ ที่อยู่ภายใต้อำนาจระดับกระทรวงของเวียดนาม
การเปิดเสรีด้านบริการและการลงทุน รวมถึงความร่วมมืออื่น ๆ ภายใต้ EVFTA จะยิ่งส่งผลเชิงบวกต่อเวียดนามในระยะยาว
เมื่อพิจารณาถึงประเด็นอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้ความตกลง EVFTA พบว่า มีนัยสำคัญต่อการขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน รวมถึงโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของเวียดนาม ประเด็นดังกล่าวที่สำคัญ ได้แก่
- การเปิดเสรีด้านบริการและการลงทุนในเชิงลึกและกว้างมากขึ้นภายใต้ความตกลง EVFTA เอื้อให้เวียดนามมีโอกาสดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้น
- การเปิดกว้างด้านการประมูลงานและสัญญาของรัฐ เป็นโอกาสดึงดูดการลงทุนและการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนาม โดยนักลงทุนจาก EU สามารถเข้าร่วมประมูลงานของรัฐและเข้าร่วมโครงการลงทุนของภาครัฐได้เป็นครั้งแรก ขณะที่เวียดนามจะได้ประโยชน์จากการสรรหาผู้รับงานที่หลากหลาย
- ความร่วมมือด้านต่างๆ ภายใต้ความตกลงฯ จะส่งผลเกื้อหนุนการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว นอกเหนือจากการเปิดเสรีด้านการค้า บริการ และการลงทุนแล้ว ความตกลง EVFTA ยังมีประเด็นครอบคลุมถึงการส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม การลดการผูกขาดของรัฐ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายในด้านต่าง ๆ
EVFTA อาจส่งผลเชิงลบต่อไทย จากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางภาษี รวมทั้งผลกระทบจากการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตระหว่างเวียดนามและ EU
- ผลจากการยกเว้นภาษีนำเข้าภายใต้ความตกลง EVFTA จะส่งผลสุทธิทางลบต่อการส่งออกของไทยโดยรวมไปเวียดนามและ EU
ผลจากการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade diversion) และการย้ายฐานการลงทุน (Investment relocation) ที่เกิดขึ้นจากความตกลง EVFTA จะทำให้ประเทศอื่นมีแนวโน้มได้รับผลกระทบเชิงลบ
- การส่งออกไทยไปเวียดนามลดลงร้อยละ 0.17 จากการสูญเสียความได้เปรียบทางภาษี
ในปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าอันดับต้นๆ ของเวียดนาม เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบด้านภาษีจากการเปิดเสรีการค้าอาเซียนเมื่อเวียดนามเปิดเสรีการค้าภายใต้ความตกลง EVFTA อัตราภาษีนำเข้าที่เวียดนามเก็บจากสินค้า EU จะลดลงจากเฉลี่ยร้อยละ 4.8 เหลือร้อยละ 0 เวียดนามจึงมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจาก EU ทดแทนสินค้าจากไทย
ผลการศึกษาของวิจัยกรุงศรี พบว่า การเปิดเสรีการค้าระหว่างเวียดนามและ EU จะทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังเวียดนามลดลงร้อยละ 0.17 สำหรับในปีแรกที่ความตกลง EVFTA มีผลบังคับใช้สัดส่วนสินค้าที่เวียดนามลดภาษีนำเข้าให้ EU ทันทีจะอยู่ที่ร้อยละ 48.5 ของรายการสินค้าทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเชิงลบในระยะแรก ได้แก่ โพรลิเอทิลีน, เครื่องส่งวิทยุ/โมเด็ม/แลนด์ไร้สาย, ไดโอด/อุปกรณ์กึ่งตัวนำและแผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น
ไม่เพียงผลเชิงบวกที่เวียดนามจะได้รับจากการยกเว้นภาษีนำเข้าซึ่งทำให้การส่งออกของเวียดนามไปยัง EU มีความได้เปรียบด้านราคาและสินค้าจากเวียดนามยังมีโอกาสเข้าร่วมห่วงโซ่การผลิตของ EU มากขึ้นแล้ว เวียดนามยังได้ผลบวกเพิ่มเติมจากความพิเศษของ EVFTA ที่เหนือกว่าความตกลงอื่น ๆ ทั้งจากการเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติเข้าร่วมการประมูลของรัฐ การลดการผูกขาดของกิจการของรัฐ การส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานและขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต่าง ๆ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/ri-evfta
สาเหตุที่ผู้หญิงผลักดันการเติบโตของภาคไอทีเมียนมา
พบว่าในบรรดานักพัฒนาซอฟต์แวร์ 10 คนที่สำนักงานในย่างกุ้งของบริษัทซอฟแวร์อย่าง Axon Active เก้าคนเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของบริษัทที่จะจัดตั้งสาขาในต่างประเทศ .ในเมียนมา 70% ของบัณฑิต 3,000 คนจาก 25 มหาวิทยาลัยด้านคอมพิวเตอร์ของเมียนมาเป็นผู้หญิง ความเท่าเทียมกันทางเพศนี้ในบริบทระหว่างประเทศ เกือบทุกแห่งในโลกผู้หญิงเป็นชนกลุ่มน้อยในสาขาเทคโนโลยี ยกตัวอย่างการเลือกสมัครงานของผู้ชายในอเมริกาสามในสี่เป็นงานเทคโนโลยีทั้งหมด Axon Active ในเมียนมาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นที่ต้องการของผู้หญิงเพราะมีทักษะการสื่อสารที่ดี แม้ผู้ชายจะดีกว่าในด้านทักษะ เช่น การเขียนโปรแกรม แต่ผู้หญิงมีความเข้มแข็งเมื่อพูดถึงทักษะในการสื่อสารระหว่างนักพัฒนาโปรแกรมและลูกค้า เปิดเสรีโทรคมนาคมของเมียนมาทำให้เกิดกระแสความนิยมอินเทอร์เน็ต ราคา ความเร็วและความพร้อมของทั้งมือถือได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่แรงงานค่อนข้างถูกทำให้ผู้จบระดับมหาวิทยาลัยด้านไอทีคาดหวังรายได้ประมาณ 200 เหรียญสหรัฐ และเมื่อผ่านไป 2 – 3 ปี จะมีรายได้อยู่ระหว่าง 1,000 – 2,000 เหรียญสหรัฐเลยทีเดียว เป็นผลให้ภาคไอทีดึงดูดบริษัทต่าง ๆ มากกว่า 50 บริษัท เข้ามาลงทุนในเมียนตั้งแต่ปี 57 ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ซึ่งค่าแรงสูงและการเข้าเมืองที่เข้มงวดทำให้เน้นแรงงานจากภายนอกมากกว่าในท้องถิ่น ซึ่ง Axon มองว่าการแข่งขันในเมียนมาจะยังไม่มากเท่ากับในเวียดนาม อาจถือได้ว่าอุตสาหกรรมไอทีได้ก้าวข้ามเรื่องเพศไปแล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นด้านบวกเสมอไป เพราะบางมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาหญิงถึง 90% ของสาขาคอมพิวเตอร์เพราะบางสาขาวิชาที่จำกัดไว้ให้กับเพศชายอย่างแพทย์และวิศวกรรมที่เป็นอุปสรรคสำหรับเพศหญิง บางครั้งเลือกเรียนคอมพิวเตอร์โดยไม่รู้ว่าต้องการทำงานในภาคไอทีหรือไม่ แต่ปัญหาสำคัญของเมียนมาอีกอย่างคือ เนื้อหาในหลักสูตรการศึกษาที่เน้นทางทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติจึงขาดทักษะในการปฏิบัติงาน ซึ่ง Axon กำลังร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการหาทางออกให้กับเนื้อหาหลักสูตร ปัจจุบันเมียนมาเริ่มให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติมากขึ้นเมื่อรวมกับทักษะภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดี แรงงานมีราคาถูก อุตสาหกรรมไอทีจึงมีอนาคตค่อนข้างสดใส
ที่มา: https://frontiermyanmar.net/en/why-women-are-driving-myanmars-it-sector-growth
สร้างความสำคัญให้กับชายแดนไทย
ในอดีตความเจริญของชายแดนไทย เช่น ที่ด่านอรัญประเทศเมืองฝั่งตรงข้ามเมืองปอยเปต เมื่อ 30 ปีเป็นแค่ชุมชนเล็กๆ มีร้านค้าไม่กี่ร้าน มีตลาดขายสินค้าอุปโภค-บริโภคจากไทยอยู่แห่งหนึ่ง พอรัฐบาลกัมพูชาเปิดเปิดบ่อนคาสิโนที่นั่น ปรากฏว่าเมืองเจริญขึ้นทันที มีบ่อนใหญ่ๆ เกิดขึ้นหลายแห่ง แต่ฝั่งอรัญประเทศมีแค่ขายสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ความเจริญไม่ได้ไหลเข้ามาสู่อรัญประเทศมากนัก ล่าสุดทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก ที่เคยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติมาใช้บริการร้านอาหารหรือโรงแรมเพิ่มแต่กลับน้อยลง เพราะข้ามฝั่งไปเมืองปอยเปตกันหมด อีกด่านหนึ่ง คือ ด่านเชียงแสน ตรงข้ามเมืองต้นผึ้ง ประเทศสปป.ลาว ซึ่งเกิดเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่มาบูมกันจริงๆ ไม่เกินสิบปีที่ผ่านมา เพราะมีการย้ายบ่อนคาสิโนจากเมืองบ่อเตนข้ามมาที่นี่ สังเกตว่าเชียงแสนก่อนหน้า 30 ปีที่ผ่านมา จะมีสามเหลี่ยมทองคำเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ และจะบูมมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา หลายค่ายของขุมกำลังทรัพย์ที่เป็นผู้ประกอบการ แต่พอนักท่องเที่ยวหดหายไปร้านค้าหรือกิจการก็ซบเซาลงทันที พอเริ่มมีบ่อนคาสิโนมาเปิดฝั่งตรงข้าม ความเจริญยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป การค้าการขายที่เชียงแสนก็ไม่ได้อาณิสงค์ของเมืองบ่อนการพนัน จะมีแต่สิบสองปันนาของจีนเท่านั้น สังเกตว่าถ้าเมื่อใดที่น้ำในแม่น้ำโขงลด สินค้าส่งออกทั้งฝั่งเชียงแสนและอเชียงของจะเงียบเหงาทันที แต่พอปัจจัยทั้งสองแห่งที่เป็นไปในทางบวก ทุกอย่างก็จะคึกคักทันที ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ่อนคาสิโนที่จะส่งผลต่อการค้าการส่งออกเลย
งานสร้างภาพยนตร์ในเมียนมา
การชมภาพยนตร์ของเมียนมาในยุคก่อนๆ เจริญกว่าไทย ด้วยค่าเงินแข็งกว่าไทย ตึกรามบ้านช่องก็เจริญกว่าไทย ดังนั้นการได้ไปชมภาพยนตร์ที่นั่นจะนำหน้ากว่าไทยไปก่อนหนึ่งก้าว ภาพยนตร์ชาติต่างๆ จะเป็นใหม่กว่าที่ประเทศไทยมาก พอมีการปิดประเทศ วงการภาพยนตร์ก็เริ่มถดถอยลง ไม่ค่อยจะมีภาพยนตร์ดีๆออกมาให้ชมกัน ส่วนมากมักจะเป็นแนวเดิมๆ พอเข้าสู่โหมดการเปลี่ยนแปลง วิถีของภาพยนตร์ก็เริ่มเปลี่ยนไป แม้ต่างประเทศภาพยนตร์จะถูกกระแสการเปลี่ยนแปลงจาก IT Disruption ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ที่เมียนมาการดูภาพยนตร์วัยรุ่นยังเข้าแถวรอชมกันอยู่ แสดงว่าความนิยมยังมีอยู่พอสมควร ดังนั้นจึงคาดว่าตลาดของภาพยนต์ยังไม่ถูก Disrupt ไปเสียทั้งหมด และคนไทยเองก็มีผู้กำกับรุ่นใหม่เข้าไปสร้างหนังดีๆ ออกสู่ตลาด ยกตัวอย่างเช่น คุณนนทวัฒน์ นำเบญจพล ที่สร้างภาพยนต์เรื่องดินไร้แดน (Soil without Land) ,Manta Ray , Michael’s , ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงท่านนี้ได้สร้างภาพยนต์ได้น่าสนใจมากๆ คือไม่จำเป็นที่จะใช้ดาราแสดงนำที่สวย หล่อ มีชื่อเสียงเลย แต่สามารถดึงดูดให้ชมจนอินไปด้วยกับเนื้อหาจริงๆ เป็นที่น่าสนับสนุนผลงานของคนไทยเป็นอย่างมาก
การลงทุนการศึกษาในเมียนมา
เมื่อหลายวันก่อนสถาบันที่ปรึกษาอัจฉริยะด้านการค้าและการลงทุน (AITI) ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ส่งผู้ประกอบการที่ต้องการจะไปลงทุนในเมียนมา มาขอคำปรึกษาจากทั้งหมด 3 ราย หนึ่งในนั้นเป็นผู้ประกอบการที่อายุยังน้อยทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาที่มีการสอนด้านภาษา ด้านดนตรี ด้านวิชาการและสันทนาการเข้ามาปรึกษาขายแฟรนไชส์การศึกษาที่เมียนมา มีความเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งอยากให้เขาทำการบ้านให้มากกว่านี้ แล้วค่อยมาปรึกษากันใหม่ เมียนมามีความเสี่ยงมากเพราะการศึกษาของเมียนมาต่างจากที่อื่น เมียนมาเรียนในระบบ 6-2-2 ไม่เหมือนไทยที่เรียนระบบ 6-3-3 การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่จะไม่ใช้วิธีการสอบเอนทรานส์ ที่นั่นใช้วิธีวัดผลสอบ โดยเอาคะแนนการสอบปลายปีของปี 10 มายื่นเรื่องขอเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้เลย ข้อสอบจากส่วนกลางจะส่งตรงไปที่เขตจังหวัดเลย ข้อดีคือไม่ซ้ำซ้อน และไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรมากแต่ต้องซื่อสัตย์ การเรียนการสอนของที่เมียนมาคุณภาพจึงเข้มข้นมากๆ ตำราเรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ที่นี่ใช้ตำราเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เด็กจึงมีคุณภาพ จบแค่ปี 8 ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ จบจากที่นี่สามารถสอบเข้าเรียนที่สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกาได้เลย ถ้ามีฐานะดีมักจะคาดหวังที่สี่ประเทศดังกล่าวเป็นอันดับต้นๆ ส่วนที่มีฐานะรองลงมาหรือคนในรัฐฉานที่เป็นไทยใหญ่ ก็ต้องมาที่ประเทศไทยเพราะถูกดีและสามารถพูดไทยได้ อันดับแรกเลยคือต้องทำการสำรวจตลาดก่อน ด้วยการเดินตามโรงเรียนเอกชนต่างๆ และโรงเรียนอินเตอร์อาจจะซึ่งอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายก็เป็นได้ เพราะถ้าสามารถเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เป้าหมายไปไกลแล้ว การศึกษาของเราน่าจะสู้สิงคโปร์ลำบาก จากนั้นค่อยมาวางแผนว่าวิสัยทัศน์ว่าจะเดินไปอย่างไร น่าจะเป็นทางออกที่เสี่ยงน้อยกว่า
การกระตุ้นเศรษฐกิจของเมียนมา
การใช้นโยบายลดความร้อนแรงในตลาดอสังหารัมทรัพย์ ในช่วงปี 58 เพราะในช่วงดังกล่าวการเก็งกำไรทำให้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ ราคากระโดดไปสูงมาก ทำให้การลงทุนในภาคการผลิตก็หยุดชงักลง ดังนั้นจึงออกมาตรการกฎหมายเงินขาว-เงินดำ คือให้จ่ายภาษีซื้อ-ขายอสังหาริทรัพย์ด้วยอัตรา 30% ทำให้เกิดการชะงักทันที เกิดปัญหาในตลาดอสังหาฯ ในย่างกุ้งเพราะเมื่อไม่มีการซื้อขาย ทำให้กระแสเงิน M1 M2 M3 ขาดไปจากตลาดจนเกิดปัญหาเงินฝืด การลงทุนภาคการผลิตลดลง จับจ่ายใช้สอยของประชาชนฝืดเคืองลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีกฎหมายใหม่ออกมา โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 62 นี้ คือลดภาษีซื้อ-ขายสินค้าทุกชนิดรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ในอัตราก้าวหน้าทั้งหมด กล่าวคือ การซื้อขาย ตั้งแต่ 1 ล้านถึง 100 ล้าน ให้เสียภาษี 3% 101 ล้านถึง 300 ล้าน ให้เสียภาษี 5% 301 ล้านถึง 1,000 ล้าน ให้เสียภาษี 10% 1001 ล้านถึง 3,000 ล้าน ให้เสียภาษี 15% 3001 ล้านขึ้นไป ให้เสียภาษี 30% สิ่งที่ตามมา คือ ภาษีน้อยลงไปทันที ราคาสินค้าถูกลง สิ่งที่จะตามมาคือกลับเข้าสู่ภาคเงินออม Saving Money เงินเหล่านี้มีบางส่วนจะเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปของการบริโภค เมียนมาเพียงลดอัตราดอกเบี้ยลง คนก็จะไม่นิยมฝากเงิน เพราะได้ไม่มากเท่าการนำเงินไปลงทุนในภาคการผลิตซึ่งจะส่งผลไปยังภาคการผลิตทันที ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้ว รัฐบาลมีอิสระในการจัดการแก้ปัญหา เพียงแต่ปัญหาของเมียนมาเริ่มมีมานานเกือบ 70 ปีมาแล้ว
จังหวะของการลงทุน
ในระยะเวลาปีสองปีต่อจากนี้ไป คือช่วงเวลาเหมาะต่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากผ่านพ้นไปอีก 4 – 5 ปี คงมีโอกาสเป็นไปได้ยาก เพราะวันนี้สภาวะของอสังหาริมทรัพย์อยู่ในช่วงขาลงสุดๆ เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่นำออกมาใช้ลดความร้อนแรงของราคาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต้องการกระตุ้นการลงทุน ด้วยการออกนโยบายเงินขาว-เงินดำ แต่ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลมากนัก คือการออกนโยบายเก็บภาษีซื้อ-ขายที่ดินแบบบ้าระห่ำ ทำให้ไม่มีคนซื้อ ราคาตกไปเกือบ 20% ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ผ่านมา รัฐออกกฎหมายซื้อ-ขายที่ดินแบบอัตราก้าวหน้ามาใช้ ทำให้การซื้อการอสังหาริมทรัพย์ได้รับอานิสงค์ และการที่ค่าเงินจัตอ่อนลงถึง 80% ทำให้น่าลงทุน เพราะถูกลงเกือบ 80% เช่น ราคาที่ดิน และอาคารโกดังปีที่แล้ว อยู่ที่อยู่เอเคอร์ละ 600 ล้านจัต เป็นเงินบาทประมาณ 13.95 ล้านบาท ในขณะที่วันนี้ราคาตกอยู่ที่ 550 ล้านจัต ราคาประมาณ 11 ล้านบาท หรือลดลง 21.14% เรียกว่าตลาดเป็นของผู้ซื้อจริงๆ เนื่องจากเมียนมาเป็นประเทศที่อ่อนไหวต่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายง่าย เมื่อมีความต้องการที่จะแก้กฎหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ แค่นำเรื่องเสนอเข้าสภามีผลบังคับใช้ทันที ดังนั้นถ้ากฎหมายมีประโยชน์หรือมีความจำเป็น รับรองมีการประกาศใช้แน่นอน ถ้าหากเมียนมาเสนอให้เราแล้ว ต้องรีบยื่นเรื่องขอใบอนุญาต MIC (Myanmar Investment Committee) ทันที ซึ่งการที่จะถอนใบอนุญาตหรือยกเลิกการส่งเสริม มีทางเดียวคือทำผิดกฎหมายร้ายแรง นี่คือ “จังหวะของการลงทุน” อย่างแท้จริง