เส้นทางเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจลาว ปี 67 มุ่งเน้นการท่องเที่ยว ยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐาน

ปี 2566 ที่ผ่านมา สปป.ลาว เผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนแรงงาน และการขาดดุลการค้าที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาของประเทศ รัฐบาล สปป.ลาว ได้ริเริ่มแคมเปญ Visit Lao Year 2024 โดยหันมาใช้การท่องเที่ยวเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเอาชนะปัญหาทางเศรษฐกิจ และวางรากฐานสำหรับการเป็นประธานอาเซียนในปี 2567 โดยมีมาตรการปรับปรุงการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ เน้นที่การลดความซับซ้อนของการขายตั๋วสำหรับรถไฟลาว-จีน แผนดังกล่าวยังรวมถึงการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานให้เสร็จสิ้น เช่น ถนนและสนามบิน การฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการบริการ โดยความพยายามเหล่านี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้สภาพถนนที่ไม่ดีส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวในช่วงปีเยือนลาวปี 2567

ที่มา: https://laotiantimes.com/2023/12/27/laos-charts-course-for-growth-in-2024-with-tourism-focus-infrastructure-overhaul-amidst-economic-challenges/

จีนให้ความช่วยเหลือ สปป.ลาว สร้างศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน

สปป.ลาว ได้ก่อสร้างศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานที่แขวงอุดมไซ ตั้งอยู่ห่างจากเวียงจันทน์ไปทางตอนเหนือราว 400 กม. โดยการก่อสร้างได้รับความช่วยเหลือจากจีน และได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ศูนย์แห่งนี้จะเปิดโอกาสให้คนงานบริเวณภาคเหนือของประเทศลาวได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับตลาดแรงงานให้ดีขึ้น นายบุญคง ละเจียมพร เจ้าแขวงอุดมไซ กล่าวในพิธีวางศิลาฤกษ์ว่า ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานแห่งนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากจีน เป็นตัวเชื่อมในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยศูนย์แห่งนี้ประกอบด้วยห้องเรียนและสถานที่ฝึกอบรมภาคปฏิบัติ อาคารสำนักงาน โรงอาหาร และหอพักสำหรับแรงงานที่เข้ามาเรียนรู้และผู้ฝึกอบรม เพื่อจัดการฝึกอบรมระดับกลาง และเจะใช้ในการฝึกอบรมครู สร้างความร่วมมือด้านการสอน และคัดเลือกนักเรียนที่มีความสามารถสำหรับโครงการแลกเปลี่ยนกับประเทศจีน นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมแห่ง สปป.ลาว ยังได้กล่าวในพิธีวางศิลาฤกษ์ด้วยว่าศูนย์แห่งนี้เป็นหนึ่งในสิบศูนย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน

ที่มา: https://english.news.cn/20231229/5e045060d21043c383b72185bf56d61a/c.html

รัฐบาล สปป.ลาว ‘ตั้งเป้าลดปัญหาเงินเฟ้อในปี 2567’

รายงานล่าสุดจากสำนักงานสถิติลาวเผยว่า ในเดือนธันวาคม 2566 อัตราเงินเฟ้อ สปป.ลาว อยู่ที่ 24.4% แม้ว่าจะปรับลดลงเล็กน้อยจาก 25.24% ในเดือนก่อน โดยเงินเฟ้อใยหมวดหมู่โรงแรมและร้านอาหารมีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบเป็นรายปีที่ 35.9% ตามมาด้วยหมวดเสื้อผ้าและรองเท้า การรักษาพยาบาล และของใช้ในครัวเรือน สาเหตุหลักเกิดจากเงินกีบที่อ่อนค่าลง ผลผลิตในประเทศปรับลดลง มูลค่าการนำเข้าที่สูง และความยากลำบากในการควบคุมราคาในตลาดท้องถิ่น ทำให้ความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมราคาสินค้ายังเผชิญกับความท้าทาย ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ ธนาคารแห่งลาว (BOL) ให้คำมั่นที่จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวด โดยมุ่งเน้นที่การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินกีบ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการควบคุมต้นทุนสินค้าและบริการ ซึ่งสอดคล้องกับแผนของรัฐบาลที่จะลดอัตราเงินเฟ้อลง 9% ในปี 2567 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26-27 ธันวาคม 2566 นายกรัฐมนตรี สอนไซ สีพันดอน ได้สั่งการให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ให้ทันสมัย ​​ระบุแหล่งรายได้ใหม่ และลดการรั่วไหลทางการเงิน นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงกฎระเบียบด้านเงินตราต่างประเทศ เพิ่มรายได้จากการส่งออก และดึงดูดการลงทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพของมูลค่าเงินกีบและลดอัตราเงินเฟ้อ

ที่มา: https://laotiantimes.com/2023/12/29/government-targets-lower-inflation-rates-in-2024/

นายกฯ เศรษฐา เผยแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อระหว่างไทย, เวียดนาม, ลาว และกัมพูชา

นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เปิดเผยแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อระหว่างไทย เวียดนาม ลาว และกัมพูชาหลังจากพบปะผู้นำทั้งสามเมื่อวันอาทิตย์ การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดในกรุงโตเกียว เพื่อรำลึกถึงความร่วมมือ 50 ปีของญี่ปุ่นกับประเทศในกลุ่มอาเซียน นายกเศรษฐา กล่าวในการหารือกับประธานาธิบดีเวียดนาม หวอ วัน ทุ่ม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะฟื้นฟูการประชุมคณะรัฐมนตรีระหว่างทั้งสองประเทศ เวียดนามได้เสนอให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าวครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมปีหน้า นากยกฯ เศรษฐา กล่าวว่าวาระการประชุมจะรวมถึงราคาข้าวเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร โดยประธานโว เสนอว่า ไทย เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ต้องดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างราบรื่น เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางระหว่างประเทศต่างๆ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าแยกกัน นายกฯ เศรษฐา กล่าวชมเชยแนวคิดนี้ว่าสร้างสรรค์และกล่าวว่าเขาจะสั่งให้รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล หารือเกี่ยวกับปัญหานี้และทำงานเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวทั่วทั้งสี่ประเทศ ในการหารือกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา เศรษฐากล่าวถึงประเด็นต่างๆ รวมถึงการจัดตั้งสถานกงสุลไทยในเมืองเสียมเรียบเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมนครวัดอันโด่งดัง นายกรัฐมนตรีกัมพูชายังขอบคุณเศรษฐาสำหรับการดูแลคนงานชาวกัมพูชาในประเทศไทย ในการเจรจากับประธานาธิบดี Joko Widodo ของอินโดนีเซีย Srettha ยืนยันว่าอินโดนีเซียจะซื้อข้าวไทยจำนวน 2 ล้านตัน การส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นไปยังอินโดนีเซียมีความโดดเด่นเนื่องจากภัยแล้งรุนแรงและฤดูฝนที่ล่าช้าซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ Joko Widodo ยังให้คำมั่นที่จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าพบนายธรรมนัส พร้อมเภา รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในต้นปีหน้า “สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มราคาและความต้องการข้าวไทย” ทั้งนี้ ประธานาธิบดียังแสดงความสนใจโครงการ Land Bridge มูลค่า 1 ล้านล้านบาทของประเทศไทย และจะมีการหารือเพิ่มเติมเร็วๆ นี้

ที่มา : https://www.nationthailand.com/thailand/economy/40033917

สปป.ลาว วางแผนการขนส่งใหม่ในเวียงจันทน์ เพื่อลดมลภาวะทางอากาศและเสียง

โครงการขนส่งในเมืองอย่างยั่งยืนของเวียงจันทน์ แบบไร้เครื่องยนต์เพื่อช่วยลดระดับมลพิษทางอากาศและเสียงในเมืองหลวง โครงการนี้ริเริ่มโดยกรมโยธาธิการและการขนส่ง กระทรวงคมนาคม โดยจะสร้างพื้นที่หลักที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ในใจกลางเมือง รถสามล้อไฟฟ้าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะช่วยให้ผู้สัญจรจากสถานี Bus Rapid Transit (BRT) เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางในเมืองโดยไม่ต้องใช้ยานยนต์ e-pedicab เป็นรถถีบน้ำหนักเบาที่ขับเคลื่อนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับความนิยมในหลายเมืองทั่วโลกในด้านความสามารถในการขนส่งผู้โดยสารหลายคน ในขณะเดียวกันก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยรถสามล้อไฟฟ้าซึ่งบริหารโดยแผนกการจัดการการขนส่งในเมือง (UTMS) จะช่วยเคลื่อนย้ายผู้โดยสารได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและประหยัดมากขึ้นภายในพื้นที่หลัก เนื่องจากผู้โดยสารจะทำงานได้แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีเครื่องยนต์ เช่น Transit Mall แห่งใหม่รถสามล้อไฟฟ้าจะให้บริการตั้งแต่เวลา 6.00 น. ถึง 22.00 น. ทุกวัน โดยสามารถพบได้ที่สถานี BRT และที่จอดรถทุกแห่ง ราคาค่าบริการไม่แพงอยู่ที่ 12,500 กีบต่อกิโลเมตร สามารถชำระเงินและจองผ่านแอปสมาร์ทโฟน UTMS รถสามล้อไฟฟ้าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของความมุ่งมั่นของโครงการขนส่งเมืองอย่างยั่งยืนในเวียงจันทน์ในการสร้างการขนส่งที่มีประสิทธิภาพแต่ราคาไม่แพง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดและปรับปรุงคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ที่อาศัยและทำงานในพื้นที่หลัก โดยการลดมลภาวะทางอากาศและเสียง

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_246_New_y23.php

นายกฯ สปป.ลาว ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-ญี่ปุ่น เน้นความร่วมมือระดับภูมิภาค

การประชุมสุดยอดผู้นำจากประเทศในกลุ่มอาเซียนและญี่ปุ่น มีความตั้งใจในการทบทวนความร่วมมือในช่วงห้าทศวรรษที่มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยการประชุมได้จัดลำดับความสำคัญของการสร้างวิสัยทัศน์ใหม่และความร่วมมือที่จับต้องได้ เน้นย้ำความพยายามในการทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับความท้าทาย ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมความร่วมมือทางอุตสาหกรรม ทั้งนี้ นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว มีส่วนร่วมในการอภิปรายทวิภาคีกับผู้นำจากทั่วภูมิภาค ในฐานะที่ สปป.ลาว กำลังเตรียมที่จะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้า นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ให้การสนับสนุน สปป.ลาว โดยเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ก้าวข้ามความสัมพันธ์ที่นอกเหนือไปจากธุรกิจ และส่งเสริมความไว้วางใจผ่านความท้าทายร่วมกัน เนื่องจากมีบริษัทญี่ปุ่นประมาณ 160 แห่งที่ทำธุรกิจใน สปป.ลาว ซึ่งมีส่วนสนับสนุนความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมลาวเป็นอย่างมาก และสร้างโอกาสในการจ้างงานโดยส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และอำนวยความสะดวกในการถ่ายทอดเทคโนโลยี

ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/12/15/lao-pm-to-join-asean-japan-summit-focus-on-regional-cooperation/

‘รถไฟความเร็วสูงเชื่อมหนองคาย-เวียงจันทน์’ คาดว่าจสร้างแล้วเสร็จในปี 2571

นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมของไทย เปิดเผยความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงสายหนองคาย-เวียงจันทน์ (HSR) เชื่อมโยงการค้าไทย-จีน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2571 ภายใต้มูลค่าลงทุนประมาณ 3 พันล้านบาท มีระยะทาง 7.3 กิโลเมตร ซึ่งจะเริ่มทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และออกแบบโครงการขั้นสุดท้ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2567 ตามด้วยการประมูลก่อสร้างที่มีกำหนดการเริ่มเปิดประมูลในปี 2568 ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน จะมีระยะทางครอบคลุม 606 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ ถึงหนองคาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการระยะแรก ซึ่งตั้งเป้าที่จะวางเส้นทาง 253 กิโลเมตรระหว่างกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา มูลค่าลงทุนกว่า 1.79 แสนล้านบาท ปัจจุบันเสร็จสมบูรณ์ 28.6% ซึ่งความล่าช้าที่เกิดจากปัญหาการเวนคืนที่ดินได้ขัดขวางความคืบหน้าในการก่อสร้าง กระทบต่อลำดับเวลาของโครงการ ซึ่งตามหลักการแล้วควรจะอยู่ที่ 50% อย่างไรก็ตาม การศึกษาความเป็นไปได้สำหรับส่วนเชื่อมต่อนครราชสีมาถึงหนองคายได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว กระทรวงฯ รอการเสนอรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก รฟท. เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนต่างๆ เหล่านี้ คาดว่าจะช่วยเพิ่มการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างประเทศไทยและจีน

ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/12/15/high-speed-rail-linking-nong-khai-vientiane-expected-to-complete-in-2028/

ประธานประเทศลาวแนะผู้นำแขวงบอลิคำไซ ‘เพิ่มการผลิตสินค้าเพื่อทดแทนการนำเข้า’

นายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศลาว แนะผู้นำและเจ้าหน้าที่แขวงบอลิคำไซให้สนับสนุนการผลิตและการบริโภคสินค้าที่ผลิตในลาว เพื่อลดการนำเข้าและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น และเน้นย้ำการให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมืองมากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทเชิงรุกในทุกด้านของการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้รับคำแนะนำให้เสริมสร้างความมั่นคงภายในท้องถิ่น ระงับการกระทำที่ไม่พึงประสงค์โดยทันที เพื่อลดความยากจนทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ กำชับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับการแต่งตั้งตามคุณธรรมเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จตามที่กำหนดเป้าหมายไว้ ทั้งนี้ ผู้นำแขวงบอลิคำไซ ได้กล่าวต่อประธานประเทศว่า ‘ความสำเร็จในการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการป้องกันประเทศ การรักษาสันติภาพ และการลดความยากจน ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลข GDP ของแขวงบอลิคำไซ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ามากกว่า 7 ล้านล้านกีบ คิดเป็น 100.14% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ นอกจากนี้ หมู่บ้านกว่า 264 แห่ง คิดเป็น 92% ของหมู่บ้านทั้งหมดในแขวงบอลิคำไซ ได้รับการประกาศว่าปราศจากความยากจน และประมาณ 95% ของครัวเรือนขณะนี้อยู่เหนือเส้นความยากจน

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_243President_23.php

สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ร่วมส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนของ สปป.ลาว

คณะผู้แทนสหราชอาณาจักรประจำอาเซียนและสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศลาว จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ Lao Holding State Enterprise (LHSE) ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐที่ดำเนินธุรกิจหลักในการจัดหาเงินทุนให้กับอุตสาหกรรมพลังงานในการดำเนินโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งปันความรู้ ให้คำปรึกษาทางการเงิน และสนับสนุน สปป.ลาว ที่มุ่งหวังการมีเศรษฐกิจสีเขียว ทั้งนี้ ภายในงาน รัฐบาลลาวและผู้ถือหุ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำเทิน 2 ได้ลงนามข้อตกลงการพัฒนาโครงการสำหรับ น้ำเทิน 2-โซลาร์ โดยโครงการนี้กำหนดให้เป็นโครงการลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในลาว โดยมีกำลังการผลิตสูงสุด 240 เมกะวัตต์ (MWp) ที่จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ผิว 3.2 ตารางกิโลเมตรของอ่างเก็บน้ำน้ำเทิน 2

ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/12/13/uk-australia-boost-laos-green-energy-with-floating-solar-workshop/

ธนาคารแห่ง สปป.ลาว ลงนามความร่วมมือขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตเศรษฐกิจสีเขียว

ธนาคารแห่ง สปป.ลาว (BOL) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) ลงนามข้อตกลงเพื่อส่งเสริมความร่วมมือพัฒนาธุรกิจการเงินสีเขียว ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมอย่างเข้มข้นในการปฏิรูปที่สำคัญ รวมถึงการพัฒนาแนวปฏิบัติและมาตรฐาน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุด คือ การดึงดูดทุนสีเขียว ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างงาน และมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน จากการที่ลาวต้องพึ่งพาทรัพยากรที่ไวต่อสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำ ป่าไม้ และเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สปป.ลาว ได้ตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 60% ภายในปี 2573 และลดคาร์บอนเป็นกลางภายในปี 2593 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ ประเทศวางแผนที่จะลงทุนเกือบ4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังที่ระบุไว้ในการสนับสนุนที่กำหนดระดับชาติ (NDC)

ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/12/13/landmark-partnership-propels-laos-towards-greener-future/