เมียนมาเตรียมแผนรองรับ COVID-19 สำหรับภาคเกษตร

กระทรวงเกษตรปศุสัตว์และชลประทาน (MOALI) ของเมียนมาจัดทำแผนแม่บทความมั่นคงด้านอาหารเพื่อรองรับภาคการเกษตรและปศุสัตว์จากปัญหา COVID-19  ภายหลังจากการประชุมตามแผนรับมือเศรษฐกิจ COVID-19 (CERP) เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของ COVID-19 ที่มีต่อประชากรในชนบทรวมทั้งเกษตรกร นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาที่ยั่งยืนของเมียนมา ภายใต้แผน MOALI จะมุ่งเน้นไปที่การผลิตพืชผลและปศุสัตว์ให้เพียงพอสำหรับการบริโภคภายในประเทศส่วนที่เหลือจะถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ภายใต้ CERP รัฐบาลได้เบิกจ่ายเงินไปแล้วร้อยละ 75 ของเงินจำนวน 9 หมื่นล้านจัต เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจจากการระบาดครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม 63

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/myanmar-draws-plan-cushion-agri-sector-covid-19.html

ญี่ปุ่นให้ทุนเพื่อเสริมสร้างการฝึกอบรมครูในสปป.ลาว

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตกลงที่จะให้เงินสนับสนุนจำนวน 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.91 พันล้านเยน) เพื่อปรับปรุงคุณภาพของสภาพแวดล้อมการฝึกอบรมของครูในระดับก่อนประถมศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในสปป.ลาว ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการวางแผนและการลงทุนสปป.ลาวและหัวหน้าผู้แทนของสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ประจำสปป.ลาวผ่านโครงการ “การปรับปรุงวิทยาลัยการฝึกหัดครูในสปป.ลาว” ได้ลงนามในเวียงจันทน์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โครงการนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 สำหรับปี 2564-2568 และจะช่วยเติมเต็มเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 สำหรับปี 2559-2563 นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาการศึกษาด้วย ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นเป็นรูปแบบความช่วยเหลือหลักในการสนับสนุนความร่วมมือทวิภาคีอื่น ๆ จากพันธมิตรการพัฒนาที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของสปป.ลาว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan177.php

กัมพูชาได้รับเงินกู้จาก ADB 127.8 ล้านดอลลาร์ ในการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้า

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียได้อนุมัติเงินกู้จำนวน 127.8 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างสายส่งและสถานีไฟฟ้าสาขาย่อยเพื่อส่งไปยังเมืองหลวงพนมเปญและอีกสามจังหวัดใกล้เคียงของกัมพูชาให้มีเสถียรภาพและเชื่อถือได้ โดยโครงการนี้จะนำร่องระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ขนาดยูทิลิตี้แห่งแรกในกัมพูชา ซึ่งจะได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึง 4.7 ล้านดอลลาร์จากกองทุนสภาพภูมิอากาศเชิงกลยุทธ์ภายใต้โครงการ Scaling Up Renewable Energy Program สำหรับประเทศที่มีรายได้น้อย และอีก 2 ล้านดอลลาร์จากกองทุนพลังงานสะอาดภายใต้ Clean Energy Financing Partnership Facility ADB เป็นผู้บริหารกองทุนทั้งสองแห่ง โดยโครงการนี้จะช่วย Electricite du Cambodge ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าแห่งชาติของกัมพูชาเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานระบบส่งโดยการจัดหาเงินทุนในการก่อสร้างสายส่งขนาด 115–230 กิโลโวลต์สี่สาย และสถานีย่อย 10 แห่ง โดยรัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์สู่ 415 เมกะวัตต์ ภายในปี 2022 จาก 155 เมกะวัตต์ในปี 2019

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50763156/cambodia-gets-127-8-million-adb-loan-to-help-expand-power-grid/

จังหวัดกำปอตตั้งเป้าต้อนรับนักท่องเที่ยว 2.5 ล้านคน ภายในปี 2023

จังหวัดกัมปอตซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดชายฝั่งทะเลของกัมพูชามีการตั้งเป้าหมายที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ได้มากถึง 2.5 ล้านคนภายในปี 2023 เนื่องจากจังหวัดกำลังพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับภาคส่วน โดยในการประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดกำปอตกล่าวว่าแผนพัฒนาการท่องเที่ยวระยะ 5 ปี จะมีส่วนช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัด ซึ่งทำการนำเสนอวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคตของการพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดกัมปอต โดยมุ่งเน้นไปที่ทิศทางเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว การวิจัยตลาด การส่งเสริมการเชื่อมต่อและการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวัฒนธรรมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการจัดการผลกระทบเชิงลบจากการท่องเที่ยว โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2020 จังหวัดกัมปอตได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจำนวน 838,000 คน ในขณะที่ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยว 1,090,000 คน ตามข้อมูลของกรมการท่องเที่ยวจังหวัดกัมปอต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50762606/kampot-province-targets-2-5-million-tourists-by-2023/

“พาณิชย์” ประกาศเริ่มใช้งานระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองใหม่ 20 ก.ย.นี้

กรมการค้าต่างประเทศประกาศเริ่มใช้ระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองแบบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.นี้เป็นต้นไป นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า สำนักเลขาธิการอาเซียน แจ้งว่าประเทศสมาชิกสามารถใช้ระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองแบบใหม่ หรือที่เรียกว่าระบบ AWSC (ASEAN Wide Self-Certification) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการขึ้นทะเบียนเป็น “ผู้ส่งออกที่ได้รับการรับรอง” (Certified Exporter) โดยผู้ส่งออกสามารถขึ้นทะเบียนได้ผ่านเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ (www.dft.go.th) เพื่อดำเนินการกรอกข้อมูลการขึ้นทะเบียน Certified Exporter พร้อมแนบเอกสารหลักฐานประกอบการขึ้นทะเบียนผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเดินทางมายื่นเอกสารที่กรมฯ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนเป็น Certified Exporter เพิ่มขึ้น กรมฯ ได้จัดกิจกรรมขึ้นทะเบียนสัญจร ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 16 ก.ย. 2563 เพื่อให้คำแนะนำในการขึ้นทะเบียน และการใช้ประโยชน์จากระบบ AWSC ในการส่งออกไปยังอาเซียน

ที่มา : https://mgronline.com/business/detail/9630000092441

เวียดนามคาดส่งออกข้าว 100,000 ตันไปอียู

จากการหารือของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ในประเด็น ‘การส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรป’ เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา คุณ Le Quoc Doanh รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ระบุว่าข้อตกลงการค้าเสรี EVFTA จะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายต่อผลผลิตทางการเกษตร การส่งออกข้าวจะมีศักยภาพสูงขึ้นภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ประกอบกับอียูจะให้โควตาข้าวของเวียดนาม 80,000 ตันต่อปี และเปิดเสรีการค้าข้าวหักอย่างสมบูรณ์ หมายความว่าเวียดนามสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 100,000 ตันต่อปี ไปยังอียู ทั้งนี้ กรมการผลิต ระบุว่าอียูจะยกเว้นภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์ข้าวจากเวียดนาม หลังจาก 3-5 ปี ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงมีความได้เปรียบการค้าเมื่อเทียบกับกัมพูชาและเมียนมา ที่ต้องจ่ายภาษี 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2563 และ 123 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2564

ที่มา : http://dtinews.vn/en/news/018/69841/vietnam-hopes-to-export-100-000-tonnes-of-rice

นักลงทุนญี่ปุ่นย้ายฐานเข้าสู่เวียดนาม เหตุห่วงโซ่อุปทาน

การลงทุนของญี่ปุ่นในเวียดนามนั้น มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังคงดำเนินต่อไปอีก เนื่องจากนักลงทุนญี่ปุ่นมองว่าเวียดนามมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ดี โดยบริษัทญี่ปุ่น 15 รายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อกระจายห่วงโซ่อุปทานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ คุณ Watanabe Nobuhiro กล่าวว่าบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งเข้าร่วมกับทาง HCMC Japanese Friendship Club (JCCH) แสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจของผู้ประกอบการญี่ปุ่นต่อการทำธุรกิจในนครโฮจิมินห์ อีกทั้ง สถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ระบุว่าสาเหตุดังกล่าวมาจากการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ธุรกิจญี่ปุ่นในโฮจิมินห์สามารถจัดการกับปัญหาในการทำธุรกิจได้

ที่มา : https://vietnamtimes.org.vn/japanese-investors-shifting-to-vietnam-to-diversify-supply-chain-24249.html

ปีงบฯ 62-63 มูลค่า FDI เมียนมาเกินเป้าหมาย

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของเมียนมาเกินเป้าหมายที่ 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ วันที่ 7 กันยายน ของปีงบประมาณ -62-63 โดยมีการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด 234 แห่ง ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 62  ถึง 7 กันยายน 63 ซึ่งจะรวมถึงการขยายธุรกิจเดิมและการลงทุนภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ คณะกรรมการการลงทุนเมียนมาวางแผนที่จะจัดการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีงบประมาณซึ่งจะมีการทบทวนการลงทุนขั้นสุดท้ายสำหรับปีนี้ ซึ่งหากมีการลงทุนทั้งหมดจะมีมูลค่าทั้งหมด 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับปีงบประมาณ 62-63 เกินเป้าหมาย 5.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับปีนี้ เมียนมายังต้องการการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มอีก 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนทั้งหมดที่คาดว่าจะได้รับการอนุมัติก่อนสิ้นเดือนนี้

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/foreign-direct-investments-fiscal-2019-20-exceed-target.html

สปป.ลาวมุ่งมั่นที่จะรับสิทธิประโยชน์ด้านการค้าของประเทศด้อยพัฒนาน้อยที่สุด (LDC)

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมีการจัดประชุมทางวิดีโอระหว่างสำนักงานผู้แทนระดับสูงของสหประชาชาติ (UN) และกลุ่มประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDC) การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทบทวนการสำเร็จการศึกษาของสปป.ลาวจากสถานะการได้รับสิทธิประโยชน์ LDC ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพด้านการค้าของสปป.ลาวเพราะสิทธิดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการค้าของสปป.ลาวกับคู่ค้าที่สำคัญอย่างยุโรป แต่การสิทธิดังกล่าวจะหมดลงในปี 2567 และจะมีการพิจารณากันในปีนี้ซึ่งจะมีเกณฑ์ 3 ประการ ได้แก่ ดัชนีสินทรัพย์มนุษย์ (HAI) ซึ่งประเมินเป้าหมายด้านสุขภาพและการศึกษาความเปราะบางทางเศรษฐกิจ (EVI) และรายได้ประชาชาติมวลรวม (GNI) ต่อหัว สปป.ลาวผ่านเกณฑ์ประการ 1 และ 2 แต่ในประเด้นด้านเศรษฐกิจสปป.ลาว การเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงร้อยละ 6-7 ต่อปี นอกจากนี้อัตราความยากจนลดลงจากร้อยละ 46 ในปี 2535 เหลือเพียงร้อยละ 18 ในปี 2563 เกณฑ์ดังกล่าวจึงเป็นอุปสรรคของสปป.ลาวในการจะได้รับสิทธิ LDC อย่างไรก็ตามสปป.ลาวยังมีเวลาที่ยื่นขอสิทธิดังกล่าวถึงแม้จะไม่เข้าเกณฑ์ด้านเศรษฐกิจ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos176.php

รัฐบาลสปป.ลาววางแผนกองทุนภัยพิบัติเพื่อช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่น

รัฐบาลกำลังจัดตั้งกองทุนภัยพิบัติเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย การประชุมประจำเดือนของคณะรัฐมนตรีได้มีการอภิปรายเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องกับกองทุนซึ่งร่างโดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้กำหนดหลักการและมาตรการสำหรับการจัดการและการใช้เงินกองทุนตลอดจนกลไกในการระดมความช่วยเหลือทางการเงินและติดตามสถานการณ์ฉุกเฉินและการบรรเทาทุกข์อย่างรวดเร็วสำหรับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ อธิบดีกรมสวัสดิการสังคมกล่าวว่ากองทุนนี้จะบริหารจัดการในระดับเมือง แขวงและส่วนกลาง คณะกรรมการจัดการภัยพิบัติ สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการใช้กองทุนเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีที่สภาพอากาศเลวร้ายได้ในทันที สปป.ลาวมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ ปัญหาหลักประการหนึ่งคือเมื่อเกิดอุทกภัยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตความเสียหายก่อนที่จะขอให้รัฐบาลสนับสนุนเงินทุนสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ กองทุนภัยพิบัติได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้และเร่งการให้การสนับสนุน หน่วยงานท้องถิ่นจะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยตรงตามความต้องการที่แท้จริง  ซึ่งช่วยให้ทางการระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆได้ดีขึ้น รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณบางส่วนให้กับกองทุนในแต่ละปีและจะระดมทุนจากสังคมมากขึ้น เพื่อให้มีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอที่จะช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติอย่างรวดเร็ว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt176.php