AmCham กัมพูชาจ่อจัดฟอรั่มในหัวข้อ “Tax Updates and Audits”

หอการค้าอเมริกัน (AmCham) และกรมสรรพากรกัมพูชา วางแผนจัดการประชุมร่วมกัน ในวันพุธที่ 28 กันยายน ในหัวข้อ “Tax Updates and Audits” เพื่อเป็นการอัพเดทสถานการณ์ทางด้านภาษีในกัมพูชา โดยจะเน้นไปที่ภาษีอีคอมเมิร์ซ การยื่นบัญชีรายได้ประจำปี การตรวจสอบ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นสำคัญ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับภาคธุรกิจที่ดำเนินกิจการภายในกัมพูชา โดยในปัจจุบัน GDT ได้กำหนดและวางแผนในการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นการเสริมประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บภาษีให้เกิดความครอบคลุม รวมถึงการดำเนินการจัดสรรงบประมาณที่ได้จากภาษีในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ ให้เอื้อต่อการดำเนินชีวิตและการดำเนินธุรกิจในกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501157747/amcham-to-hold-joint-forum-on-tax-updates-and-audits/

คาดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ “จีน-อาเซียน” ดันการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมถึงกัมพูชา

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและประเทศกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนเสริมสำคัญต่อการพัฒนาในภูมิภาค โดยปัจจุบันจีนและอาเซียนมีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 544.9 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การลงทุนระหว่างประเทศในกลุ่มมีมูลค่ารวมสะสมอยู่ที่ 340,000 ล้านดอลลาร์ ด้านปลัดกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาและโฆษก Penn Sovicheat กล่าวว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจจีน-อาเซียนนั้นใกล้ชิดกันมาก ด้วยการมีข้อตกลงการค้าเสรีจีน-อาเซียน (CAFTA) ที่เป็นส่วนเสริมสำคัญในการผลักดันการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบัน CAFTA ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันกว่า 2 พันล้านคน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501157600/china-asean-economic-cooperation-contributes-to-development-prosperity-in-region-cambodian-official-experts/

ราคาข้าวหักเมียนมา พุ่งขึ้น 45,000 จัตต่อกระสอบ

รายงานของศูนย์ค้าส่งข้าว (วดาน) เผย ราคาข้าวหักเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565  อยู่ที่ 32,000 จัตต่อกระสอบ (108 ปอนด์) แต่ราคา ณ วันที่ 26 กันยายน 2565 พุ่งขึ้นเป็น 45,000 จัตต่อกระสอบ เป็นผลมาจากความต้องการจากต่างประเทศเริ่มมีมากขึ้น เมื่อไม่นานมานี้พบว่ามีข้าวหักประมาณ 20,000 กระสอบถูกส่งไปยังจีนผ่านชายแดนมูเซ ซึ่งราคาในปัจจุบันอยู่ที่ 128 หยวนต่อกระสอบ (50 กิโลกรัม) ซึ่งการส่งออกข้าวสร้างกำไรได้เป็นอย่างดีเพราะค่าเงินจัตที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินหยวน ดังนั้น ราคาข้าวหักจึงสูงกว่าราคาข้าวเกรดต่ำอื่นๆ ตามความต้องการจากต่างประเทศที่มีอย่างต่อเนื่อง

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/broken-rice-price-soars-to-k45000-per-bag/#article-title

“เวียดนาม” ชี้ ก.ย. นักท่องเที่ยวลดลง 14%

สำนักงานการบินพลเรือนประเทศเวียดนาม (CAAV) เปิดเผยว่าเดือน ก.ย.65 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศเวียดนามรวมทั้งสิ้น 4.2 ล้านคน ลดลง 14% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เนื่องจากสายการบินเข้าสู่โลว์ซีซั่น นอกฤดูกาลท่องเที่ยว มักจะอยู่จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 สายการบินเวียดนามต้อนรับผู้โดยสารจำนวนทั้งสิ้น 37 ล้านคน โดยมาจากสายการบินต่างชาติ 2.9 ล้านคน และสายการบินในประเทศ 19.5 ล้านคน

นอกจากนี้ สำนักงานการบินพลเรือนประเทศเวียดนาม คาดการณ์ว่าสนามบินทั่วประเทศจะให้บริการผู้โดยสารได้ประมาณ 87.8 ล้านคนในปีนี้ ขยายตัว 190% เมื่อเทียบกับปี 2564 รวมถึงจำนวนผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศ จะอยู่ที่ 5 ล้านคน และ 82.8 ล้านคน ขยายตัว 844% และ 178.4% ตามลำดับ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/number-of-air-passengers-down-14-in-september/238960.vnp

“นายกรัฐมนตรีเวียดนาม” ร้องขอให้มีการรักษาเสถียรภาพราคาข้าว

นาย ฝ่าม มิงห์ จิ๋ง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ขอความร่วมมือกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันและศึกษาแนวทางในการหาทางออก เพื่อรักษาความมีเสถียรภาพของตลาดและราคาข้าว รวมถึงปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกร หลังจากอินเดียประกาศว่าจะจำกัดการส่งออกข้าว ทั้งนี้ สำนักงานรัฐบาลเวียดนาม เพิ่งออกเอกสารปฏิบัติตามคําสั่งเลขที่ 6263/VPCP-KTTH เกี่ยวกับข้อจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียและผลกระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกข้าวของเวียดนาม ด้วยเหตุนี้ อินเดียจึงออกคำสั่งห้ามส่งออกข้าวหัก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. ด้วยอัตราภาษีส่งออก 20% สำหรับข้าวขาวและข้าวกล้อง คิดเป็น 60% ของการส่งออกข้าวทั้งหมดของอินเดีย เนื่องจากรัฐบาลอินเดียมีความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่ลดลงและภาวะราคาอาหารเฟ้อ

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1338276/prime-minister-asked-to-stabilise-rice-price.html

“เวียดนาม” เปลี่ยนจากขาดดุลการค้า กลับมาเกินดุลการค้ากับกัมพูชา

การส่งออกเวียดนามไปยังตลาดกัมพูชาในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัว 32.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว มีมูลค่า 1,029 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการขยายตัวสูงที่สุดจากปีก่อน โดยกัมพูชาเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่อันดับที่ 11 ของเวียดนาม และคิดเป็น 1.7% ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดของเวียดนาม ทั้งนี้ สินค้าส่งออกหลักไปยังตลาดกัมพูชาที่มีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวน 10 รายการ อาทิเช่น เหล็กและเหล็กกล้า มีมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาสิ่งทอ น้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆ เป็นต้น โดยเฉพาะสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง สิ่งทอ ปุ๋ยและเหล็กที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ตัวเลขการนำเข้าของเวียดนาม ขยายตัวค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตัวเลขการส่งออก ดังนั้น เวียดนามจึงเปลี่ยนจากเดิมที่ขาดดุลการค้ากับกัมพูชาในปีที่แล้ว กลับกลายมาเป็นเกินดุลการค้าในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501157292/vietnam-changes-from-trade-deficit-to-trade-surplus-with-cambodia/

“เวียดนาม” ยกระดับเพาะปลูกข้าวคุณภาพสูง

เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ได้มีการประชุมเพื่อหารือทบทวนเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรในฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว ปี 2665 และแผนการดำเนินงานของพืชผลฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิในปี 2565-2566 ทางตอนใต้ของประเทศ โดยประธานสมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) กล่าวว่าการส่งออกข้าวของเวียดนามในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีปริมาณ 4.38 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20.7% และ 9.89% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามลำดับ และคาดว่าจะส่งออกได้ราว 6.3-6.5 ล้านตันในปีนี้ ทั้งนี้ การส่งออกข้าวของเวียดนามมุ่งไปที่ข้าวที่มีคุณภาพสูงและมีกลิ่นห่อม โดยเฉพาะข้าวพันธุ์ Dai thom 8, OM 5451 และ OM 18 นอกจากนี้ ข้าวหอมมะลิ มีสัดส่วนราว 41.2% ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ปริมาณ 6.2 ล้านตันในปีที่แล้ว ขณะที่ข้าวขาวและข้าวเหนียวคุณภาพสูง คิดเป็น 37.63% และ 16.37% ตามลำดับ

ที่มา : https://english.thesaigontimes.vn/vietnam-steps-up-high-quality-rice-cultivation-in-winter-spring-crop/

สปป.ลาว ทุ่มเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ พัฒนาโครงการพลังงานลม

นาย. สถาบัณฑิต อินสีเซียงเม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนแห่งสปป.ลาว,  บริษัท สะหวัน วายุ รีนิวเอเบิ้ล คัมปะนี และบริษัท LTM (สปป.ลาว) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการพลังงานลมในประเทศ ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะมีกำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์ มูลค่าก่อสร้างโดยประมาณ 2,159 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดแล้วเสร็จปลายปี 2568 โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้นั้นนอกจากใช้ในประเทศแล้วยังส่งออกไปยังเวียดนามอีกด้วย ทั้งนี้ตั้งแต่กลางปี 2564 บริษัทผู้พัฒนาโครงการพลังงานลม เริ่มตระหนักว่าการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพราะมีศักยภาพในการเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา: https://laotiantimes.com/2022/09/16/laos-to-invest-over-usd-2000-million-in-wind-power-project/

“เวียดนาม” เผยรายได้อีคอมเมิร์ซแบบ B2C พุ่งแตะ 16 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้

เวียดนาม อยู่ที่ราว 16.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นปีแรกที่มีมูลค่าอยู่ในระดับสูงสุด และจากตัวแทนของสำนักงานอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัลของเวียดนาม กล่าวว่าตามรายงานข้างต้น แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ของตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรค โดยเฉพาะที่สร้างความรุนแรงต่อภาคการค้าและบริการของเวียดนามและทั่วโลก ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนรายได้ยอดค้าปลีกอีคอมเมิร์ซและบริการ เพิ่มจากเดิม 7% มาอยู่ที่ 27% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อีกทั้ง มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามจะก้าวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่มา : https://vietnamnet.vn/en/vietnam-b2c-retail-e-commerce-revenue-to-exceed-16-billion-this-year-2060814.html

รัฐบาลเผยเงินสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ในระดับสูง มากเป็นอันดับ 12 ของโลก

18 กันยายน 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศของประเทศปรับลดลง เป็นผลมาจากการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ พร้อมเน้นย้ำไม่พบสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผิดปกติ และระดับเงินสำรองฯ เมื่อเทียบต่อ GDP ยังสูงกว่าหลายประเทศ จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศที่ปรับลดลงจาก 2.78 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี มาอยู่ที่ระดับ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ เป็นผลมาจากการตีมูลค่าเงินสำรองฯ ที่อยู่ในสินทรัพย์หลายสกุลเงินให้เป็นสกุลดอลลาร์ โดยเงินสกุลดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ทำให้สินทรัพย์สกุลอื่น ๆ เมื่อตีมูลค่าเป็นรูปดอลลาร์มีมูลค่าลดลง นอกจากนี้ยังยืนยันว่า ไม่พบสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผิดปกติ และประเทศไทยยังมีฐานะทางการเงินที่ดี ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเงินสำรองฯ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก และเมื่อเทียบเงินสำรองฯ ต่อ GDP จะคิดเป็น 48% ของ GDP ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก รวมถึงยังสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของไทยถึงเกือบ 3 เท่า

ที่มา: https://www.naewna.com/business/680815