นายสมคิดมอบนโยบายจัดทำงบฯ แบบบูรณาการ ชี้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือ

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุม มอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบบูรณาการประจำปี 2564 ว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ทุกภาคส่วนจะต้องทำงานกันแบบบูรณาการ โดยรัฐบาลจะมุ่งเน้นงบประมาณในการจัดทำระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุน โดยมอบหมายให้ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ติดตามงบประมาณเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ให้ผันงบประมาณมาลงทุนใน 3 แห่ง

ที่มา : https://mgronline.com/uptodate/detail/9630000004979

กสิกรไทยเข้าถือหุ้น 35% ใน A Bank ของเมียนมา

ธนาคารกสิกรไทย (กสิกรไทย) กำลังเตรียมลงทุนในธนาคารเพื่อการพัฒนาเกษตรกรอิรวดี โดยซื้อหุ้น 35% ในธนาคาร A และได้ขออนุมัติจากธนาคารกลางของเมียนมา (CBM) ซึ่งจะช่วยให้ KBank สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของธนาคาร A เพื่อเข้าถึงทั่วกลุ่มประเทศ CLMVI (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย) และขยายการเข้าถึงธุรกิจในท้องถิ่นและธุรกิจไทย AEC + 3 (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน + จีนญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) โดยการบริการหลักของธนาคาร คือ สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางธุรกิจค้าปลีก และธนาคารดิจิทัล หลังจาก CBM อนุญาตให้ธนาคารต่างประเทศเข้าถือหุ้นในธนาคารในประเทศตั้งแต่มกราคม 62 ธนาคารกสิกรไทยเริ่มมองหาธนาคารที่มีศักยภาพและมีแนวคิดทางธุรกิจที่คล้ายคลึงกันซึ่งก็คือธนาคาร A โดยกสิกรจะได้รับประโยชน์จากทรัพยากรบุคคลและความสามารถของธนาคารซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/thailands-kbank-acquire-35-stake-myanmars-bank.html

กรมการค้าภายในออก 9 มาตรการดูแลปีทองผลไม้ไทย

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) เปิดเผยว่า กรมได้ออก 9 มาตรการในการบริหารจัดการผลไม้ในปี 63 ที่คาดว่าผลไม้หลายประเภทจะมีผลผลิตมากกว่าปีก่อน โดยจะเน้นการระบายผลไม้ทั้งในและต่างประเทศ การแก้ปัญหาราคาตกต่ำ การจัดระเบียบล้งรับซื้อผลไม้เพื่อป้องกันการกดราคาหรือมีพฤติกรรมเอาเปรียบเกษตรกร เป็นต้น โดยจะใช้งบประมาณในการบริหารจัดการ 396 ล้านบาท ซึ่งมีทั้ง งบประมาณปกติและงบประมาณจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) มั่นใจว่าปี 63 จะเป็นปีทองของผลไม้ไทยหลายชนิดที่จะทำให้ชาวสวนขายผลไม้ได้ในราคาสูง ไม่ว่าจะเป็นทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีมาตรการผลักดันการส่งออก ด้วยการเชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้ซื้อ ตลาดปลายทาง พร้อมทั้งเพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการ โดยชดเชยดอกเบี้ย 3% เป็นเวลา 6 เดือน วงเงิน 1,500 ล้านบาท, มาตรการส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพ ทั้งการตรวจรับรองมาตรฐานการผลิต การปรับปรุงสถานประกอบการสู่มาตรฐานสากลด้วยการชดเชยดอกเบี้ย 3% เป็นเวลา 1 ปี วงเงินไม่เกินรายละ 10 ล้านบาท, การตรวจรับรองสินค้าอินทรีย์ ขณะเดียวกัน ยังมีมาตรการกำกับดูแลล้ง ที่มาตั้งโรงคัดและบรรจุผลไม้ที่ไทยเพื่อส่งออก โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำฐานข้อมูลของล้งทุกราย และจะประสานกับประเทศต้นทางของล้ง เช่น จีน เพื่อตรวจสอบว่า แต่ละรายมีประวัติและพฤติกรรมทางธุรกิจอย่างไร หากมีประวัติไม่ดีจะตักเตือนชาวสวนและผู้ประกอบการไทยอย่าร่วมทำธุรกิจด้วย และสุดท้ายการร่วมมือกับกระทรวงแรงงานในการพัฒนาอบรมให้ความรู้แก่แรงงานที่เก็บเกี่ยวผลไม้ รวมถึงออกมาตรการให้แรงงานเก็บผลไม้ที่เป็นต่างด้าว และมีความเชี่ยวชาญในการเก็บผลไม้ สามารถเคลื่อนย้ายไปเก็บผลไม้ได้ทั่วประเทศ.

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1746071

คาด อีคอมเมิร์ซ ไทยปี 63 โต 7.48 แสนล้านบาท

เปิดแนวโน้มอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยปี 63 ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งอาเซียน เติบโตกว่า 7.48 แสนล้านบาท ผลพวงห้างร้านใช้ชื้อขายรับส่งสินค้าผ่านบริการออนไลน์  รายงานข่าวจากสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย เปิดเผยภาพรวมและแนวโน้มอุตสาหกรรมดิจิทัลที่สำคัญในปี 63 ของไทย ว่า ในปีนี้ธุรกิจการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ (อี-คอมเมิร์ซ) จะเป็นกลุ่มธุรกิจดิจิทัลที่มาแรงและมีการเติบโตสูง คิดเป็นมูลค่า 748,000 ล้านบาท เป็นอันดับ 1 ของมูลค่าธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ในภูมิภาคอาเซียน โดยใน 60-62 ที่ผ่านมา มีการประมาณอัตราการเติบโตเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 20-30% กลุ่มธุรกิจที่เติบโต คือ ธุรกิจห้างสรรพสินค้า ธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์อาหาร และธุรกิจด้านเครื่องสำอางและอาหารเสริม เป็นผลมาจากการก้าวเข้ามาของเทคโนโลยีด้านการซื้อขายและรับส่งสินค้าผ่านบริการออนไลน์ เช่น ไลน์แมน และแกร็ป โดยเฉพาะไลน์แมน พบว่า มียอดการใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 300% และมีผู้ใช้บริการ 1.5 ล้านคนต่อเดือนภายในระยะเวลา 2 ปี ส่วนอุตสาหกรรมดิจิทัลที่ถูกผลกระทบจากเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก คือ อุตสาหกรรมโทรทัศน์ ที่มูลค่าลดลงจาก 115,000 ล้านบาท ในปี 57 เหลือเพียง 57,000 ล้านบาทในปี 61 ที่ผ่านมา และยังสูญเสียผู้รับชมจนกระทั่งมีการคืนใบอนุญาตดิจิทัลทีวี ซึ่งเป็นผลมาจากการทดแทนของเน็ตฟลิกซ์ และยูทูป ที่เริ่มลงทุนให้บริการและผลิตเนื้อหาสำหรับประเทศไทย ชณะที่อุตสาหกรรมการเงิน ก็ได้รับผลกระทบ ด้วยระบบการชำระเงินดิจิทัล จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยปี 62 ระบุว่า จำนวนสาขาของธนาคารพาณิชย์ลดลงจาก 7,016 สาขาในปี 59 เหลืออยู่ที่ 6,534 สาขาในปัจจุบัน

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/751386

เมียนมา-ไทยเซ็น MOU โอนเงินข้ามแดน

ธนาคารพาณิชย์จาก 2 ประเทศ คือธนาคาร Ayeyarwady (AYA Bank) ของเมียนมาและธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ของไทยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อร่วมมือกันในการพัฒนาการชำระเงินและบริการโอนเงินระหว่างสองประเทศ เมื่อเดือนตุลาคม 62 ที่ผ่านมาคาดเริ่มใช้งานได้เร็วๆ นี้ ที่ผ่านมาการชำระเงินผ่านธนาคารจะใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งส่งผลเสียจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ MOU นี้สามารถทำให้การชำระเงินเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น แม้ว่าจะมีแรงงานอพยพชาวเมียนมาจำนวนมากในไทยการโอนเงินจะเกิดขึ้นผ่านระบบ Hundi ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินนอกระบบ  ใน 4 ประเทศที่มีพรมแดนติดกับเมียนมา ไทยเป็นคู่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ปริมาณการค้าที่ชายแดนไทย – เมียนมาประกอบด้วย ท่าขี้เหล็ก เมียวดี เกาะสอง มะริด ทิกิ และเมาะตุง ในปีงบประมาณ 61-62 มีมูลค่า 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-thailand-agree-cross-border-transfers.html

พาณิชย์เปิดเจรจาการค้าไทย-บังกลาเทศ

ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า ไทย – บังกลาเทศ ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 7 – 8 ม.ค. 63 ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ซึ่งจะมีการหารือในประเด็นสำคัญ เช่น การขยายการค้าและการลงทุน การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรม เกษตร ประมงและปศุสัตว์ บริการสุขภาพและสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐาน และความเป็นไปได้ในการจัดทำ เอฟทีเอ ไทย – บังกลาเทศ เป็นต้น เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนสองฝ่ายให้ขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพในอนาคต ซึ่งบังกลาเทศเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงในภูมิภาคเอเชียใต้ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดที่ 6-8% ต่อปี มีประชากรกว่า 160 ล้านคน มีทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นจำนวนมาก เช่น ก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้ และถ่านหิน มีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน โดยบังกลาเทศได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีฝ่ายเดียว หรือ จีเอสพี จาก 47 ประเทศทั่วโลก รวมถึงมีศักยภาพในการเป็นประตูการค้าสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้ และประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือโอไอซี กว่า 57 ประเทศ ดังนั้น การประชุมครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศจะกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น…

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/750275

ปีหน้าจีดีพียังมีความเสี่ยงด้านต่ำ ผู้ว่าธปท. ส่งซิกต้องช่วยกันมากขึ้น

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวในเวทีสัมมนา Thailand Economic Outlook : เศรษฐกิจไทย 2020 โดยระบุว่า  เศรษฐกิจไทย ปีหน้าประมาณการเติบโตไว้ที่ 2.8% เป็นการขยายตัวที่ภาครัฐจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอานิสงส์ทั้งงบประมาณประจำปี 2563 นโยบายการคลังและนโยบายการเงินและแนวโน้มการส่งออกที่มีโอกาสขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้ที่คาดว่าส่งออกจะติดลบ 3-4% อย่างไรก็ตาม การเติบโตนั้นยังเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะขยายตัว 3.5-4% จึงมีความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รอบปีที่ผ่านมา ธปท. ได้ดำเนินนโยบายการเงินทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและออกมาตรการกำกับแต่ต้องใช้เวลา และอาจจะส่งผลข้างเคียงในระยะยาว ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำหลายด้านที่ทำให้เศรษฐกิจไม่เติบโตทั้งสงครามทางการค้าและการเมืองในประเทศและปัจจัยเชิงโครงสร้าง. เช่น แรงกดดันค่าเงินบาท แต่หากปรับตัวได้ก็จะทำให้เข้าสู่ความเสี่ยงด้านสูงได้

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/money_market/417358?utm_source=homepage&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=money_market

จับสัญญาณเศรษฐกิจไทยปี’63 ระวังปัจจัยเสี่ยงการเมืองภายใน

สัญญาณสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐมีทิศทางดีขึ้น ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ การค้าโลก และตลาดการเงินโดยรวม คาดทำให้จีดีพีโลก ค้าโลกขยายตัวเพิ่มในปีหน้า การลงทุนในตลาดการเงินโลกคึกคักมาก ส่งผลดีต่อเนื่องกับเศรษฐกิจไทย ภาคส่งออก และภาคการท่องเที่ยวทั้งระบบ ขณะที่การเจรจาเรื่อง Brexit มีความชัดเจนขึ้นเช่นเดียวกัน หลังทราบผลการเลือกตั้งในประเทศอังกฤษ ลดความไม่แน่นอนจากผลกระทบเรื่อง Brexit ได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่การลดภาษีนำเข้าจากจีนของสหรัฐจะทำให้ไทยได้ประโยชน์ลดลงจากการเบี่ยงเบนทางการค้า (trade diversion) เนื่องจากสินค้าจีนจะกลับเข้าไปในตลาดสหรัฐมากขึ้น ส่วนกลุ่มสินค้าส่งออกไทยที่ทดแทนสินค้าจีนได้ดีในช่วงที่ผ่านมาจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ได้แก่ สินค้าเกษตรกรรม อาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก เหล็กและอะลูมิเนียม และของใช้ในบ้านและสำนักงาน คงได้รับผลกระทบบ้าง แต่การขยายตัวของส่งออกไปทั่วโลกจะดีขึ้น และภาพรวมของการส่งออกไปสหรัฐ และจีนจะเพิ่มขึ้นจากการเติบโตที่สูงขึ้นในปีหน้า ส่วนการเจรจาเรื่อง Brexit ที่มีความชัดเจนขึ้นหลังทราบผลการเลือกตั้ง ช่วยลดความไม่แน่นอนจากผลกระทบ ซึ่งไทยควรเตรียมการในการเจรจาเชิงรุกเพื่อจัดทำเอฟทีเอกับสหราชอาณาจักร พร้อมกับการเจรจาทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป แนวโน้มปีหน้า ปัจจัยภายนอกจะเป็นบวกมากขึ้น แต่ปัจจัยภายในโดยเฉพาะความเสี่ยงทางการเมือง ผลกระทบเชิงลบเหล่านี้จะหักล้างปัจจัยบวกจากสัญญาณการฟื้นตัวของการค้าโลก และทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสจากการกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจโลกได้ นอกจากนี้ การย้ายฐานการลงทุนบางส่วนมายังอาเซียนจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอาจมีการทบทวนใหม่ ซึ่งจะสัมพันธ์กับ สงครามทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาจะยืดเยื้อหรือไม่และออกมาในรูปแบบใด หลังการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา จะมีส่วนสำคัญความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ภูมิภาคอาเซียนโดยรวมนั้นยังคงเป็นภูมิภาคที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจอยู่ เนื่องจากมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยสูงกว่าภูมิภาคอื่น อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ โดยเฉพาะมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย แม้ไทยนั้นจะมีปัญหาเรื่อง rule of law และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม เพราะประเด็นนี้จะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติมากที่สุด

ที่มา: https://www.prachachat.net/columns/news-403998

ได้ฤกษ์ปัดฝุ่นเจรจา เอฟตา ไทยส่งออกผลไม้กระหึ่มโลก

อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ผู้แทนของสมาคมการค้าเสรียุโรป (เอฟตา) 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ลิกเตนสไตน์ และไอซ์แลนด์ มาเข้าพบ และยื่นหนังสือเพื่อขอเริ่มต้นการเจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทย ที่กรมต้องเดินหน้าเจรจาเอฟทีเอเดิม และเริ่มต้นเจรจาเอฟทีเอกับประเทศใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเจรจากับเอฟตาที่ขณะนี้ อยู่ระหว่างนำผลการศึกษาที่เคยทำมาตั้งแต่ปี 2549 มาปัดฝุ่นใหม่ เพื่อดูว่ามีประเด็นใด ที่จะนำเข้าสู่การเจรจาเพิ่มเติมอีก รวมถึงจะหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องถึงผลดี ผลเสีย มาตรการเยียวยา โดยจะรวบรวมทำเป็นข้อสรุป เสนอนโยบายเพื่อตัดสินใจต่อไป โดยล่าสุด เอฟทีเอ ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ ทำให้ประเทศคู่ค้าเอฟทีเอได้ลด/เลิกเก็บภาษีนำเข้าผลไม้จากไทย ทำให้การส่งออก 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีมูลค่าการส่งออก 3,213 ล้านเหรียญสหรัฐ มากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก รองจากสเปน เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก สหรัฐฯ ชิลี ขยับขึ้นจากอันดับ 10 เมื่อปี 2561 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ อาเซียน และจีน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/1729453

ไทยผลักดันสินค้าจังหวัดนครพนมสู่ CLMV

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรี และนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เดินทางพบปะหารือด้านการค้ากับกลุ่มหอการค้าจังหวัดนครพนม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจการค้าชายแดน ซึ่งทราบว่าจังหวัดนครพนมมีศักยภาพมากอีกจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบน เช่น การค้าชายแดน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ทั้งนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน ได้รับทราบปัญหา  โดยเฉพาะการส่งออกชายแดน ซึ่งจังหวัดนครพนมถือว่าเป็นประตูไปสู่เวียดนาม และต่อไปจีน บริเวณมณฑลตอนใต้ ไทยได้ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแดนที่นี่ รวมทั้งผัก ผลไม้ และอื่น ๆ ซึ่งสิ่งที่หอการค้าฯ อยากให้ช่วยคลี่คลายในเรื่องปัญหาการส่งออกผัก ผลไม้ไปที่ชายแดนแล้วข้ามไปจีนบริเวณด่านผิงเสีย ให้ช่วยเจรจาอำนวยความสะดวก นอกจากนี้ ทาง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ระบุว่าจังหวัดนครพนมได้เสนอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยนำสินค้าไทย และสินค้าท้องถิ่นภาคอีสานไปทำโรดโชว์ (Road Show) ที่ตลาด CLMV และทางหอการค้าจังหวัดนครพนมเสนอไปที่โฮจิมินห์ ฮานอย และดานัง เนื่องมาจากเป็นเมืองใหญ่ของเวียดนาม ถ้าได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ หอการค้าฯ รวมทั้งองค์กรอื่น ๆ โอกาสที่จะได้ตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูง

ที่มา : นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 19 ธ.ค. 2562