โรงแรมเริ่มฟื้นตัว อัตราเข้าพักเพิ่ม เดือนมิ.ย.พุ่ง38%

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ สมาคมโรงแรมไทย สำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม (Hotel business operator Sentiment Index: HSI) เดือนมิ.ย. 2565 พบว่า อัตราการเข้าพักเดือน มิ.ย. 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 38% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน และเดือนเดียวกันกับปีก่อน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยเพิ่มขึ้น หลังมีการผ่อนคลายนโยบายเปิดประเทศ ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยชะลอการเดินทางตามสิทธิ์โครงการเราเที่ยวด้วยกันที่หมดลง คาดว่าอัตราการเข้าพักเดือน ก.ค. 2565 เพิ่มขึ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 40% ส่วนรายได้ของโรงแรมบางส่วนเริ่มปรับดีขึ้น แต่ภาพรวมยังอยู่ในระดับต่ำ เกือบครึ่งหนึ่งรายได้ยังกลับมาไม่ถึง 30% และมีสภาพคล่องใกล้เคียงเดือนก่อน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเห็นว่า ยังต้องการมาตรการในการช่วยเหลือ ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือด้านต้นทุน ลดค่าไฟฟ้า-ประปา และขยายเวลาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน

ที่มา: https://www.naewna.com/business/664576

ธปท.ชี้กำลังซื้ออ่อนแอ อุปสรรคต่อการฟื้นตัวของธุรกิจ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลกระทบจากไวรัส COVID-19ต่อภาคธุรกิจไทย (เป็นผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) เฉพาะกิจ ระหว่างวันที่ 1-24 มิถุนายน 2565) โดยในเดือนมิ.ย. 2565 ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจโดยรวมปรับดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน โดยปัญหาการขนส่งและขาดแคลนชิ้นส่วนในภาคการผลิตบรรเทาลงบ้าง หลังจากที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนได้กลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง ส่วนการฟื้นตัวของภาคที่มิใช่การผลิต ปรับดีขึ้นจากนโยบายการเปิดประเทศที่ผ่อนคลายขึ้น และความกังวลต่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่น้อยลง อย่างไรก็ตามการคาดการณ์การฟื้นตัวของธุรกิจในภาพรวมมีแนวโน้มเร็วขึ้น และคาดว่าจะฟื้นตัวได้ภายในครึ่งหลังของปี 2565 นี้ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทั้งในภาคการผลิต และภาคที่มิใช่การผลิต ส่วนใหญ่อยู่ในภาคการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มผลิตเหล็ก ผลิตยานยนต์ และผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนภาคการท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ ยังมีสัดส่วนของธุรกิจที่กลับเข้าสู่ระดับปกติอยู่ในระดับต่ำมาก

ที่มา: https://www.naewna.com/business/664384

5 เดือนแรกไทยส่งออก-ค้าชายแดน กวาดรายได้ เกือบ 5 ล้านล้านบาท

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยและการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน เดือนพฤษภาคมและ 5 เดือนแรกของปี 2565 ผ่านระบบซูม โดยตัวเลขการส่งออกเดือนพฤษภาคม 2565 เพิ่มขึ้น 10.5% มูลค่า 854,372 ล้านบาท และการส่งออกในภาพรวม 5 เดือนแรก มกราคม-พฤษภาคม เพิ่มขึ้น 12.9% มูลค่า 4,037,962 ล้านบาท 5 เดือนแรก การส่งออก เพิ่มขึ้น 12.9% แตะ 4 ล้านล้านบาท สำหรับทิศทางการส่งออกในเดือนที่เหลือของปีนี้ นายจุรินทร์กล่าวว่า ยังคิดว่ายังเป็นบวก เพราะ 5 เดือนนี้ เพิ่มขึ้น 12.9% ทั้งปียังน่าจะบวกได้และน่าจะเกินเป้า เพราะตั้งเป้าไว้ที่ 4-5% คิดว่าน่าจะบรรลุเป้า แต่จะเพิ่มไปมากน้อยแค่ไหนต้องประเมินรายละเอียดต่อไป ปีที่แล้วส่งออกทั้งปี 8.5 ล้านล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าที่ 9 ล้านล้านบาท แต่ 5 เดือนทำได้ 4 ล้านล้านบาทแล้ว น่าจะเกินเป้าที่ 9 ล้านล้านบาทได้ ทั้งนี้ การส่งออก สินค้าสำคัญ 3 หมวด ประกอบด้วยสินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรและหมวดสินค้าอุตสาหกรรม หมวดสินค้าเกษตร พฤษภาคม 2565 เพิ่มขึ้น 3 เดือนต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 21.5% มูลค่า 106,082 ล้าน

ที่มา : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-968673

ดอกเบี้ยขาขึ้นระเบิดหนี้ครัวเรือน เกียรตินาคิน ห่วงกลุ่มรายได้น้อย จี้ปฏิรูปโครงสร้างศก.

รายงานข่าวจากฝ่ายวิจัยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP Research) เปิดเผยรายงานคาดการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น อาจจุดชนวนระเบิดหนี้ครัวเรือนที่เป็นปัญหาใหญ่ของไทย โดยกลุ่มที่มีความน่ากังวลมาก คือ หนี้ภาคครัวเรือนที่ปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นเกิน 90% ของจีดีพี และสูงเป็นลำดับที่ 11 ของโลก ซึ่งเกิดจากการมีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยที่สุด 20% มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 10,000 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 12,000 บาท และมีความจำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพื่อบริโภค นอกจากนี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงและหนักกว่าประเทศอื่น เนื่องจากไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงที่สุด ทั้งนี้ได้เสนอแนะเร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจผ่าน 2 แนวทาง คือ 1.การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว และนโยบายการเงินต้องไม่สนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตด้วยหนี้ 2.การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อนำเศรษฐกิจเข้าสู่กระบวนการของการลดภาระหนี้สินในระบบ ต้องระวังไม่ให้เร็วเกินไปและนำไปสู่ภาวะวิกฤต

ที่มา: https://www.matichon.co.th/economy/news_3422735

สัญญาณเที่ยวไทยเริ่มฟื้น รับข่าวจีนผ่อนคลายเดินทาง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดี หลังจีน เปิดให้สายการบินไทย สามารถทำการบินระหว่างประเทศไทยและจีน 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ซึ่งขณะนี้จีนได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว จึงถือเป็นสัญญาณดีในการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นกลุ่มหลักที่สร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ยังได้กำชับให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมความพร้อมมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศช่วงครึ่งปีหลัง ตามที่คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากหลังจากที่ไทยได้ผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ โดยยกเลิกระบบ Thailand Pass สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะในเริ่มวันที่1 ก.ค. 2565 เป็นต้นไป จึงต้องเน้นย้ำเพื่อสร้างความรับรู้สำหรับชาวต่างชาติ พร้อมกับมีมาตรการเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเดินทางมากขึ้น

ที่มา: https://www.naewna.com/business/662886

นายกฯ ปลื้ม Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย คาด ศก.โต 4.5%

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ ฟิทช์ (Fitch) ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ของประเทศไทยที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) อย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นการทำงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม อีกทั้งรัฐบาลมีการออกมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงมาตรการเปิดประเทศที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัว เกิดทิศทางเชิงบวกในภาคเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนยิ่งขึ้น โดย Fitch คาดการณ์ว่า ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ในปี 2565 ประเทศไทยจะขาดดุลงบประมาณลดลง สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 55.4 ต่อ GDP เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 จากการฟื้นตัวภายในประเทศและการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจาก 6.5 ล้านคนในปี 2565 เป็น 22 ล้านคนในปี 2566 ในส่วนของภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ประเทศไทยยังแข็งแกร่ง มีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและเพียงพอต่อการใช้จ่าย ทั้งนี้ Fitch คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะขาดดุลร้อยละ 1.8 ต่อ GDP ลดลงจากร้อยละ 2.1 ต่อ GDP ในปี 2564 และจะกลับมาเกินดุลที่ร้อยละ 1.0 ต่อ GDP ในปี 2566 และร้อยละ 2.8 ต่อ GDP ในปี 2567 จากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวมากยิ่งขึ้น

ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9650000059384

“เวียดนาม” จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ กระตุ้นการส่งออกไปยังตลาดสปป.ลาว ไทยและกัมพูชา

สำนักงานส่งเสริมการค้าเวียดนาม (Vietrade) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ผู้เข้าอบรมประกอบด้วยผู้ส่งออกที่สนใจทำตลาดในสปป.ลาวและไทย สำหรับการประชุมดังกล่าวใช้รูปแบบไฮบริคที่จัดขึ้นแบบเสมือนจริงผ่านทาง Zoom ในขณะที่มีอีกงานที่คล้ายคลึงกันที่จะจัดขึ้นในวันถัดไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเวียดนามที่ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังกัมพูชา ทั้งนี้ ตามข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เปิดเผยว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามและสปป.ลาว มีมูลค่าการค้ารวมกันทั้งหมด 708.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของเวียดนามไปยังตลาดสปป.ลาว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า, ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องจักร, ปุ๋ย, พลาสติกและผัก

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังอยู่ใน 10 ประเทศคู่ค้าสำคัญของเวียดนามมานับหลายปี โดยข้อมูลจากศูนย์การค้าระหว่างประเทศ (ITC) ชี้ให้เห็นว่ามูลค่ารวมของประเทศไทยกับเวียดนาม เพิ่มขึ้น 7 เท่าจากในปี 2547 อยู่ที่ 2.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 16.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 ด้วยการเติบโตเฉลี่ยราว 11% ต่อปี

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/consultation-workshops-aim-to-boost-exports-to-laos-thailand-cambodia/231367.vnp

บีโอไอยันลงทุนปี’64 สร้างงาน1.1แสนตำแหน่ง

มีรายงานจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แจ้งว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา บีโอไอ ให้การอนุมัติส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,572 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 511,900 ล้านบาท โดยเป็นการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 768 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 49 ของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น มีมูลค่ารวม 315,620 ล้านบาท การอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ 69 โครงการ เงินลงทุนรวม 60,300 ล้านบาท มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น โครงการโปรตีนแอนติเจนและโปรตีนแอนติบอดีตัดแต่งพันธุกรรม โครงการผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัดเพื่อการรักษาโรคในกลุ่ม Car T Cell เป็นต้น พร้อมระบุว่าโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ช่วยสร้างงาน 113,562 ตำแหน่ง โดยโครงการในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีการจ้างงานเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 40 ของการจ้างแรงงาน หรือมีการจ้างงานประมาณ 45,081 ตำแหน่ง

ที่มา: https://www.naewna.com/business/661586

ร้านสะดวกซื้อโตรับโควิด ‘เซเว่น’ครองแชมป์สาขาเยอะสุด

นางสาวจริยา ถ้ำตรงกิจกุล หัวหน้าแผนกพื้นที่ค้าปลีก ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะยังคงเป็นโมเดลที่ไปได้ดีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในแง่ของความสะดวก โดยพบว่าร้านสะดวกซื้อที่เห็นอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนนที่มีบริการเสริมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าใช้ชีวิตง่ายขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (OTCC) ในปี 2564 พบว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด และเป็นเจ้าของทั้ง 7-Eleven ที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 73.60% และ Lotus’s Go Fresh (เดิมคือ Tesco Lotus Express) ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 9.45% รองลงมา คือ กลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นเจ้าของ FamilyMart และ Tops Daily ที่มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกัน 4.79% ส่วนที่เหลืออีก 12.16% เป็นของผู้เล่นรายอื่นๆ

ที่มา : https://www.naewna.com/business/661354

EIC ปรับขึ้นจีดีพีปี 65 ขยายตัว 2.9% ต่างชาติเที่ยวไทยหนุนปีนี้ 7.4 ล้านคน

นายสมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565 ขึ้นเป็น 2.9% จากเดิม 2.7% ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ ผ่านการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวของไทยและการผ่อนคลายมาตรการผ่านแดนในหลายประเทศทั่วโลก โดย EIC ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 7.4 ล้านคนในปีนี้ (เดิม 5.7 ล้านคน) อีกทั้ง กิจกรรมในภาคบริการในประเทศยังมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากการกลับออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ตามอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ

ที่มา : https://www.businesstoday.co/business/14/06/2022/84717/