เมียนมาเตรียมยื่นกู้เงินกว่า 480 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก ADB สร้างทางด่วนพะโค – ไจก์ทิโย

กระทรวงการก่อสร้างได้ยื่นข้อเสนอระหว่างการประชุมรัฐสภาของสหภาพที่จัดขึ้นในเนปิดอว์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมเพื่อขอสินเชื่อ 483.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เพื่อดำเนินโครงการทางด่วน พะโค – ไจก์ทิโย โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ในเขตเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตกถนนจะเชื่อมต่อท่าเรือ Darn ในเวียดนามและท่าเรือติวาล่า ในย่างกุ้งโดยผ่านลาวและไทย โครงการนี้จะมีการพัฒนาที่ยั่งยืนในฝั่งตะวันออกของย่างกุ้ง เช่น สิเรียม, ติวาล่า, โตน-กวะ, กะยัน, Thanetpin และถนนพะโค ซึ่งจะช่วยให้เกิดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวเมียนมา ทางด่วน พะโค – ไจก์ทิโย เป็นถนน 4 เลนลาดยางยาว 62 กิโลเมตร

ที่มา: https://elevenmyanmar.com/news/over-480m-loan-to-be-sought-from-adb-to-build-bago-kyaikhto-expressway

ส่งออกข้าวไทยปี 63 เสี่ยงหล่นอันดับ 3 โลก

ผู้ส่งออกข้าวแนะ“ตลาดนำการผลิต” ไทยต้องเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ สู้ศึก ระบุกว่าจะเพียงพอความต้องการของเกษตรกรต้องใช้เวลา 3-5 ปี ปี 63 ไทยเสี่ยงสูงหล่นอันดับ 3 ส่งออกข้าวโลก จากที่กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศจับมือขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” เป้าหมายเพื่อสร้างประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารคุณภาพของโลก และผลักดันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารติด 1 ใน 10 อันดับแรกของโลกนั้น สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ชี้ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต”เป็นเรื่องที่ไทยเองจะต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากการค้าของโลกในยุคโลกาภิวัตน์นี้มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ตลาดผู้บริโภคเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคอยากจะได้คือสิ่งที่เราต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำได้แค่ช่วงข้ามคืน ทั้งนี้ต้องเริ่มจากการพัฒนาไม่ว่าจะในการศึกษาวิจัยตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ จนมาถึงการทดลองปลูกจนมีผลเป็นที่น่าพอใจและลูกค้ายอมรับ จากนั้นก็ต้องขยายเมล็ดพันธุ์จนมีเพียงพอที่จะปลูกจนได้จำนวนที่สามารถนำไปจำหน่ายในตลาดได้ โดยรวมแล้วน่าจะใช้เวลาในส่วนนี้ไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี เพราะฉะนั้นคงไม่สามารถที่จะทำให้บังเกิดผลได้ในปีนี้หรือปีหน้า ซึ่งยังไม่รวมถึงการพัฒนาในเรื่องการบริหารจัดการให้ความรู้ความเข้าใจกับเกษตรกรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรวมถึงภาคการแปรรูป ระบบสุขอนามัยและอื่น ๆ  อย่างไรก็ดีเป็นนิมิตหมายที่ดีถ้ามีการทำงานประสานกันระหว่างกระทรวงหลักรวมถึงภาคเอกชนที่จะมีข้อมูลที่ถูกต้องของตลาดซึ่งเอกชนจะใกล้ชิดมากกว่าหน่วยงานรัฐ แต่อย่างไรก็ตามก็มีหลายผลิตภัณฑ์การเกษตรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นข้าวซึ่งปีนี้คาดว่าจะส่งออกได้ไม่เกิน 6.5 ล้านตันจาก 7.5 ล้านตันในปีที่แล้วและอาจจะหล่นไปเป็นที่ 3 ของโลกในเรื่องตัวเลขส่งออกรองจากอินเดียและเวียดนาม ด้วยเหตุผลที่ข้าวไทยมีราคาที่แพงกว่าคู่แข่งในระดับค่อนข้างมากและพันธุ์ข้าวที่ไม่หลากหลายเหมือนที่คู่แข่งมีทำให้ตลาดข้าวของไทยหดตัวมาโดยต่อเนื่อง เราต้องมีพันธุ์ข้าวที่หลากหลายและมีผลผลิตต่อไร่ที่สูงถึงจะสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ได้  สิ่งเหล่านี้จะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ถึงจะช้าก็ต้องทำเพราะนี่คือความอยู่รอดของอุตสาหกรรมข้าวไทยในอนาคต หากมิเช่นนั้นข้าวไทยในตลาดโลกก็คงเหลือแค่เป็นตำนาน สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดว่าจะผลักดันให้ไทยกลับมาเป็นอันดับ 1 ผู้ส่งออกข้าวโลกโลกภายใน 2 ปีคงไม่ใช่สิ่งที่น่าจะทำได้ แต่ถ้าเรามีความตั้งใจและพยายามผลักดันสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นและต่อเนื่อง ในอนาคตก็อาจจะมีความเป็นไปได้ ข้อมูลในปี 2562  ผู้ส่งออกข้าวโลก 3 อันดับแรกได้แก่  อินเดีย ปริมาณ 9.7 ล้านตัน , ไทย 7.5 ล้านตัน และเวียดนาม 6.5 ล้านตัน ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 อินเดียส่งออกได้ 5.5 ล้านตัน, เวียดนาม 3.4 ล้านตัน และไทย 3 ล้านตัน

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/442502?utm_source=sub_category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=trade

INFOGRAPHIC : เวียดนามไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ติดต่อกัน 92 วัน

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. คณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโควิด-19 แห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The National Steering Committee for COVID-19 Prevention and Control) เปิดเผยว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในเวียดนาม นับเป็นเวลา 92 วันติดต่อกันแล้วไม่พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ในเวียดนาม

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-enters-92nd-day-without-covid19-community-transmission/178726.vnp

ออสเตรเลียเริ่มทำการสอบสวนการทุ่มตลาดเหล็กของเวียดนาม

คณะกรรมการตรวจสอบการทุ่มตลาดของออสเตรเลีย (Anti-Dumping Commission: ADC) เริ่มดำเนินการตรวจสอบ 2 คดีที่เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุ่มตลาดและการตอบโต้การอุดหนุนแก่เหล็กเคลือบโลหะผสมจากเวียดนามและอีกหลายประเทศ ซึ่งรหัสสินค้าข้างต้น “7210.61” และ “7225.99” ที่มีความกว้างอย่างน้อย 600 มม.หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับการตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 – 31 มี.ค. 2563 ขณะที่  ระยะเวลาในการสอบสวนตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2016 จนถึงปัจจุบัน พบว่าเวียดนาม ไต้หวันและเกาหลีได้ถูกดำเนินการสอบสวนเรื่องการทุ่มตลาด โดยเฉพาะเวียดนามและจีนที่ถูกดำเนินเรื่องการตอบโต้การอุดหนุนและการทุ่มตลาดในหมวดหมู่นี้ ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแลด้านมาตรการค้าของเวียดนาม แนะนำให้ทางสมาคมหัตถกรรมและธุรกิจเพื่อส่งออกร่วมมือกับคณะกรรมการ ADC อย่างใกล้ชิด รวมถึงเร่งการตรวจสอบเนื้อหาจากมาตรการดังกล่าว

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/australia-initiates-dumping-probe-into-vietnamese-steel-416169.vov

เวียดนามหันมานำเข้าถ่านหินจากสหรัฐฯ

บริษัท Vinacomin ผู้ผลิตถ่านหินหลักของเวียดนาม แถลงการณ์เมื่อวันพุธถึงปริมาณการนำเข้าถ่านหินจากแคลิฟอร์เนียไปยังจังหวัดกว่างนิญ ในเดือนนี้กว่า 21,700 ตัน ซึ่งจากข้อมูลของกรมศุลกากร ระบุว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ การนำเข้าถ่านหินของเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แตะระดับสูงสุด 31.57 ล้านตัน ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากออสเตรเลีย อินโดนีเซียและรัสเซีย เป็นต้น ถึงแม้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะลดการพึ่งพาถ่านหิน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้งนี้ สมาคมพลังงานเวียดนาม ระบุว่าในปีที่แล้ว เวียดนามผลิตกระแสไฟฟ้าร้อยละ 36.1 จากโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน เวียดนามหันจากผู้ส่งออกถ่านหินเป็นผู้นำเข้าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นและอีกเหตุผลหนึ่ง คือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เวียดนามมีความต้องการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น เนื่องมาจากจำเป็นที่จะต้องรักษาเสถียรภาพทางการค้าระหว่างสองประเทศ

ที่มา : https://e.vnexpress.net/news/business/economy/vietnam-begins-coal-import-from-us-4131170.html

การเติบโตที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าของเมียนมา

เมียนมามีศักยภาพในการเติบโตสูงในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องนุ่งห่ม บริษัทวิจัยจากลอนดอน Fitch Solutions เผยความเสี่ยงและอุตสาหกรรมของประเทศในเอเชียอย่างเวียดนาม, บังคลาเทศ, กัมพูชาและเมียนมาจะยังคงเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในการผลิตสิ่งทอของภูมิภาค โดยมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากประชากรขนาดใหญ่และแรงงานหนุ่มสาวส่วนใหญ่ ต้นทุนแรงงานต่ำในประเทศเหล่านี้พร้อมกับได้รับจากโซ่อุปทานทั่วโลกที่กำลังจะมาจีน เมียนมามีค่าแรงต่ำที่สุดในภาคการผลิตเครื่องนุ่งห่มแม้ว่าจะเปรียบเทียบกับผู้เล่นระดับภูมิภาคอย่างกัมพูชา เวียดนาม และลาว ในปี 2561 ค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนของเมียนมาก็อยู่ในระดับเดียวกัน หรือต่ำกว่าบังคลาเทศซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าแรงต่ำที่สุดในโลก แต่ความเสี่ยงของการถอน GSP ของสหภาพยุโรปต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐยะไข่ เนื่องจากว่า 60% ของการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปในปัจจุบันจะส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมในระยะเวลาอันใกล้นี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเวียดนามและบังคลาเทศได้ครองส่วนแบ่งการตลาดส่งออกเสื้อผ้าโลกและกลายเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปรายใหญ่อันดับสองและสามรองจากจีน เมื่อจีนเพิ่มวัตถุดิบในห่วงโซ่คุณค่าและผลักดันการผลิตในระดับต่ำถึงระดับกลางทำให้เวียดนามและบังคลาเทศได้กลายเป็นผู้รับผลประโยชน์ที่สำคัญ อย่างไรก็ตามสัดส่วนการส่งออกสิ่งทอระดับโลกของเมียนมายังคงต่ำมากเพียง 1% ในปี 2562 แม้จะเพิ่มขึ้นจาก 0.1%  ในปี 2553 ซึ่งยังเป็นรองกัมพูชาเพียงเล็กน้อยที่ 1.4% และบังคลาเทศที่ 6.1% Fitch Solutions มองว่าเมียนมาจะเป็นแบบเดียวกับ บังคลาเทศ เวียดนาม และกัมพูชามีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงของการผลิตในอุตสาหกรรม จากการใกล้ชิดกับแหล่งวัตถุดิบในประเทศจีนและอินเดีย แหล่งแรงงานที่มีต้นทุนต่ำขนาดใหญ่เชื่อมโยงการค้ากับจีนและส่วนอื่น ๆ ของโลกและที่สำคัญที่สุดคือการสนับสนุนทางเศรษฐกิจของจีน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/strong-growth-continue-myanmars-garment-industry.htm

มะม่วงไทยดาวเด่น ส่งออกอาเซียนโต 143% หนุนใช้ FTA สร้างแต้มต่อ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า มะม่วงสดของไทยเป็นหนึ่งในสินค้าดาวเด่นมาแรง ทำยอดส่งออกขยายตัวได้ดี แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 โดยในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค. – พ.ค. 2563) กว่า 5.7 ตัน มูลค่าถึง 41 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4%โดยส่งออกไปตลาดอาเซียนขยายตัวโดดเด่นสุด มีสัดส่วนอยู่ที่ 37.5% ของการส่งออกทั้งหมด มูลค่า 15.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 143% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ตลาดส่งออกหลัก เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และ สปป.ลาว เป็นต้น และยังมีจีนที่นิยมมะม่วงสดจากไทยเพิ่มขึ้น มีมูลค่าส่งออกถึง 5.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 71% และฮ่องกง ขยายตัวถึง 196% นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรมกล่าวเพิ่มเติมถึงจุดเด่นของมะม่วงไทย “ไทยเป็นแหล่งปลูกมะม่วงพันธุ์ดี มีคุณภาพ และรสชาติดี จึงเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ ประกอบกับแนวโน้มความต้องการมะม่วงสดมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยจะขยายตลาดการส่งออกได้เพิ่มขึ้น” นอกจากนี้ส่วนสำคัญอีกประการหนึ่งคือข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ช่วยส่งเสริมการค้าให้ขยายตัวโดยปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทย 15 ประเทศได้แก่ สมาชิกอาเซียน 7 ประเทศ (อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม เมียนมา และมาเลเซีย) จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี และเปรู เหลือเพียง 3 ประเทศ ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าจากไทย ได้แก่ สปป.ลาว และกัมพูชา เก็บภาษีนำเข้า 5% และเกาหลีใต้ เก็บภาษีนำเข้า 24%  

ที่มา : http://www.aseanthai.net/ewt_news.php?nid=10473&index

ญี่ปุ่นสนับสนุนเงิน 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสปป.ลาว

รัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินช่วยเหลือ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (317 ล้านเยน) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสปป.ลาวอย่างยั่งยืนโดยเงินจะถูกนำไปใช้ภายใต้ “The Project for Human Resource Development Scholarship” ได้มีพิธีลงนามในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ณ กระทรวงการต่างประเทศในเวียงจันทน์ ภายในงาน Mr. Takewaka เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำสปป.ลาวกล่าวว่า “รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตัดสินใจให้ความช่วยเหลือในการดำเนินโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และจะมอบทุนการศึกษา 22 ทุนแก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสปป.ลาวเพื่อศึกษาที่มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นโดยจะมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 370 คนที่จะทุนการศึกษาในระดับปริญญาโทรวมถึงปริญญาเอกเมื่อโครงการเริ่มต้นขึ้น” ภาคการศึกษาเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของสปป.ลาวและญี่ปุ่น เป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคมซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan_137.php

ภาคการเกษตรกัมพูชาได้รับแรงกระตุ้นจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนได้กล่าวถึงภาคเกษตรกรรมภายในประเทศที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้น ในช่วงของการประสบปัญหาแรงกดดันทางเศรษฐกิจในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ทั่วโลก แม้ว่าภาคการเกษตรจะไม่สามารถชดเชยความสูญเสียในภาคการตัดเย็บเสื้อผ้าของกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 และการสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้าจากทางสหภาพยุโรปก็ตาม โดยในคำปราศรัยที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดในเขต Peam Ro ในจังหวัดไพรแวง ซึ่งนายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวว่ารัฐบาลกำลังเตรียมที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศต่อไป โดย Covid-19 ไม่เพียง แต่ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังส่งผลช่วยให้ภาคเกษตรกรรมมีการพัฒนาร่วมด้วย และนั่นคือเหตุผลที่รัฐบาลเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วเพื่อผลักดันให้เกิดการสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคเกษตรกรรมโดยรวมภายในประเทศ

ที่มา : https://english.cambodiadaily.com/business/covid-19-to-help-boost-cambodias-agricultural-sector-hun-sen-says-166794/

นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังกัมพูชาลดลงร้อยละ 59 ในช่วง 5 เดือนแรกของปี

กัมพูชาได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวน 1.17 ล้านคน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ลดลงร้อยละ 59 จาก 2.88 ล้านคนในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากทางประเทศจีน เวียดนาม ไทย สหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ในช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคมปีนี้ ซึ่งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมากัมพูชามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 10,475 คนลดลงกว่าร้อยละ 97.8 จาก 472,952 คน ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ที่มา : https://english.cambodiadaily.com/health/intl-tourist-arrivals-to-cambodia-down-59-pct-in-first-5-months-due-to-covid-19-166764/