ราคาลูกตาลในตลาดมัณฑะเลย์ พุ่งขึ้น !

ราคาลูกตาล ในปีนี้พุ่งสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ท่ามกลางจำนวนต้นตาลลดลงและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งลูกตาลเป็นผลไม้ตามฤดูกาลในจังหวัดเมะทีลา เขตมัณฑะเลย์ แต่ข้องเผชิญกับค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นเพื่อส่งไปยังตลาดมัณฑะเลย์ ราคาจึงพุ่งขึ้นถึง 50%  ในปีนี้ ราคาลูกตาล อยู่ที่ 1,000 จัตต่อลูกตาลจำนวน 10 ลูก ขณะที่ในปีที่แล้ว ราคาลูกตาล1,000 จัตจะได้ลูกตาล 6 ลูก ทั้งนี้ชาวเมียนมานิยมบริโภคลูกตาลเพราะมีรสชาติที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/seasonal-ice-apple-fetches-good-price-in-mandalay-market/#article-title

‘เวียดนาม’ ยัน! คุมหนี้สาธารณะได้

กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าเวียดนามสามารถควบคุมระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่บริหารจัดการได้ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจยังคงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กระทรวงฯ มองว่าการปรับเพิ่มวงเงินกู้ของหนี้สาธารณะ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม และดำเนินการรักษาระดับหนี้สาธารณะที่ควบคุมได้ในระยะกลาง-ยาว ทั้งนี้ จากตัวเลขทางด้านสถิติของสำนักงานการบริหารหนี้ แสดงให้เห็นว่าหนี้สาธารณะของเวียดนามลดลงจาก 63.7% ของ GDP ในปี 2560 มาแตะอยู่ที่ 55.9% ในปี 2563

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1193544/vn-manages-to-control-public-debt.html

 

CDC อนุมัติโครงการลงทุนในกัมพูชามูลค่ารวมกว่า 6 ล้านดอลลาร์

สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ได้อนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 2 โครงการ ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 6.1 ล้านดอลลาร์ ในจังหวัดตาแก้วและกำปงสปือ ซึ่งโครงการที่ได้รับอนุมัติใหม่นี้เป็นของ บริษัท Sanjin (Cambodia) Knitting Technology Co., Ltd. จัดตั้งอยู่ในจังหวัดตาแก้ว มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 3.8 ล้านดอลลาร์ วางแผนสร้างโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า และ บริษัท Hao Tian Make Clothes Assist Material Co., Ltd. ในจังหวัดกำปงสปือ ด้วยเงินลงทุน 2.3 ล้านดอลลาร์ สำหรับโรงงานทอผ้า โดยโครงการลงทุนใหม่ที่ได้รับอนุมัติทั้งสองโครงการคาดว่าจะสร้างงาน 1,400 ตำแหน่ง สำหรับคนในท้องถิ่น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501079726/cdc-approves-two-investments-worth-over-6-million-to-create-1400-jobs/

กัมพูชาตั้งเป้านักท่องเที่ยว 1 ล้านคน ในปีนี้

กระทรวงการท่องเที่ยวตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างน้อย 1 ล้านคนในปีนี้ มุ่งไปที่นักท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร เป็นสำคัญ โดยได้ประมาณการจากแนวโน้มภาคนักท่องเที่ยวในประเทศในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งกัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวน 241,485 คน และนักท่องเที่ยวในประเทศอีกกว่า 5 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 191 และร้อยละ 161 ตามลำดับ โดยตลาดหลักสำหรับภาคการท่องเที่ยวของกัมพูชา ได้แก่ เวียดนาม ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร โดยปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชาได้ออกมาตรการเชิงนโยบายหลายชุด ภายใต้กรอบงบประมาณกว่า 150 ล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งในระยะยาวกัมพูชาคาดว่าจะให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างน้อย 7 ล้านคนและนักท่องเที่ยวในประเทศ 11 ล้านคน ภายในปี 2025

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501078728/cambodia-targets-one-million-tourists-this-year/

สภาอุตฯ ขอแรงจีนช่วย ยกระดับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ส.อ.ท. ได้ร่วมหารือกับท่านทูตหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย โดยได้หารือถึงการแลกเปลี่ยนนโยบาย และแนวทางความร่วมมือ ในด้านการส่งเสริมการค้าและการลงทุน การถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล 5.0 เพื่อนำมาปรับใช้ในทุกภาคธุรกิจ เช่น การนำเทคโนโลยีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งจะเป็นการนำร่องให้อุตสาหกรรม และผู้ประกอบการไทย ต้องเร่งปรับตัว และยกระดับการแข่งขัน ให้เท่าเทียมกับตลาดโลกในทุกๆ มิติ อีกทั้ง ยังได้ร่วมมือกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดกิจกรรมอบรม “Thai SME GP แต้มต่อธุรกิจดิจิทัล และอุปกรณ์การแพทย์ สู่คู่ค้าภาครัฐ  ณ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะมีการจัดอีกจำนวน 3 ครั้ง ที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และกรุงเทพฯ ตามลำดับ

ที่มา: https://www.naewna.com/business/655231

‘เวียดนาม’ คว้าโอกาสหนุนสตาร์ทอัพ ผนึกพันธมิตรสหรัฐฯ

นาย ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้กล่าวในที่ประชุมทางด้านนวัตกรรมและสตาร์ทอัพที่สถาบัน Asia Society ในเมืองซานฟรานซิสโก เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ชี้แจ้งว่าเวียดนามตั้งตาที่จะร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจสหรัฐอเมริกาเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการกระจายห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ เวียดนามมองว่าวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไปและยังได้เสนอกลยุทธ์ 3 ประการ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน หน่วยงานและทรัพยากรมนุษย์ เพื่อที่จะส่งเสริมการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันรัฐบาลเร่งปรับปรุงหน่วยงานและนโยบาย ตลอดจนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรมนุษย์ เพื่อจะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติมายังเวียดนามมากยิ่งขึ้น

ที่มา : https://en.baochinhphu.vn/viet-nam-looks-forward-to-stronger-startup-partnership-with-us-111220518103925907.htm

‘เวียดนาม’ ยกเลิกเรียกเก็บภาษีเหล็กนำเข้าจากจีนและเกาหลีใต้

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ประกาศยกเลิกภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับการนำเข้าเหล็กเคลือบโลหะจากสาธารณรัฐเกาหลีและจีน หลังจากจัดเก็บภาษีเป็นระยะเวลา 5 ปี ตามรายงานของกระทรวงฯ เปิดเผยว่ากระทรวงได้เปิดการสอบสวนว่ามีการทุ่มตลาดในเดือนมิ.ย. ปีที่แล้ว ตามที่มีการเรียกร้องจากผู้ผลิตในประเทศ ซึ่งการสอบสวนเป็นไปตามระเบียบขององค์การค้าโลก (WTO) เป็นผลให้กระทรวงฯ รวบรวมเอกสารและข้อมูลต่างๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปประเมินผลกระทบของการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบโลหะ และการทุ่มตลาดของผู้ผลิตและผู้ส่งออกเกาหลีใต้และจีน ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบแสดงให้เห็นว่าหลังจากเรียกเก็บภาษีมาเป็นระยะเวลา 5 ปี ภาคการผลิตเหล็กในประเทศไม่ได้รับผลกระทบสูงมากเหมือนแต่ก่อนและมีความเป็นไปได้ว่าจะนำเข้าเหล็กจากเกาหลีใต้และจีนในอนาคต

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-removes-anti-dumping-duties-on-steel-imports-from-china-rok-post944578.vov

เม.ย.65 ส่งออกเมียนมา พุ่งขึ้น 9.4%

เมื่อวันพุธที่ 18 พ.ค.2565 กระทรวงพาณิชย์เมียนมา ได้เผยตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้น 9.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 1.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสินค้าส่งออกที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้น อาทิเช่น สินค้าเกษตรและสัตว์ แร่ธาตุ และสินค้าอุตสาหกรรม โดยตลาดส่งออกสำคัญคือ จีน ไทย บังคลาเทศ และอินเดีย ทั้งนี้สินค้าส่งออกสำคัญของเมียนมา ได้แก่ สินค้าเกษตร สัตว์และผลิตภัณฑ์จากทะเล แร่ธาตุ ผลิตภัณฑ์จากป่า และสินค้าอุตสาหกรรม

ที่มา: https://english.news.cn/asiapacific/20220518/0ff1ca49a0a543ba9e87c1c228fa6194/c.html

เศรษฐกิจ สปป.ลาว ส่อผันผวน จากกระแสเงินทุนไหลออก

กระแสเงินทุนไหลออกของสกุลเงินต่างประเทศพุ่งสูงขึ้น นำหน้ากระแสเงินทุนไหลเข้าในปัจจุบัน ส่งผลทำให้สกุลเงินต่างประเทศขาดสภาพคล่อง กระทบภาคการนำเข้าเป็นสำคัญ โดย Vientiane Times รายงานว่า Sonexay Sithphaxay ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ สปป.ลาว รายงานว่ามีเพียงร้อยละ 33 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ สปป.ลาว ผ่านระบบธนาคารในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ ซึ่งส่วนที่เหลือถูกนำไปฝากไว้ในต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน ประมาณร้อยละ 98 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดถูกโอนออกนอกประเทศผ่านระบบธนาคารในช่วงนี้ อีกทั้งการลงทุนจากต่างประเทศที่แท้จริง ไหลเข้าผ่านระบบต่ำกว่ามูลค่าการลงทุนที่ได้ตกลงกันไว้มาก ส่งผลทำให้เงินทุนไหลออกมากกว่าเงินทุนไหลเข้า กระทบอุปทานของสกุลเงินต่างประเทศที่ยังไม่เพียงพอ ถึงแม้ภาคการค้าจะเกินดุลในช่วง 3 เดือนแรกของปีก็ตาม โดยปัจจุบันเงินกีบอ่อนค่าลงเป็นอย่างมากอยู่ที่ร้อยละ 18.36 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และ ร้อยละ 9.4 เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://laotiantimes.com/2022/05/19/laos-economy-short-changed-by-foreign-currency-outflows/

เอกชนคาดส่งออกอาหารโต 9.3% มูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท

นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า สถาบันฯ ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รายงานการส่งออกอาหารในช่วงไตรมาสแรกปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 28.8 คิดเป็นมูลค่ากว่า 286,000 ล้านบาท เนื่องจากประเทศคู่ค้านำเข้าสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะกลับมาคึกคักในช่วงที่หลายประเทศเตรียมการเปิดประเทศและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมอาหารที่ผลิตเพื่อการส่งออก โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า มีเพียงการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและอาหารพร้อมรับประทานเท่านั้นที่การส่งออกลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า เนื่องจากทางการจีนเข้มงวดในมาตรการนำเข้าสินค้าเพื่อควบคุมโควิด-19 ทำให้ผลไม้ส่งออกของไทยโดยเฉพาะทุเรียนหดตัวลง และแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือ คาดว่า จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.4 คิดเป็นมูลค่ากว่า 913,900 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากความต้องการสินค้าในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวและบริการที่มีแนวโน้มฟื้นตัว และทั้งปีมั่นใจว่าการส่งออกอาหารจะขยายตัวได้ร้อยละ 9.3 คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท

ที่มา : https://www.innnews.co.th/news/economy/news_341602/