องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) สนับสนุนเงิน 1.7 ล้านยูโร ช่วยเหลือแรงงานในอุตสาหกรรรมตัดเย็บสปป.ลาว

ปัจจุบันคนงานกว่า 26,000 คนในโรงงานสิ่งทอในสปป.ลาวได้รับผลกระทบจากปัญหาสุขภาพและวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของสปป.ลาว ณ ขณะนี้การส่งออกเครื่องนุ่งห่มลดลงร้อยละ 40-50 ในปีนี้ การลดลงอย่างรวดเร็วทำให้โรงงานหลายแห่งต้องลดหรือระงับการดำเนินงานชั่วคราว ส่งผลให้คนงานตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวนมากถูกปลดออกจากงาน ปัญหาดังกล่าวทำให้เยอรมนีเข้ามาสนับสนุนเงินกว่า 14.5 ล้านยูโรเพื่อช่วยเหลือคนงานในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า 2 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 การช่วยเหลือดังกล่าวจะดำเนินการผ่านโครงการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) องค์กรดังกล่าวมีหน้าที่ในการช่วยเหลือแรงงานและส่งเสริมแรงงานในการได้รับสวัสดิภาพที่ควรจะเป็น ในประเทศบังกลาเทศ เอธิโอเปีย กัมพูชา มาดากัสการ์ อินโดนีเซีย เวียดนามและหนึ่งในประเทศที่รับการช่วยเหลือด้านแรงงานคือสปป.ลาว จากเงินสนับสนุนทั้งหมด 14.5 ล้านยูโร สปป.ลาวจะได้งบประมาณในการช่วยเหลือ1.7 ล้านยูโร ในการนำไปใช้ในโครงการที่จะช่วยแรงงานในอุตสาหกรรมตัดเย็บที่กว่าร้อยละ 90 ของแรงเป็นผู้หญิง โครงการดังกล่าวยังเป็นการสนับสนุนด้านมนุษยธรรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวของสปป.ลาว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Germent_180.php

สปป.ลาว เหยื่อกับดักหนี้จีนรายล่าสุด

รถไฟความเร็วสูงจีน – สปป.ลาวมูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังดำเนินการแล้วเสร็จในปลายปี 64 โครงการรถไฟความเร็วสูงถือเป็นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประสบความสำเร็จภายใต้พรรคปฏิวัติของประชาชนลาว แต่ความก้าวหน้าดังกล่าวอาจมาพร้อมกับการสูญเสียอธิปไตยบางอย่างให้กับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ทางเหนืออย่างจีนที่  เป็นนายทุนใหญ่ของโครงการดังกล่าว รายงานล่าสุดชี้ให้เห็นว่าสปป.ลาวจะเป็นประเทศล่าสุดที่ตกเป็นเหยื่อของกับดักหนี้ Belt and Road Initiative (BRI) โดยประเทศต่างๆ หากผิดนัดชำระหนี้ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงการ จะถูกกดดันในการยกสัมปทานบางอย่างให้แก่จีนแทนการชำระหนี้ ปัจจุบันทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของสปป.ลาวลดลงต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้งวดประจำปีของโครงการ ซึ่งจะนำไปสู่การทำให้สปป.ลาวต้องสูญเสียอธิปไตยของประเทศไปบางส่วน รายงานข่าวยังชี้ให้เห็นอีกว่ากระทรวงการคลังสปป.ลาว ได้ขอให้จีนซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดปรับโครงสร้างหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ข้อมูลจากรายงานชี้ให้เห็นว่าการเติบโตสปป.ลาวอาจมีการขยายตัวได้ดีจากการเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของนักลงทุนจีน แต่สิ่งที่สปป.ลาวยังเป็นกังวลและให้ความสนใจคือความสามารถในการชำระหนี้ ที่อาจหากไม่มีประสิทธิภาพอาจนำซึ่งการสูญเสียอธิปไตยของชาติก็เป็นได้

ที่มา : https://asiatimes.com/2020/09/laos-the-latest-china-debt-trap-victim/

นายกรัฐมนตรี แนะบริษัท เวียงจันทน์สตีลอินดัสตรี จำกัด (VSI) พัฒนาการผลิตเพื่อรองรับความต้องการประเทศ

นายกรัฐมนตรีทองลุน สีสุลิดได้แนะนำให้ บริษัท เวียงจันทน์สตีลอินดัสตรี จำกัด (VSI) บริษัทผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็กที่ปัจจุบันบริษัท เวียงจันทน์สตีลอินดัสตรี จำกัด (VSI) สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายโดยมีกำลังการผลิต 350,000 ตันต่อปี สิ่งสำคัญที่จะทำให้บริษัทก้าวต่อไปได้จะต้องมีการดำเนินการพัฒนาด้านการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพสูงขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประเทศ จากการที่มีการลงทุนก่อสร้างถนน ทางรถไฟและอาคารเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า “โรงงานเหล็กแห่งนี้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ การจัดหาผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตในท้องถิ่นจะช่วยลดความต้องการสินค้านำเข้าเพื่อลดการขาดดุลการค้าของประเทศ”

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_PM_179.php

‘Vinamilk’ ขยายฟาร์มโคนม

ผู้ผลิตนมรายใหญ่ในเวียดนาม “Vietnamilk” (วินนามิลค์) มีแผนที่จะขยายฟาร์มโคนมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ แผนที่วางไว้ข้างต้นนั้น ทางบริษัทจะดำเนินการตามขั้นตอนแรก ฟาร์มเลี้ยงโคนมออร์แกนิคในจังหวัดเชียงขวาง สปป.ลาว ด้วยจำนวนโค 24,000 ตัว และในขั้นตอนที่สองจะเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ตัว โดยเฉพาะการเปิดตัวของศูนย์ถ่ายทอดผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์จากเทคโนโลยีของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ในการคัดสรรยีนที่ดีที่สุดและนำไปพัฒนาฝูงวัวในประเทศต่อไป

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vinamilk-to-expand-milch-cow-farms/182927.vnp

อุโมงค์ข้ามพรมแดนรถไฟจีน-สปป.ลาว แล้วเสร็จเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

“อุโมงค์มิตรภาพข้ามพรมแดนจีน-สปป.ลาว” ความยาวรวม 9.59 กม. จากจีนมายังสปป.ลาวซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน – สปป.ลาวที่จะเป็นเส้นทางจากคุนหมิไปยังเวียงจันทน์เมืองหลวงของสปป.ลาว แล้วเสร็จเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โครงการดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือระหว่าง Liu Juncheng จาก China Railway Kunming Group Co. Ltd.ของประเทศจีนและรัฐบาลสปป.ลาว ทางรถไฟถูกมองว่าเป็นโครงการเชื่อมต่อเชิงกลยุทธ์ตามแผนโครงการ one belt one road  สอดคล้องไปกับยุทธศาสตร์ของสปป.ลาวในการเปลี่ยนจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลไปเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทางบก  ที่จะมีส่วนสำคัญการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสปป.ลาว ผ่านด้านการค้าและการท่องเที่ยวที่โครงการดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยส่งเสริมให้มีการเติบโต

ที่มา : http://www.china.org.cn/business/2020-09/14/content_76699866.htm

ญี่ปุ่นให้ทุนเพื่อเสริมสร้างการฝึกอบรมครูในสปป.ลาว

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ตกลงที่จะให้เงินสนับสนุนจำนวน 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.91 พันล้านเยน) เพื่อปรับปรุงคุณภาพของสภาพแวดล้อมการฝึกอบรมของครูในระดับก่อนประถมศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในสปป.ลาว ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการวางแผนและการลงทุนสปป.ลาวและหัวหน้าผู้แทนของสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ประจำสปป.ลาวผ่านโครงการ “การปรับปรุงวิทยาลัยการฝึกหัดครูในสปป.ลาว” ได้ลงนามในเวียงจันทน์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โครงการนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 สำหรับปี 2564-2568 และจะช่วยเติมเต็มเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 สำหรับปี 2559-2563 นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาการศึกษาด้วย ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นเป็นรูปแบบความช่วยเหลือหลักในการสนับสนุนความร่วมมือทวิภาคีอื่น ๆ จากพันธมิตรการพัฒนาที่ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของสปป.ลาว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Japan177.php

สปป.ลาวมุ่งมั่นที่จะรับสิทธิประโยชน์ด้านการค้าของประเทศด้อยพัฒนาน้อยที่สุด (LDC)

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมีการจัดประชุมทางวิดีโอระหว่างสำนักงานผู้แทนระดับสูงของสหประชาชาติ (UN) และกลุ่มประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDC) การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทบทวนการสำเร็จการศึกษาของสปป.ลาวจากสถานะการได้รับสิทธิประโยชน์ LDC ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพด้านการค้าของสปป.ลาวเพราะสิทธิดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการค้าของสปป.ลาวกับคู่ค้าที่สำคัญอย่างยุโรป แต่การสิทธิดังกล่าวจะหมดลงในปี 2567 และจะมีการพิจารณากันในปีนี้ซึ่งจะมีเกณฑ์ 3 ประการ ได้แก่ ดัชนีสินทรัพย์มนุษย์ (HAI) ซึ่งประเมินเป้าหมายด้านสุขภาพและการศึกษาความเปราะบางทางเศรษฐกิจ (EVI) และรายได้ประชาชาติมวลรวม (GNI) ต่อหัว สปป.ลาวผ่านเกณฑ์ประการ 1 และ 2 แต่ในประเด้นด้านเศรษฐกิจสปป.ลาว การเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงร้อยละ 6-7 ต่อปี นอกจากนี้อัตราความยากจนลดลงจากร้อยละ 46 ในปี 2535 เหลือเพียงร้อยละ 18 ในปี 2563 เกณฑ์ดังกล่าวจึงเป็นอุปสรรคของสปป.ลาวในการจะได้รับสิทธิ LDC อย่างไรก็ตามสปป.ลาวยังมีเวลาที่ยื่นขอสิทธิดังกล่าวถึงแม้จะไม่เข้าเกณฑ์ด้านเศรษฐกิจ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos176.php

รัฐบาลสปป.ลาววางแผนกองทุนภัยพิบัติเพื่อช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่น

รัฐบาลกำลังจัดตั้งกองทุนภัยพิบัติเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย การประชุมประจำเดือนของคณะรัฐมนตรีได้มีการอภิปรายเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้องกับกองทุนซึ่งร่างโดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้กำหนดหลักการและมาตรการสำหรับการจัดการและการใช้เงินกองทุนตลอดจนกลไกในการระดมความช่วยเหลือทางการเงินและติดตามสถานการณ์ฉุกเฉินและการบรรเทาทุกข์อย่างรวดเร็วสำหรับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ อธิบดีกรมสวัสดิการสังคมกล่าวว่ากองทุนนี้จะบริหารจัดการในระดับเมือง แขวงและส่วนกลาง คณะกรรมการจัดการภัยพิบัติ สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการใช้กองทุนเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีที่สภาพอากาศเลวร้ายได้ในทันที สปป.ลาวมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ ปัญหาหลักประการหนึ่งคือเมื่อเกิดอุทกภัยเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตความเสียหายก่อนที่จะขอให้รัฐบาลสนับสนุนเงินทุนสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ กองทุนภัยพิบัติได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้และเร่งการให้การสนับสนุน หน่วยงานท้องถิ่นจะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยตรงตามความต้องการที่แท้จริง  ซึ่งช่วยให้ทางการระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆได้ดีขึ้น รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณบางส่วนให้กับกองทุนในแต่ละปีและจะระดมทุนจากสังคมมากขึ้น เพื่อให้มีทรัพยากรทางการเงินเพียงพอที่จะช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติอย่างรวดเร็ว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt176.php

อัตราการเติบโตทางการเกษตรสปป.ลาว ต่ำกว่าเป้าหมาย

ตามรายงานของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ ในปีนี้ภาคการเกษตรสปป.ลาว คาดว่าจะเติบโตในอัตราเพียง 0.9-1.7 % ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2.8-3 % การขาดแคลนเกิดจากปัจจัยต่างๆรวมทั้งการระบาดของโรคโควิด -19 การระบาดของโรคและภัยธรรมชาติซึ่งส่งผลให้ผลผลิตลดลง ตามรายงานของธนาคารโลก ภาคการเกษตรฟื้นตัวขึ้น แต่ในระดับปานกลางทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการหยุดชะงักของตลาดส่งออกและความเสี่ยงของสภาพอากาศ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามเพิ่มการผลิตอาหารเพื่อการบริโภคในประเทศและการส่งออกมากขึ้น แต่ปริมาณผลผลิตก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ สินค้าเกษตรบางส่วนยังคงถูกนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ มีความท้าทายหลายประการที่ขัดขวางการพัฒนาการเกษตร ที่ทำให้ไม่สามารถขยายพื้นที่การผลิตทางการเกษตรได้ สิ่งที่ทำได้คือใช้เทคนิคที่เหมาะสมและปรับปรุงการผลิตให้ทันสมัยเพื่อปรับปรุงปริมาณและคุณภาพของพืชที่ผลิตเพื่อการส่งออก แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามช่วยเหลือผู้ผลิตในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่ผู้ปลูกยังคงต้องเจอกับต้นทุนที่สูงเนื่องจากต้องซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์และปุ๋ยจากประเทศอื่น ๆ ซึ่ง 64% ของประชากรสปป.ลาวทำงานในภาคเกษตร แต่ภาคนี้เติบโตขึ้นเพียง 3%  แม้ว่าการเข้าถึงแหล่งเงินจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ผู้ผลิตก็ต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงมาก การเกษตรเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงเนื่องจากผู้ผลิตไม่เพียง แต่ต้องต่อสู้กับศัตรูพืชและโรคภัย รวมถึงน้ำท่วมและภัยแล้ง การชลประทานที่มีต้นทุนสูง อีกทั้งยังคงพึ่งพาการเกษตรแบบยังชีพตามวิธีการดั้งเดิม แต่ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดและมีคุณภาพต่ำ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Agriculture_175.php

การส่งเสริมการผลิตทางการเกษตรในแขวงจำปาสัก

รองเจ้าแขวงจำปาศักดิ์กล่าวกับสื่อท้องถิ่นว่าโควิด -19 ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ อย่างไรก็ตามมาตรการ cross-border travels  ได้ช่วยเพิ่มความต้องการสินค้าเกษตรในจำปาสักทางอ้อม ซึ่งแขวงจำปาสักมีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรจำนวนมากและเกษตรกรมีประเพณีการผลิตข้าว กาแฟ ชา ผลไม้ผักและพืชอื่น ๆ มายาวนาน ความท้าทายด้านการตลาดทำให้ผู้ผลิตในพื้นที่บางครั้งต้องขายพืชผลในราคาที่ต่ำกว่าและขาดทุนซึ่งทำให้ไม่สามารถขยายผลผลิตทางการค้าต่อไปได้  ในขณะนี้ชาวไร่กาแฟ บางรายกำลังตัดโค่นสวนกาแฟและหาทางทำมันสำปะหลังเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มากขึ้น ทั้งนี้ทางการจำปาสักจะส่งเสริมการผลิตทางการเกษตรควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร ขยายตลาดการเกษตรและเพิ่มรายได้ของเกษตรกร การผลิตทางการเกษตรยังคงเผชิญกับความท้าทาย เช่น ขนาดของตลาดที่เล็ก การผลิตขนาดเล็กปริมาณและคุณภาพที่จำกัด การแข่งขันจากสินค้านำเข้า เพื่อเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ จะเพิ่มความพยายามในการปรับปรุงการผลิตทางการเกษตรให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิผลและประสิทธิภาพของผลผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ มุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เกษตรกรในพื้นที่ปลูกเพื่อช่วยสร้างรายได้ การบริโภคภายในประเทศและการส่งออก อีกทั้งจะส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อขยายขนาดของตลาดในท้องถิ่น สร้างตลาดการเกษตรเพื่อส่งเสริมการค้าทางการเกษตร

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Champassak_174.php