งานสร้างภาพยนตร์ในเมียนมา

การชมภาพยนตร์ของเมียนมาในยุคก่อนๆ เจริญกว่าไทย ด้วยค่าเงินแข็งกว่าไทย ตึกรามบ้านช่องก็เจริญกว่าไทย ดังนั้นการได้ไปชมภาพยนตร์ที่นั่นจะนำหน้ากว่าไทยไปก่อนหนึ่งก้าว ภาพยนตร์ชาติต่างๆ จะเป็นใหม่กว่าที่ประเทศไทยมาก พอมีการปิดประเทศ วงการภาพยนตร์ก็เริ่มถดถอยลง ไม่ค่อยจะมีภาพยนตร์ดีๆออกมาให้ชมกัน ส่วนมากมักจะเป็นแนวเดิมๆ พอเข้าสู่โหมดการเปลี่ยนแปลง วิถีของภาพยนตร์ก็เริ่มเปลี่ยนไป แม้ต่างประเทศภาพยนตร์จะถูกกระแสการเปลี่ยนแปลงจาก IT Disruption ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ที่เมียนมาการดูภาพยนตร์วัยรุ่นยังเข้าแถวรอชมกันอยู่ แสดงว่าความนิยมยังมีอยู่พอสมควร ดังนั้นจึงคาดว่าตลาดของภาพยนต์ยังไม่ถูก Disrupt ไปเสียทั้งหมด และคนไทยเองก็มีผู้กำกับรุ่นใหม่เข้าไปสร้างหนังดีๆ ออกสู่ตลาด ยกตัวอย่างเช่น คุณนนทวัฒน์ นำเบญจพล ที่สร้างภาพยนต์เรื่องดินไร้แดน (Soil without Land) ,Manta Ray , Michael’s , ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงท่านนี้ได้สร้างภาพยนต์ได้น่าสนใจมากๆ คือไม่จำเป็นที่จะใช้ดาราแสดงนำที่สวย หล่อ มีชื่อเสียงเลย แต่สามารถดึงดูดให้ชมจนอินไปด้วยกับเนื้อหาจริงๆ เป็นที่น่าสนับสนุนผลงานของคนไทยเป็นอย่างมาก

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/607835

การลงทุนการศึกษาในเมียนมา

เมื่อหลายวันก่อนสถาบันที่ปรึกษาอัจฉริยะด้านการค้าและการลงทุน (AITI) ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ส่งผู้ประกอบการที่ต้องการจะไปลงทุนในเมียนมา มาขอคำปรึกษาจากทั้งหมด 3 ราย หนึ่งในนั้นเป็นผู้ประกอบการที่อายุยังน้อยทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงเรียนกวดวิชาที่มีการสอนด้านภาษา ด้านดนตรี ด้านวิชาการและสันทนาการเข้ามาปรึกษาขายแฟรนไชส์การศึกษาที่เมียนมา มีความเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งอยากให้เขาทำการบ้านให้มากกว่านี้ แล้วค่อยมาปรึกษากันใหม่ เมียนมามีความเสี่ยงมากเพราะการศึกษาของเมียนมาต่างจากที่อื่น เมียนมาเรียนในระบบ 6-2-2 ไม่เหมือนไทยที่เรียนระบบ 6-3-3 การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่จะไม่ใช้วิธีการสอบเอนทรานส์ ที่นั่นใช้วิธีวัดผลสอบ โดยเอาคะแนนการสอบปลายปีของปี 10 มายื่นเรื่องขอเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้เลย ข้อสอบจากส่วนกลางจะส่งตรงไปที่เขตจังหวัดเลย ข้อดีคือไม่ซ้ำซ้อน และไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรมากแต่ต้องซื่อสัตย์ การเรียนการสอนของที่เมียนมาคุณภาพจึงเข้มข้นมากๆ ตำราเรียนคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ที่นี่ใช้ตำราเรียนเป็นภาษาอังกฤษ เด็กจึงมีคุณภาพ จบแค่ปี 8 ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ จบจากที่นี่สามารถสอบเข้าเรียนที่สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐอเมริกาได้เลย ถ้ามีฐานะดีมักจะคาดหวังที่สี่ประเทศดังกล่าวเป็นอันดับต้นๆ ส่วนที่มีฐานะรองลงมาหรือคนในรัฐฉานที่เป็นไทยใหญ่ ก็ต้องมาที่ประเทศไทยเพราะถูกดีและสามารถพูดไทยได้ อันดับแรกเลยคือต้องทำการสำรวจตลาดก่อน ด้วยการเดินตามโรงเรียนเอกชนต่างๆ และโรงเรียนอินเตอร์อาจจะซึ่งอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายก็เป็นได้ เพราะถ้าสามารถเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เป้าหมายไปไกลแล้ว การศึกษาของเราน่าจะสู้สิงคโปร์ลำบาก จากนั้นค่อยมาวางแผนว่าวิสัยทัศน์ว่าจะเดินไปอย่างไร น่าจะเป็นทางออกที่เสี่ยงน้อยกว่า

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/607276

การกระตุ้นเศรษฐกิจของเมียนมา

การใช้นโยบายลดความร้อนแรงในตลาดอสังหารัมทรัพย์ ในช่วงปี 58 เพราะในช่วงดังกล่าวการเก็งกำไรทำให้ราคาของอสังหาริมทรัพย์ ราคากระโดดไปสูงมาก ทำให้การลงทุนในภาคการผลิตก็หยุดชงักลง ดังนั้นจึงออกมาตรการกฎหมายเงินขาว-เงินดำ คือให้จ่ายภาษีซื้อ-ขายอสังหาริทรัพย์ด้วยอัตรา 30% ทำให้เกิดการชะงักทันที เกิดปัญหาในตลาดอสังหาฯ ในย่างกุ้งเพราะเมื่อไม่มีการซื้อขาย ทำให้กระแสเงิน M1 M2 M3 ขาดไปจากตลาดจนเกิดปัญหาเงินฝืด การลงทุนภาคการผลิตลดลง จับจ่ายใช้สอยของประชาชนฝืดเคืองลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีกฎหมายใหม่ออกมา โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 62 นี้ คือลดภาษีซื้อ-ขายสินค้าทุกชนิดรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ในอัตราก้าวหน้าทั้งหมด กล่าวคือ การซื้อขาย ตั้งแต่ 1 ล้านถึง 100 ล้าน ให้เสียภาษี 3% 101 ล้านถึง 300 ล้าน ให้เสียภาษี 5% 301 ล้านถึง 1,000 ล้าน ให้เสียภาษี 10% 1001 ล้านถึง 3,000 ล้าน ให้เสียภาษี 15% 3001 ล้านขึ้นไป ให้เสียภาษี 30% สิ่งที่ตามมา คือ ภาษีน้อยลงไปทันที ราคาสินค้าถูกลง สิ่งที่จะตามมาคือกลับเข้าสู่ภาคเงินออม Saving Money เงินเหล่านี้มีบางส่วนจะเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปของการบริโภค เมียนมาเพียงลดอัตราดอกเบี้ยลง คนก็จะไม่นิยมฝากเงิน เพราะได้ไม่มากเท่าการนำเงินไปลงทุนในภาคการผลิตซึ่งจะส่งผลไปยังภาคการผลิตทันที ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศอื่นแล้ว รัฐบาลมีอิสระในการจัดการแก้ปัญหา เพียงแต่ปัญหาของเมียนมาเริ่มมีมานานเกือบ 70 ปีมาแล้ว

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/603433

จังหวะของการลงทุน

ในระยะเวลาปีสองปีต่อจากนี้ไป คือช่วงเวลาเหมาะต่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากผ่านพ้นไปอีก 4 – 5 ปี คงมีโอกาสเป็นไปได้ยาก เพราะวันนี้สภาวะของอสังหาริมทรัพย์อยู่ในช่วงขาลงสุดๆ เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่นำออกมาใช้ลดความร้อนแรงของราคาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต้องการกระตุ้นการลงทุน ด้วยการออกนโยบายเงินขาว-เงินดำ แต่ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลมากนัก คือการออกนโยบายเก็บภาษีซื้อ-ขายที่ดินแบบบ้าระห่ำ ทำให้ไม่มีคนซื้อ ราคาตกไปเกือบ 20% ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ผ่านมา รัฐออกกฎหมายซื้อ-ขายที่ดินแบบอัตราก้าวหน้ามาใช้ ทำให้การซื้อการอสังหาริมทรัพย์ได้รับอานิสงค์ และการที่ค่าเงินจัตอ่อนลงถึง 80% ทำให้น่าลงทุน เพราะถูกลงเกือบ 80% เช่น ราคาที่ดิน และอาคารโกดังปีที่แล้ว อยู่ที่อยู่เอเคอร์ละ 600 ล้านจัต เป็นเงินบาทประมาณ 13.95 ล้านบาท ในขณะที่วันนี้ราคาตกอยู่ที่ 550 ล้านจัต ราคาประมาณ 11 ล้านบาท หรือลดลง 21.14% เรียกว่าตลาดเป็นของผู้ซื้อจริงๆ เนื่องจากเมียนมาเป็นประเทศที่อ่อนไหวต่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายง่าย เมื่อมีความต้องการที่จะแก้กฎหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ แค่นำเรื่องเสนอเข้าสภามีผลบังคับใช้ทันที ดังนั้นถ้ากฎหมายมีประโยชน์หรือมีความจำเป็น รับรองมีการประกาศใช้แน่นอน ถ้าหากเมียนมาเสนอให้เราแล้ว ต้องรีบยื่นเรื่องขอใบอนุญาต MIC (Myanmar Investment Committee) ทันที ซึ่งการที่จะถอนใบอนุญาตหรือยกเลิกการส่งเสริม มีทางเดียวคือทำผิดกฎหมายร้ายแรง นี่คือ “จังหวะของการลงทุน” อย่างแท้จริง

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/606619

อนาคตของมหานครย่างกุ้ง

มหานครย่างกุ้งในอนาคตกำลังจะพัฒนาด้วยโครงการ 80 เมกกะโปรเจ็ค ผู้ประกอบการไทยที่ SMEs จะได้ประโยชน์จากโครงการเหล่านี้แน่นอน เพราะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ด้วยเหตุผลทางภูมิศาสตร์ เรามีความสะดวกที่จะส่งสินค้าเข้าไปได้หลากหลายกว่าประเทศอื่นๆ ยกเว้นจีนที่เขามีชายแดนติดกับเมียนมายาวเช่นเดียวกับเรา แต่ไทยได้เปรียบเพราะใกล้เมืองหลวงเก่าเมืองย่างกุ้งกว่าจีน โครงการหนึ่งที่มีผลต่อการพัฒนามหานครย่างกุ้งอย่างมาก คือ โครงการสร้างถนนวงแหวนรอบนอกรอบที่หนึ่งและรอบที่สอง ทางด่วนที่ก่อสร้างนี้จะเป็นทางยกระดับสองชั้น ที่มีทั้งถนนหกเลน และมีทางรถไฟอยู่ด้วย ข้างล่างจะเป็นทางถนนธรรมดา ซึ่งธุรกิจต่อเนื่องทั้งต้นน้ำปลายน้ำล้วนได้ประโยชน์ทั้งสิ้น เริ่มจากการที่สถาปนิกที่ใช้ออกแบบต่างๆ ซึ่งเมียนมานิยมจ้างสถาปนิกจากประเทศสิงคโปร์ ขณะที่ค่าจ้างของสถาปนิกไทยถูกกว่าสิงคโปร์มากกว่าครึ่งแต่คุณภาพไม่ต่างกัน ต่อมาวิศวกรอาชีพนี้ก็เช่นเดียวกัน และผู้ประกอบการที่ค้าขายอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ โอกาสของ SMEs ก็มีเช่นกัน อย่างผู้รับเหมาก่อสร้างที่สามารถรับช่วงงานต่อจากผู้เล่นรายใหญ่ ผู้ตกแต่งภายในที่จะมีมากขึ้นในการพัฒนาประเทศคราวนี้ ดังนั้นยังมีความต้องการอีกมากมายและยังต้องใช้เวลาอีกยาวนาน เมียนมาคือตลาดแห่งสุดท้ายของประเทศ CLMV ที่กำลังเปิดอยู่ ดังนั้นไทยควรรีบความโอกาสนี้ไว้ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มดุเดือดขึ้น

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/604710

เมียนมา ตลาดสุดท้ายของประเทศ CLMV

เมียนมาเป็นประเทศที่น่าสนใจ แม้ประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ ที่อยู่ห่างไกลออกไปยังเลือกที่จะเข้ามาลงทุน เช่น ประเทศสิงคโปร์ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้ามาที่นี่นานมากแล้ว ตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี ลี กวนยู ยังมีชีวิตอยู่ เคยเดินทางมาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ด้วยตนเอง อีกประการหนึ่งประเทศใน CLMV คือ เพื่อนบ้านเราที่อยู่ชายแดนติดกัน จึงน่าจะง่ายที่สุดในการค้าและการลงทุน หากจะเปรียบเทียบหรือวิเคราะห์ ระหว่างทั้ง 4 ประเทศแล้วประเทศกัมพูชา และสปป.ลาว (ซึ่งมีประชากรน้อย) หากจะไปแข่งขันกับประเทศที่มีเงินทุนหนา เทคโนโลยีสูง มีความฉลาด ขยันอดทน อย่างคนจีน ที่เข้าไปยึดหัวหาดไว้เกือบจะหมดแล้ว ไทยเราอาจจะสู้ได้ลำบาก ส่วนเวียดนามที่นั่นมีพัฒนามากเกือบจะล้ำหน้าไทยเราไปแล้ว อีกทั้งยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศก็เข้าไปแล้วทุกประเทศ ในช่วงนี้ใครที่เข้าไปลงทุนใหม่ๆ ต้องศึกษาให้ดีก่อน ดังนั้นประเทศเมียนมาเท่านั้น ที่เพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน ไทยมีโอกาสสู้ประเทศอื่นๆ ได้อยู่แล้ว เพราะกำลังเร่งพัฒนาประเทศกันอยู่ เราต้องนึกย้อนไปในช่วงไทยเริ่มต้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 เมื่อปีพ.ศ.2504 เพียงแต่เขาจะเร็วกว่าเรา เพราะยุคสมัยและเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งมาในช่วงที่ยุค IT กำลังบูม หากไทยมองเห็นช่องก็จะมีโอกาสรวยได้เช่นกัน

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/605146

สวรรค์ของนักลงทุนไทย

หลายปีมาแล้วที่ทางภาครัฐและเอกชนพยายามส่งเสริมการค้า-การลงทุนไทยในต่างแดน เช่น มีการจัดสัมมนา จัดงานแสดงสินค้า อีกทั้งงานทำ Business Matching การทำ Networking ให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ผู้ที่จะลงทุนควรตระหนักคือ อย่างแรกเลย คือ เหมาะจะไปค้าขายหรือไปลงทุนแบบใด บางครั้งผู้ประกอบการมักไปจ้างผู้ผลิต OEM แต่ต้องศึกษาให้รอบคอบ ไม่ควรคิดว่าประเทศเพื่อนบ้านจะขาดแคลน สามารถผลิตหรือขายสินค้าได้หมด ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปมาก เช่น เวียดนาม ที่นั่นมีผู้ประกอบการจากทั่วโลกเข้าไปตั้งฐานผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ซึ่งปัจจุบันทำให้ล้นตลาดไปแล้ว และงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ ของโลก จะมีสินค้าเวียดนามไปร่วมแสดงอยู่เสมอ บางผู้ประกอบการเอาสินค้าที่มีภาระต้นทุนด้านลอจิสติกส์สูงไปขาย แต่จะทำได้ไม่นานนัก เพราะผู้ประกอบการท้องถิ่นเห็นว่าตลาดกว้างมาก (High Market cap) จึงเข้าร่วมแข่งขันเพื่อแย่งตลาดแน่นอน แต่ถ้าสินค้านั้นเป็นแบรนด์ของตัวเอง มีแผนที่จะย้ายฐานผลิต สามารถที่จะทำได้ แต่ถ้าไม่มีศักยภาพเพียงพอ การกู้เงินเพื่อการลงทุนจากธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะการกู้ยืมเงินไปลงทุนในต่างประเทศนั้นยากกว่าลงทุนในประเทศอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ประกอบที่สนใจการค้า การลงทุนต้องหาข้อมูลให้เยอะๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก่อนการตัดสินใจ

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/605826

เมียวดี ขุมทรัพย์ที่กำลังเริ่มพัฒนา

จากการไปสำรวจตลาด และพูดคุยเกี่ยวกับการค้าและธุรกิจกับเพื่อนๆ นักธุรกิจในเมียวดี พบเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย เช่น การค้าคึกคักมาก รถเพิ่มขึ้นมากๆ ถนนเริ่มแออัด ซึ่งเริ่มติดประมาณต้นปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ถนนจากย่างกุ้งดีขึ้นก็มีรถยนต์โดยสารรุ่นใหม่ๆ เริ่มวิ่งวันละไม่ต่ำกว่ายี่สิบเที่ยว วันจะมีชาวย่างกุ้งเดินทางมาเที่ยวแม่สอด มารักษาพยาบาลมากขึ้น ส่วนมากจะมาพบทันตแพทย์ ส่วนรักษาโรคภัยจะเดินทางมาที่กรุงเทพฯ และมาช๊อปปิ้ง และมีบางส่วนเล่นการพนันที่บ่อนคาสิโน บ่อนใหญ่สุดมีทั้งสินค้าปลอดภาษี ร้านอาหารไทย ร้านอาหารฝรั่ง ผับเบียร์สด ร้านกาแฟ ส่วนใหญ่ที่นี้มีแต่คนไทย พนักงานก็เป็นคนไทย และใช้เงินไทยการเล่นพนัน ส่วนการค้าที่พบสินค้าที่บรรทุกมาจากประเทศเมียนมา ส่วนใหญ่เป็นข้าวโพดแห้งหรือข้าวโพดอาหารสัตว์ ส่วนมากมาจากรัฐฉานและปกติจะส่งออกไปยังจีนแต่ผู้ประกอบการจีนได้ระงับการสั่งซื้อ และเนื่องจากเข้าฤดูฝนเกษตรกรจึงจำเป็นต้องขนมาขายที่ชายแดนไทย ดังนั้นหากผู้ประกอบการไทยได้มีโอกาสเข้าไปดำเนินธุรกิจที่เมียนมา โดยนำเอาความสามารถและเทคโนโลยีด้านอาหารสัตว์หรืออาหารมนุษย์เข้าไปเปิดโรงงานอุตสาหกรรมเป็นอีกช่องทางการลงทุนที่ยั่งยืนและได้รับประโยชน์สูงสุด และได้ใจชาวเมียนมาไปเต็มๆ

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/598670

การปรับโฉมของตลาดสดของย่างกุ้ง

ตลาดสดเมียนมาปัจจุบันมักจะสกปรกและยังไม่ถูกสุขลักษณะนัก อนาคตอีกไม่กี่ปีทางการนครย่างกุ้ง ได้ทำโครงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตด้วยการให้การปรับปรุงตลาดสดให้ทันสมัยมากขึ้น นี่คือหนึ่งในแผนโครงการ 80 เมกกะโปรเจ็คที่กำลังดำเนินการอยู่ ตลาดสดในย่างกุ้งปัจจุบันนี้มีอยู่ประมาณร้อยกกว่าแห่ง โดยที่พอใช้มี 70 กว่าแห่ง ทุกแห่งจะดำเนินการโดยภาครัฐ คือ คณะกรรมการพัฒนานครย่างกุ้ง (YCDC) ตลาดใหญ่หน่อยจะมีรูปร่าง คือ ด้านหน้าเป็นอาคารที่ขายตั้งแต่เครื่องอุปโภค-บริโภค จนกระทั่งเครื่องสังฆภัณฑ์ ส่วนด้านในจะเป็นอาหารแห้งต่างๆ ต่อด้วยอาหารสดผักผลไม้ ด้านในจะเป็นเนื้อสัตว์ และสัตว์เป็นๆ รวมทั้งปลาและอาหารทะเลเป็นต้น ส่วนตลาดที่เล็กลงมาหน่อยจะไม่มีรูปแบบ พื้นจะเป็นดินสลับคอนกรีต แต่ก็จะสกปรกมากๆ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ร่วมทั้ง YCDC เล็งเห็นการพัฒนาความเป็นอยู่ ต้องเริ่มจากตลาดสดก่อนนั่นเอง จึงได้เริ่มโครงการดังกล่าวนี้ขึ้นมา ตัวอย่างการพัฒนา เช่น ตลาดปะซุ่นตองที่เป็นตลาดสดขนาดใหญ่ที่ และร้านอาหารในย่างกุ้งนิยมมาจ่ายตลาดกันนั้นมีอยู่สองตลาดด้วยกัน คือ ที่นี่กับตลาดตั่งเซ โดยจุดเด่นคือเป็นตลาดที่อยู่ติดกับท่าแพปลา ที่นี่อาคารจะมีทั้งหมดสามอาคารใหญ่ ดังนั้นจะรื้อทิ้งทั้งหมด แล้วสร้างใหม่จากเนื้อที่ 6 เอเคอร์ โดยสร้างเป็นอาคาร 2 ชั้น ด้านในจะเป็นอาคารที่ทันสมัยและสะอาด โดยแบ่งโซนออกมาชัดเจน รวมทั้งจัดให้เป็นสัดส่วนของสินค้าอุปโภค-บริโภคนำเอาไปไว้ชั้นบนชั้นล่างจะเป็นของสด ขณะนี้อยู่ในระหว่างเขียนแบบและหาผู้เข้าร่วมรับสัมปทานโครงการอยู่ ดังนั้นถ้าผู้ประกอบการไทยที่อยากไปลงทุนที่เมียนมา โดยเฉพาะเมืองท่าสำคัญที่มีประชากรอยู่อาศัยมากที่สุด ก็สามารถติดต่อสอบถามไปที่ YCDC เพื่อขอทราบความชัดเจนของโครงการได้ที่สำนักงานโดยตรงเลย

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/602721

จริงหรือไม่? เวียดนามผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน

จากรายงานของ e-Conomy Southeast Asia 2019 จัดทำโดย Google Temask เปิดเผยว่าในปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เวียดนามกำลังเฟืองฟูและเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย โดยในปี 2562 เศรษฐกิจดิจิทัลมีมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีอัตราการเติบโต 38% นับตั้งแต่ปี 2558

ทั้งนี้ อีคอมเมิร์ซเป็นตัวขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตที่รวดเร็วของตลาดในประเทศ ได้แก่ Sendo, Tiki, Lazada และ Shopee ประกอบกับชาวเวียนามประมาณ 61 ล้านคนที่ใช้สื่อออนไลน์และใช้เวลาเฉลี่ย 3 ชม. 12 นาทีต่อวัน และส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟน

นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าจับตา คือเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่าสูงถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกของปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 กลายเป็น 1 ในภูมิภาคที่เติบโตทางธุรกิจออนไลน์ที่รวดเร็วที่สุดในโลก เนื่องจากประชากรวัยหนุ่มสาวที่เพิ่มขึ้นและนิยมใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟน ซึ่งคาดว่าเวียดนามอาจแซงอินโดนีเซีย และขึ้นแท่นเป็นผู้นำการเติบโตสูงที่สุดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่มา : https://www.bangkokbanksme.com/en/vietnam-digital-economy-asian