ธปท.เดินหน้าสังคมไร้เงินสด ลดใช้เช็ค!ตั้งเป้า 3 ปีดันพร้อมเพย์เอกชน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกแนวนโยบาย “ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยเพื่อ เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน” โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม การบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุม และการส่งเสริมให้ภาคการเงินยืดหยุ่นมากขึ้น และยังได้กำหนดทิศทางการพัฒนาระบบการชําระเงิน หรือ Payment Strategic Directions ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2565-2567) ทําให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวของเห็นภาพที่ชัดเจน เพื่อต่อยอดและปรับปรุงการให้บริการการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่คนไทยนิยมใช้เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ .และ สร้างระบบพร้อมเพย์เอกชนกับเอกชนโดยจะเพิ่มการชำระเงินให้ภาคธุรกิจมีทางเลือกใช้บริการ การชำระเงินดิจิทัล และมีกระบวนการธุรกิจแบบดิจิทัลที่ครบวงจร ผ่านระบบ PromptBiz และกำหนดเป้าหมาย เพิ่มปริมาณการโอนเงินชำระเงินของภาคประชาชนผ่านระบบดิจิทัลเป็น 2.5 เท่า จาก 312 ครั้งในปี 2564 เป็น 800 ครั้งต่อคนต่อปี ภายใน 3 ปี หรือในปี 2567 เพิ่มสัดส่วนมูลค่าการใช้การชำระเงินดิจิทัลต่อการใช้เงินสดเพื่อการชําระเงินของประชาชน อีก 5% ภายใน 3 ปี จากเดิมที่มีสัดส่วน 37% ของระบบเศรษฐกิจ รวมในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 42% ในปี 2567 ขณะเดียวกัน ยังตั้งเป้าจะขยาย ระบบการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลในไทยในภาพรวมให้เป็นทางเลือกหลักของทุกกลุ่มคนทดแทนการใช้เงินสด และใช้เช็ค ขณะที่ปริมาณการใช้เช็คลดลง 5 ปีต่อเนื่อง โดยในปี 2564 ปริมาณการใช้เช็คลดลง 16% มูลค่าเงินผ่านเช็คลดลง 12%

ที่มา: https://www.thairath.co.th/business/economics/2549080

ไทยเนื้อหอมต่างชาติจ่อลงทุนเพียบ เน้นทำเลทองอีอีซี

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2565 หรือ ก.ย. 64-ต.ค. 65 กนอ. มียอดขาย เช่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งที่ร่วมดำเนินการและที่ดำเนินการเอง 2,016.24 ไร่ เพิ่มขึ้น 65.1% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ 1,770 ไร่ แบ่งเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี 1,716.99 ไร่ และนอกพื้นที่อีอีซี 299.25 ไร่ เนื่องจากไทยได้ประกาศเปิดประเทศเป็นทางการ รวมทั้งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักของไทยมีความชัดเจน ทำให้นักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศมีความเชื่อมั่น ทยอยเข้ามาต่อเนื่อง ส่วนปี 66 กนอ. ตั้งเป้ายอดขาย หรือเช่าพื้นที่ไว้ที่ 2,500 ไร่ เนื่องจากได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัว และปัจจัยบวกจากทิศทางการเคลื่อนย้ายการลงทุนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ การแพร่ระบาดของโควิด-19 การเกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย และล่าสุดการปฏิรูปการเมืองในประเทศจีน ทำให้หลายอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ จัดระบบการผลิตครั้งใหญ่ ซึ่งไทยมีความได้เปรียบหลายส่วน ส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกหลายบริษัท เล็งเข้ามาลงทุนในไทย สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอันดับแรกที่เข้ามาลงทุน คือ กิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม 22.6%, อุตสาหกรรมยานยนต์ และการขนส่ง 11.06%, อุตสาหกรรมเหล็ก และผลิตภัณฑ์โลหะ 9.33%, อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม 8.85% และอุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักร และอะไหล่ 8.36 % โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่นครองแชมป์สนใจลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่งถึง 31.25% รองลงมา คือ นักลงทุนจากจีน 18.75 และนักลงทุนจากอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ อินเดีย และมาเลเซีย 6.25%

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/1669249/

‘จุรินทร์’ เดินหน้าขยายความร่วมมือเศรษฐกิจการค้าไทย-จีน ในโอกาสเจ้าภาพจัดประชุม APEC 2022

“จุรินทร์” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ชี้คำกล่าว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จากประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ครั้งที่ 20 ที่ผ่านมา โดยประกาศขยายความร่วมมือกับนานาประเทศ จะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 คลี่คลาย ขณะที่ไทยได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพในดารจัดประชุม APEC 2022 พร้อมผนึกกำลังจีน เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ การค้า และรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ จากนโยบายเปิดกว้างสู่ภายนอกของจีน โดยผลักดันความร่วมมือภายใต้โครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” การเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับนานาประเทศตามรูปแบบการพัฒนาของจีน และส่งเสริมการสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้าง ทำให้ทั่วโลกได้ตระหนักว่าจีนมีขีดความสามารถและศักยภาพที่จะดำเนินความร่วมมือกับทั่วโลก เพื่อเพื่อเสริมสร้างประโยชน์ระหว่างกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง

ที่มา : https://www.naewna.com/relation/691045

‘ไทย-ลาว’ ร่วมมือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ว่าด้วยความร่ววมือด้านไปรษณีย์ โทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัล กับกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 8 ปี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่าความร่ววมือดังกล่าวจะกระชับความร่วมมือระหว่างสองประเทศทั้งด้านการส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาทางเทคนิคและการขยายตลาด ตลอดจนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในด้านบริการไปรษณีย์ โทรคมนาคมและดิจิทัลแพลตฟอร์ม

ทั้งนี้  นายบอเวียงคำ วงดารา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กล่าวว่าการลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จะช่วยกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่างๆ เพื่อประโยชน์ของคนไทยและชาวลาวในอนาคต

ที่มา : https://www.bangkokpost.com/business/2432310/thailand-laos-ink-mou-covering-post-digital-tech

เงินเฟ้อร่วง 2 เดือนติด ตุลาคมขยับเพิ่มขึ้นแค่ 5.98%

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนตุลาคม 2565 เท่ากับ 108.06 เทียบกับเดือนกันยายน 2565 เพิ่มขึ้น 0.33% และเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2564 เพิ่มขึ้น 5.98% ส่งผลให้ราคาสินค้าชะลอตัวลงจากที่เคยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ และอัตราเงินเฟ้อรวม 10 เดือนของปี 2565 (มกราคม-ตุลาคม) อยู่ที่ 6.15% สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนที่เหลือ (เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2565) คาดว่าจะยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องประเมินว่าไม่น่าจะถึง 6% หรือใกล้เคียง 6% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค ที่จำเป็นต่อการครองชีพหลายรายการ และบางรายการราคาทรงตัว แม้ว่าต้นทุนจะสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการดูแลค่าครองชีพของภาครัฐ ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลายส่งผลให้สินค้าเกษตรเข้าสู่ตลาดมากขึ้น แต่ก็ต้องจับตาราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงเงินบาทที่ยังอ่อนค่า จึงประเมินว่า เงินเฟ้อทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ระดับ 5.5-6.5% มีค่ากลางที่ 6.0% ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจและการคาดการณ์เงินเฟ้อของหน่วยงานเศรษฐกิจต่างๆ ของประเทศ

ที่มา: https://www.naewna.com/business/690655

ราคาสินค้าลดฉุดเงินเฟ้อ ‘จุรินทร์’ส่งซิกเดือนตุลาคมเหลือไม่ถึง6%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ห้างแม็คโคร สาขานครราชสีมา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ว่า สถานการณ์เงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง หลังจากขึ้นไปสูงสุดในเดือนสิงหาคม 2565 ที่ 7.86% พอมาเดือนกันยายน 2565 ลดลงเหลือ 6.41% ส่วนเดือนตุลาคม 2565 เท่าที่ติดตามและประเมินเบื้องต้น คาดว่าอาจจะไม่ถึง 6% สะท้อนว่าสถานการณ์ราคาสินค้าในภาพรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลง ต่างกับหลายประเทศที่ประสบตัวเลขเงินเฟ้อสูงมาก เป็นเพราะรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ทำงานร่วมกับเอกชนและหลายฝ่าย ช่วยกันกำกับดูแลราคาสินค้าและบริการ

ที่มา: https://www.naewna.com/business/690440

ท่องเที่ยวฟื้น บาทอ่อน หนุนส่งออกส่งออกอัญมณีฯเดือนก.ย.โตต่อเนื่อง

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเดือนก.ย.2565 มีมูลค่า 1,012.59 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 89.49% หากรวมทองคำ มีมูลค่า 1,536.45 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 99.31% และยอดรวม 9 เดือนของปี 2565 มีมูลค่า 6,089.94 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 42.26% และหากรวมทองคำ มีมูลค่า 12,413.75 ล้านเดอลลาร์เพิ่มขึ้น 72.48% ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว หลังจากที่มีการเปิดเมืองในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนค่า ทำให้สินค้าไทยแข่งขันได้ดีขึ้น ขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญหลายตลาด มีการสั่งซื้อสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยสต๊อกที่ระบายออกเร็วจากการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/1035784

“ทิพานัน” ชี้อุตสาหกรรมส่งออกขยายตัว ดันดัชนีเอ็มพีไอเดือน ก.ย. ทะลุถึง 3.36% ใกล้เคียงปี 62 ชี้สัญญาณดีภาคอุตสาหกรรมกลับมาเติบโต-แข็งแกร่ง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) เดือนกันยายน 2565 ขยายตัว 3.36% ขณะที่ไตรมาส 3 (กรกฎาคม-กันยายน) ขยายตัว 8.06% ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2565 เอ็มพีไอขยายตัว 2.83% โดยพบว่าการขยายตัวของเดือนกันยายน ใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์วิกฤติการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเกิดจากปัจจัยที่ตลาดส่งออกขยายตัวได้ดี ทั้งในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและอาเซียน ภาคท่องเที่ยวขยาย ส่งผลต่อสินค้าเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่สำคัญคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น เราเที่ยวด้วยกัน ช็อปดีมีคืนและคนละครึ่ง

ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9650000104982

ไทยเล็งดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนผ่านรถไฟจีน-ลาว ปีหน้า

สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้าประเทศประมาณ 3 ล้านคนที่เดินทางผ่านทางรถไฟสายเวียงจันทร์-บ่อเต็น รวมระยะทาง 423 กม. ในขณะที่ ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว กล่าวว่าสปป.ลาวอาจไม่มีขีดความสามารถที่จะรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ ทั้งด้านสิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการที่พัก โดยคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวข้างต้นจะสูงถึง 4-5 ล้านคนในปีหน้า และส่วนใหญ่จะเดินทางผ่านทางรถไฟลาว-จีนที่เชื่อมระหว่างคุนหมิง-เวียงจันทร์ หากทางการจีนจะเปิดให้กลับมาเดินทางอีกครั้ง นอกจากนี้ สปป.ลาว มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนในช่วงต้นปีจนถึงเดือน ก.ย. เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 644,756 คน รัฐบาลคาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างน้อย 9 แสนคนในปี 2565 และทำรายได้กว่า 218 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://laotiantimes.com/2022/11/01/thailand-eyes-for-tourists-from-china-via-laos-china-railway-next-year/

นักท่องเที่ยวไทยมาเยือนกัมพูชามากสุดในช่วง 9 เดือนแรกของปี

9 เดือนแรกของปี 2022 ภาคการท่องเที่ยวและการบริการกัมพูชาเริ่มกลับมาฟื้นตัว หลังจากที่ทรุดลงเป็นอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยปัจจุบันกัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.26 ล้านคน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 861.21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยร้อยละ 36.56 รองลงมาเป็นชาวเวียดนามร้อยละ 22.53 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมดในช่วง 9 เดือนแรกของปี โดยกว่าร้อยละ 74.75 มีวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยวในวันหยุด และอีกส่วนหนึ่งประมาณร้อยละ 30 มีจุดประสงค์ของการเดินทางเพื่อมาทำธุรกิจภายในกัมพูชา แต่ถึงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีแนวโน้มขยายตัว แต่จำนวนนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนในปีนี้ก็ยังห่างไกลจากจำนวนนักท่องเที่ยวของกัมพูชาในช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงการท่องเที่ยวได้พยายามเป็นอย่างมากในการเร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวและบริการ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501177931/thai-tourists-lead-the-pack-in-number-of-tourists-that-visited-cambodia-in-first-nine-months/