ทางการกัมพูชากำหนดแผนยุทธศาสตร์ ดึงการลงทุนเพิ่มขึ้น

ทางการกัมพูชากำหนดแผนยุทธศาสตร์ (2021-2024) ในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการผลิต เสื้อผ้า รองเท้า และสินค้าการเดินทาง หวังดึงดูดการลงทุนมายังกัมพูชามากขึ้น รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคส่วนนี้ โดย Okhna Kong Sang กล่าวรายงานเสริมว่าการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของกัมพูชามีมูลค่ากว่า 11.389 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 เพิ่มขึ้น 1.505 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมูลค่าการส่งออกเสื้อผ้าของกัมพูชาอยู่ที่ 8.017 ล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออกรองเท้าอยู่ที่ 1.390 พันล้านดอลลาร์ และ สินค้าเพื่อการเดินทางอยู่ที่ 1.490 พันล้านดอลลาร์ และหมวดสินค้าสิ่งทออื่นๆ รวม 0.492 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2021

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501036530/garment-footwear-and-travel-goods-development-strategic-plan-to-attract-more-investment/

อุตสาหกรรมประกันภัยกัมพูชา ขยายตัวร้อยละ 9.5 ในปี 2021

หน่วยงานกำกับดูแลการประกันภัยกัมพูชา (IRC) รายถึงสถานการณ์ภายในอุตสาหกรรมประกันภัยกัมพูชา โดยปริมาณเบี้ยประกันภัยรวมมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 293.4 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้เศรษฐกิจโดยภาพรวมจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม โดยปัจจุบันกัมพูชามีผู้ประกอบการบริษัทประกันภัยทั่วไป 18 แห่ง, ประกันชีวิต 14 แห่ง, บริษัทประกันภัยรายย่อย 7 แห่ง และบริษัทประกันภัยต่อ 1 แห่ง ซึ่งค่าเบี้ยประกันภัยรวมของตลาดประกันภัยทั่วไปในปี 2021 อยู่ที่เกือบ 123 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่เบี้ยประกันชีวิตรวมอยู่ที่ 170.4 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501036523/cambodias-insurance-industry-grows-by-9-5-percent-to-293-3-million-in-premiums-in-2021/

กระทรวงเกษตรและป่าไม้ขยายความร่วมมือในการศึกษาระบบดิจิทัลของระบบชลประทาน

กระทรวงเกษตรและป่าไม้และบริษัท สตาร์ เทเลคอม จำกัด (Unitel) ได้ขยายความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของการจัดการชลประทานตามอุตสาหกรรม 4.0 บันทึกความเข้าใจนี้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายในการศึกษาการพัฒนาบริการน้ำประปาโดยใช้ระบบดิจิทัล และเพื่อศึกษาและพัฒนาบริการทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการชลประทาน การเกษตร และการประมง กิจกรรมเหล่านี้จะปรับปรุงการจัดการน้ำและบริการด้านการชลประทานสำหรับภาครัฐและประชาชนทั่วไปตาม “การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล” ผ่านการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงตามนโยบายและแผนการพัฒนาประเทศของรัฐบาล นอกจากนี้ การศึกษาจะพิจารณาการพัฒนาการดำเนินงานด้านน้ำในฟาร์มและแผนการจัดการโครงการในการปลูกข้าว โดยมุ่งเป้าไปที่การประหยัดน้ำเพื่อให้พืชสามารถเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมทั้งลดต้นทุนการผลิต

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Unitel_45_22.php

หัวหอมราคาดิ่ง กระทบเกษตรกรแบกต้นทุนอ่วมหนัก

เกษตรกรในอำเภอปหวิ่น-พยู เขตมะกเว ทำการปลูกหัวหอมตลอดทั้งปีโดยใช้นำจากชลประทานและน้ำบาดาล แม้จะให้ผลผลิตสูงแต่ก็ได้รับผลกระทบจากราคาลดลง ปัจจุบันผลผลิตหัวหอมอยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 viss (viss เท่ากับ 1.6 กก.) ต่อเอเคอร์ เมื่อปีก่อนราคาอยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 จัตต่อ viss แต่ในปัจจุบันราคาดิ่งลงเหลือ 300-400 จัตต่อ viss ทำให้รายได้ไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนที่พุ่งไปถึง 1 ล้านต่อเอเคอร์ อีกทั้งตลาดหัวหอมยังคงซบเซา เนื่องจากความต้องต่างประเทศลดลง ซึ่งก่อนหน้าในปี 2562 ราคาหัวหอมพุ่งไปถึง 4,000 จัตต่อ viss กระตุ้นให้เกษตรเพิ่มปริมาณการปลูก แต่เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดค้าขายหัวหอมเสียหายอย่างหนัก ทั้งนี้หัวหอมส่วนใหญ่ปลูกในเขตมัณฑะเลย์ มาเกว ย่างกุ้ง รัฐเนปิดอว์ และรัฐฉาน

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/onion-market-fallout-hits-growers/#article-title

‘เวียดนาม’ เผยอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสงครามยูเครน-รัสเซีย

บริษัท Agribank Securities JSC (Agriseco) เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์เวียดนาม มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบและราคาอาหารสัตว์ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่เกิดความขัดแย้งของสมรภูมิรัสเซีย-ยูเครน โดยประเทศรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีชั้นนำของโลกและอยู่ในอันดับที่ 3 ของผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก ทำให้ระดับราคาสูงขึ้น 17.8% อีกทั้ง ยูเครนเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดรายใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก หรือคิดเป็นสัดส่วน 22% ของอุปทานทั่วโลก ดังนั้นราคาข้าวโพดจึงเพิ่มขึ้น 8.4% นับตั้งแต่เริ่มเกิดสงคราม ทั้งนี้ ตามรายงานของ Agriseco ชี้ว่าความตึงเครียดของสงครามยูเครนและรัสเซีย ส่งผลกระทบอย่างมากต่อราคาอาหารทั่วโลก โดยทั้งสองประเทศมีสัดส่วนการส่งออกข้าวสาลี 29% ของการส่งออกทั่วโลก และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 19% ในขณะที่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ในประเทศส่วนใหญ่จะนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ตั้งแต่ข้าวสาลีไปจนถึงธัญพืช ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าราคาอาหารที่สูงขึ้นจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตของธุรกิจปศุสัตว์และอาหารสัตว์ในท้องถิ่น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1161595/russia-ukraine-crisis-hits-local-livestock-industry.html

 

อคส.จับมือเอกชนเมียนมาตั้งคลังสินค้า

นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา อคส.ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัท Maha Shwe Ngwe จำกัด จากเมียนมา เพื่อหาช่องทางร่วมลงทุนสร้างคลังกระจายสินค้าอุปโภค-บริโภคในเมียนมา รองรับการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ในตลาดเมียน ถือเป็นการขยายสาขาคลังสินค้าในต่างประเทศของ อคส.เป็นแห่งแรก ทั้งนี้ ยังมีแผนร่วมมือส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองกับเมียนมา ซึ่งไทยต้องนำเข้าปีละกว่า 2 ล้านตัน และกากถั่วเหลืองสำหรับผลิตอาหารสัตว์ อีกกว่าปีละ 2 ล้านตัน จะส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางด้านวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้กับเกษตรกรไทย โดยไม่ถือเป็นการทำการค้าแข่งกับภาคเอกชนของไทย เพราะไทยมีผลผลิตถั่วเหลืองน้อยมากไม่ถึงปีละ 0.1 ล้านตัน

ที่มา: https://www.naewna.com/business/639690

สรท.หวั่นปมร้อนรัสเซีย-ยูเครน ฉุดออเดอร์ส่งออกไตรมาส 2 วูบ 1.6 แสนลบ.

ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่าหากสถานการณ์การสู้รบไม่ยืดเยื้อบานปลายหรือขยายวงกว้างไปมากกว่านี้และสามารถเจรจาหาข้อยุติได้ภายใน 3 เดือน  การส่งออกของไทย ปี 2565 คาดว่าจะยังเติบโตได้ที่ร้อยละ 5 (ณ มีนาคม 2565) โดยไตรมาสแรกจะเติบโตได้ที่ร้อยละ 7-8 เนื่องจากมีการยืนยันคำสั่งซื้อไว้แล้วล่วงหน้าแต่หากสถานกาณ์ยังคงยืดเยื้ออาจกระทบต่อการส่งออกในไตรมาสสองอาจมีคำสั่งซื้อลดลงประมาณ 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.2-1.6 แสนล้านบาท และกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอาทิ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า (เครื่องปรับอากาศ)

ที่มา : https://www.posttoday.com/economy/news/676957

แนวโน้มเศรษฐกิจ ‘เวียดนาม’ ปี 65 พุ่งทะยานเกินกว่าที่คาดการณ์

แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2565 จะขยายตัวเหนือความคาดหมาย เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศฟื้นตัวและกระแสการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งกองทุนต่างชาติหลายสำนักได้ประมาณการว่าเศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้จะขยายตัว 7.5%

อย่างไรก็ตาม ไม่น่าแปลกใจที่เศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวในระดับที่สูง สาเหตุสำคัญมาจากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของอุปสงค์ในประเทศ การก่อสร้างและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มีมูลค่า 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ นาย Michael Kokalari หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก VinaCapital แสดงความเห็นว่าการบริโภคในครัวเรือนของเวียดนามมีแนวโน้มฟื้นตัวจากลดลง 6% ในปี 64 และเพิ่มขึ้น 5% ในปีนี้ นอกจากนี้ ผลการสำรวจของสหรัฐฯ รายงานว่าขณะนี้ยังมีประเทศที่ต้องการเดินทางไปเวียดนามเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ภาคการท่องเที่ยวจะช่วยให้ GDP ของเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3% ในปีนี้ และในอีกปี 2566 นักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาสู่ตลาดเวียดนาม

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnams-economy-forecast-to-grow-beyond-expectation-in-2022/222789.vnp

‘FDI เวียดนาม’ ช่วง 2 เดือนแรก 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

กรมส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศ (FIA) กระทรวงวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม (MPI) เปิดเผยว่าเวียดนามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ได้ราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 91.5% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 20 ก.พ. เวียดนามอนุมัติโครงการ FDI ใหม่จำนวน 183 โครงการ ด้วยทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 631.8 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจำนวนโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 45.2% แต่เงินทุนลดลง 80.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี อีกทั้ง นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูป 3.13 พันล้านเหรีญสหรัฐ รองลงมาอสังหาริมทรัพย์, โครงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ การผลิตและจำหน่ายพลังงาน ตามลำดับ

นอกจากนี้ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ สิงคโปร์เป็นแหล่งเงินทุนรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่ากว่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 34.2% ของเม็ดเงินทุนต่างชาติทั้งหมด ตามมาด้วยจีน 538 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-attracts-nearly-5-billion-usd-of-fdi-in-two-months/222784.vnp

รัฐบาลมีแผนเพิ่มทางด่วนเพื่อปรับปรุงการขนส่ง

รัฐบาลกำลังปรับปรุงเครือข่ายถนนของประเทศ และกำลังวางแผนที่จะสร้างทางด่วนเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงการขนส่งและช่วยบรรลุเป้าหมายสำหรับการให้สปป.ลาวเป็นประเทศที่เชื่อมโยงทางบกในภูมิภาค จะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างทางพิเศษเวียงจันทน์-ปากเซสำหรับส่วนที่ 1, 2, 3 และ 4 แต่บันทึกความเข้าใจในส่วนที่ 5 ได้ถูกยกเลิก เนื่องจากผู้รับสัมปทานไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กระทรวงโยธาธิการและการขนส่งได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาถนนเพื่อปรับปรุงการเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคและในระยะไกล การพัฒนาปรับปรุงการขนส่งดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ในประเทศอีกทั้งสร้างจุดแข็งให้กับสปป.ลาวในการเป็นประเทศเชื่อมโยงระบบการขนส่งระดับภูมิภาค

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_42_22.php