AMRO ชี้ “ศก.เวียดนามเติบโตได้ดี”

สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (AMRO) รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาส คาดการณ์ว่าตัวเลขการเติบโต GDP ของเวียดนามสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากฟิลิปปินส์ ปี 2565 และจะสูงเป็นอันดับที่ 1 ในปีหน้า ทั้งนี้ เศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มที่จะขยายตัว 6.3% ในปีนี้ และ 6.5% ในปีหน้า ซึ่งสูงกว่าตัวเลขอัตราการเติบโตของกลุ่มประเทศในภูมิภาคที่อยู่ประมาณ 4.3% และ 4.9% ตามลำดับ

นอกจากนี้ เวียดนามถือเป็นประเทศที่เปิดกว้างทางด้านเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน แต่อย่างไรก็ดี ยังเผชิญกับความเสี่ยงจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ได้สร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อทั่วโลก ส่งผลให้เงินเฟ้อในภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้น 5.2% ในปีนี้ โดยเวียดนามยังมีฐานะทางการคลังที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันยังใช้นโยบายการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnamese-economy-to-perform-well-amro-post955081.vov

นักลงทุนจีน แห่ซื้อที่ดินในสปป.ลาว

ธุรกิจจีนเข้ามากว้านซื้อที่ดินในสปป.ลาว สำหรับโรงงาน โรงแรมและโครงการพัฒนาด้านอื่นๆ เนื่องจากอิทธิพลของจีนเข้ามาขยายตัวอย่างต่อเนื่องในประเทศที่ยากจนและไม่มีทางออกสู่ทะเล โดยสำนักข่าว RFA อ้างตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ในเวียงจันทน์ เปิดเผยว่า ชาวจีนจำนวนมากกำลังจะเข้ามาซื้อที่ดินในอนาคต ราคาที่ดินใกล้สถานีรถไฟเวียงจันทน์อยู่ที่ 2,500 บาท (70 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อตารางเมตร และที่ดินที่ได้รับการจดทะเบียนส่วนใหญ่ถูกขายไปกับชาวจีน นอกจากนี้ จีนเป็นผู้ลงทุนและให้ความช่วยเหลือต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของลาว และเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองรองจากไทย

ที่มา : https://www.rfa.org/english/news/laos/land-07062022143130.html

Q1 ของปีงบ 65-66 ค้าระหว่างประเทศเมียนมา พุ่งแตะ 18.19%

ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ถึง วันที่ 24 มิ.ย.2565 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565-2566  มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเมียนมาเพิ่มขึ้น 18.19% เมื่อเทียบปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 7.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการส่งออกเพิ่มขึ้น 18.34 % ในขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 18.04 % แม้ว่าการค้าโดยรวมจะสูงขึ้น แต่การค้าชายแดนของประเทศลดลง 15.54 % มาอยู่ที่กว่า 1.719 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งการค้าขายส่วนใหญ่ผ่านเส้นทางเดินเรือ ส่วนการค้าชายแดนจะทำการค้ากับจีน ไทย บังกลาเทศ และอินเดีย ทั้งนี้สินค้าส่งออกสำคัญของเมียนมา ได้แก่ สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ การประมง แร่ธาตุและผลิตภัณฑ์จากป่า ส่วนการนำเข้าจะเป็นสินค้าทุน สินค้าขั้นกลาง และสินค้าอุปโภคบริโภค

ที่มา : https://english.news.cn/20220707/a1174db83ab2439296f539a3a2e35999/c.html

CDC ให้การสนับสนุนภาคธุรกิจมาเลเซียในกัมพูชา

สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) พร้อมที่จะให้บริการและสนับสนุนแก่นักลงทุนชาวมาเลเซียในกัมพูชา เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมายังกัมพูชามากขึ้น ด้าน Sok Chenda Sophea เลขาธิการสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา กล่าวในการประชุม ‘การเจรจาระดับสูงอาเซียน-อิตาลีว่าด้วยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ’ ครั้งที่ 6 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยเลขาธิการ CDC กล่าวว่า ปัจจุบันกัมพูชาได้ออกกฎหมายด้านการลงทุนฉบับใหม่ เพื่อเป็นการสนับสนุนนักลงทุนและเป็นการสร้างแรงจูงใจแก่นักลงทุนมากขึ้น ในการเข้ามาลงทุนยังกัมพูชา ด้าน Lim Heng รองประธานหอการค้ากัมพูชา กล่าวว่า ในเดือนมิถุนายนกัมพูชาจะสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติจากมาเลเซียและประเทศอื่น ๆ ได้มากขึ้น อันเนื่องมาจากข้อตกลงทางการค้า อาทิเช่น EBA, GSP, FTA กัมพูชา-จีน และ RCEP ที่ถือเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต่างชาติสนใจ โดยในช่วง มกราคม-พฤษภาคม ปีนี้ การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและมาเลเซียอยู่ที่ 244 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามข้อมูลของกรมศุลกากรและสรรพสามิต ซึ่งคิดเป็นการส่งออกของกัมพูชามูลค่า 44 ล้านดอลลาร์ ไปยังมาเลเซีย เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 จากปีก่อน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501108010/cdc-offers-support-for-malaysian-businesses-in-cambodia/

กัมพูชาจ่อออก Golden Visa ให้กับนักลงทุนไทย

กัมพูชาเปิดตัวโครงการ “My 2nd Home” เพื่อสนับสนุนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในกัมพูชา โดยโปรแกรมนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างนึงว่า “Golden Visa” ซึ่งจะให้วีซ่ากับนักลงทุนเป็นเวลา 10 ปี โดยไม่จำกัดการเข้าออกประเทศ ควบคู่ไปกับสิทธิประโยชน์อื่นๆที่ทางการกัมพูชาจะมอบให้ ซึ่งผู้ที่ต้องการที่จะสมัครวีซ่าดังกล่าว จะต้องเป็นนักลงทุนชาวต่างชาติที่มีเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์ในกัมพูชา และเป็นบุคคลที่รัฐบาลกัมพูชารับรอง โดยไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาหรือความสามารถทางภาษา ซึ่งนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับวีซ่าข้างต้นจะได้รับประโยชน์ในการเข้าถึงประกันและการรักษาพยาบาลแบบวีไอพี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501108375/cambodia-goes-head-on-with-thailand-in-implementing-10-year-golden-visa/

วิกฤติขาดแคลนข้าวสาลี เหตุจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันส่งออกข้าวเวียดนามดีขึ้น

ปัญหาการหยุดชะงักของอุปทานข้าวสาลีทั่วไปที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ผู้นำเข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแสวงหาวัตถุดิบหรือธัญพืชอื่นมาแทน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อข้าวเวียดนาม โดยข้าวเวียดนามปรับราคาสูงขึ้นอย่างมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาและสูงกว่าข้าวไทยอีกด้วย ข้าวคุณภาพสูงของเวียดนามในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 10-15 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณการส่งออกข้าว อยู่ที่ 2.77 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลักที่มีความต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดแอฟริกา ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ความต้องการข้าวเวียดนามที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่เพียงแต่สามารถสังเกตได้ในตลาดดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังสามารถสังเกตได้ในตลาดระดับบนหรือตลาดไฮเอนด์ เช่น เยอรมนี สวีเดนและโปแลนด์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะยินดีกับทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้นำเข้าหลายรายเริ่มมองหาซัพพลาย เพื่อหาราคาข้าวที่ถูกกว่าท่ามกลางราคาข้าวเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1266243/wheat-shortages-bode-well-for-vietnamese-rice.html

“เวียดนาม” ยกระดับการส่งออกข้าวคุณภาพสูง

สมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) เปิดเผยว่าราคาข้าวขาวหัก 5% ของเวียดนามสูงกว่าราคาข้าวไทย อินเดียและปากีสถาน โดยเฉพาะราคาข้าวเวียดนาม 418 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สูงกว่าราคาข้าวไทย 8 ดอลลาร์สหรัฐและสูงกว่าราคาข้าวปากีสถาน ($30) และอินเดีย ($75) ตามลำดับ ในขณะที่ราคาส่งออกข้าวขาวหัก 25% ของเวียดนามในปัจจุบัน อยู่ที่ 403 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เท่ากับข้าวไทย แต่ยังสูงกว่าราคาข้าวปากีสถานและอินเดีย นอกจากนี้ ข้าวคุณภาพสูงของเวียดนามจะส่งออกไปยังญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป โดยเร็วๆนี้ทางบริษัท Tan Long Group JSC กับธนาคารญี่ปุ่น “Kiraboshi” ได้ร่วมจัดพิธีในกรุงโตเกียว มีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมทข้าว “ST25” ซึ่งเป็นข้าวหอมที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2562 สู่ตลาดญี่ปุ่น

 

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-boosts-export-of-highquality-rice/232263.vnp

เดือน เม.ย.-มิ.ย.65 เมียนมาส่งออกข้าวไปแล้วกว่า 550,000 ตัน

รายงานของสหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) พบว่า  สามเดือนที่ผ่านมาของปี 2565 (เม.ย.-มิ.ย.) เมียนมาส่งออกข้าวและข้าวหักมากกว่า 550,547 ตัน จากบริษัทผู้ส่งออกข้าวประมาณ 38 บริษัทผ่านการค้าทางทะเล ในขณะที่ 33,593 ตันถูกส่งออกผ่านด่านชายแดน ซึ่งลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้วเนื่องจากความเข้มงวดของจีน ส่วนใหญ่แล้วเมียนมาสงออกข้าวไปยังฟิลิปปินส์ (65,990 ตัน) และจีน (54,635 ตัน) ปัจจุบันราคาข้าวขาวคุณภาพต่ำอยู่ที่ประมาณ 320-360 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งราคาส่งออกค่อนข้างต่ำกว่าราคาขาวของไทยและเวียดนาม แต่ยังสูงกว่าราคาของอินเดียและปากีสถาน ทั้งนี้ราคาข้าวส่งออก (คุณภาพต่ำ) อยู่ในช่วง 29,000 และ 30,000 จัตต่อถุง (น้ำหนัก 108 ปอนด์) ราคาขึ้นอยู่กับพันธุ์ข้าวที่ในประเทศ ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2564 ถึงวันที่ 31 มี.ค.2565 ของปีงบประมาณย่อย (2564-2565)  เมียนมาส่งออกข้าวและข้าวหักมากกว่า 1.4 ล้านตัน ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2563-2564  เมียนมาการส่งออกข้าว 2 ล้านตัน สร้างรายได้กว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/myanmar-ships-over-550000-mt-of-rice-in-april-june/#article-title

กองทุน LMC มอบเงินสนับสนุน สปป.ลาว ดำเนินการ 68 โครงการ

สปป.ลาว ได้รับเงินทุนสนับสนุนมากกว่า 18 ล้านดอลลาร์ จากกองทุนพิเศษความร่วมมือล้านช้าง-แม่น้ำโขง (LMC) เพื่อดำเนินการ 68 โครงการ ตามการรายงานของกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว ภายในการประชุมแม่น้ำโขง-ล้านช้าง (MLC) ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองพุกาม ประเทศเมียนมา เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีผู้เข้าร่วมระดับรัฐมนตรีจาก สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมา ไทย และเวียดนาม โดยกองทุนพิเศษ LMC ริเริ่มโดยรัฐบาลจีนในระหว่างการประชุมผู้นำ LMC ครั้งแรกในมณฑลไห่หนานของจีนเมื่อเดือนมีนาคม 2016 ซึ่งกองทุนพิเศษ LMC มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนโครงการความร่วมมือที่เสนอโดย 6 ประเทศในกลุ่ม LMC ซึ่งในปัจจุบันการค้าทวิภาคีระหว่างจีนและกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 4 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2020

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten128_68project.php

สหภาพแรงงานกัมพูชาเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำปรับเป็น 204-214 ดอลลาร์

ก่อนการเจรจากับทางกระทรวงแรงงานกัมพูชา สหภาพแรงงานกำหนดหัวข้อในการเจรจาขอปรับค่าแรงขั้นต่ำให้อยู่ในช่วง 204-214 ดอลลาร์ สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า กระเป๋า และสินค้าการเดินทาง ภายในปี 2023 หลังจากค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ระดับ 194 ดอลลาร์ ในปัจจุบัน โดยกระทรวงฯ ได้มอบหมายให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลและการวิจัยทางวิชาการที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับเกณฑ์ต่างๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ผลิตภาพ ความสามารถในการแข่งขัน สถานการณ์ตลาดแรงงาน และผลกำไรของภาคส่วนต่างๆ เพื่อหาความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501107632/labour-unions-in-cambodia-want-minimum-wage-of-204-214-ahead-of-talks/