‘IMF’ คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนามปี 65 โต 6%

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2565 ขยายตัว 6% และจะพุ่งขึ้น 7.2% ในปี 2566 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คาดการณ์ในครั้งนี้เป็นผลมาจากการใช้นโยบายให้ปรับตัวร่วมกับการระบาดของโควิด-19 และการประสบความสำเร็จจากการฉีดวัคซีน ควบคุมการระบาด ทั้งนี้ นาง Era Dabla-Norris หัวหน้าคณะทำงานกองทุนการเงินระหว่างประเทศฝ่ายภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ได้เข้าร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาวุโสของธนาคารกลางเวียดนาม (SBV), กระทรวงการคลัง (MOF), สำนักงานวางแผนและการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะปรึกษาหารือเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการให้คำแนะนำด้านนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ IMF เปิดเผยว่าความขัดแย้งในยูเครน คาดว่าจะส่งผลกระทบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ ถึงแม้ว่าราคาสินค้าสูงขึ้น แต่ภาวะเงินเฟ้อยังสามารถควบคุมได้และอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายที่ 4%

ที่มา : https://hanoitimes.vn/vietnam-forcast-to-achieve-gdp-growth-of-6-this-year-imf-320607.html

 

‘เวียดนาม’ เผยไตรมาสแรก ปี 65 อุตสาหกรรมเหล็ก ขาดดุลการค้า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ

สมาคมเหล็กเวียดนาม (VSA) เปิดเผยไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 อุตสาหกรรมเหล็กได้นำเข้า 3 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้าราว 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่ประมาณ 5% แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว เป็นผลมาจากพัฒนาเรื่องระบบการเมืองการปกครองที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต นอกจากนี้ ยอดขายเหล็กสำเร็จรูป 8,137 ตัน เพิ่มขึ้น 11.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยปริมาณการใช้เหล็กเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐในโครงการใหม่ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและวิศวกรรมก่อสร้าง ทำให้ต้องนำเข้าเหล็กมากขึ้น

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/steel-industry-posts-trade-deficit-of-us-800-million-in-first-quarter-post939405.vov

ไฟเขียวต่างชาติลงทุน53ราย สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่าหมื่นล้าน

นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือนมีนาคม 2565 คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย 53 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ 17 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ 36 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 10,838 ล้านบาท ประกอบธุรกิจในไทย ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากฮ่องกง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ นำเงินเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจกว่า 962 ล้านบาท ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนไทย 447 คน และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีฉพาะด้าน เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมหลุมเจาะปิโตรเลียม การใช้โปรแกรมในการออกแบบระบบโซลาร์ขั้นสูง และการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า เป็นต้น

ที่มา: https://www.naewna.com/business/649594

สปป.ลาวเรียกร้องให้มีการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนในการประชุมสุดยอดน้ำเอเชียแปซิฟิก

นายกรัฐมนตรีสปป.ลาวพันธุ์คำ วิภาวัณ เรียกร้องให้มีความพยายามร่วมกันเพื่อให้มั่นใจว่าการจัดการทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยหัวข้อนี้จะเป็นศูนย์กลางในการประชุมสุดยอดน้ำเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 4 ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีสปป.ลาวกล่าว “มีความจำเป็นเร่งด่วนที่เราต้องดำเนินการจัดการน้ำและทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” สปป. ลาวให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับทรัพยากรน้ำและน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้น้ำและทรัพยากรน้ำที่อุดมสมบูรณ์และการจัดการที่ยั่งยืนอย่างมีประสิทธิผลสูงสุดจะมีประสิทธิผลสูงสุดและมีศักยภาพในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ลาวให้ความสำคัญกับการทูตน้ำโดยส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติในด้านการจัดการน้ำและทรัพยากรน้ำมาตรการระหว่างประเทศเกี่ยวกับการจัดการน้ำได้รวมอยู่ในมาตรการระดับชาติเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดการที่เหมาะสมในประเทศลาว ซึ่งรวมถึงการรวม SDG6 เข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อีกทั้งในที่ประชุมผู้นำยังเห็นพ้องที่จะสนับสนุนสถาบันที่เกี่ยวข้องในการทำงานร่วมกันและเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิภาพในภาคส่วนน้ำต่อไปเพื่อบรรลุเป้าหมาย SDG6 ในเรื่องเกี่ยวกับน้ำ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten77_Laos_calls.php

แนวโน้มราคาเกลือเมียนมา พุ่งขึ้น ! ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เกษตรกรนาเกลือ คาดว่า ราคาเกลือจะยังคงอยู่ในระดับสูงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เป็นผลมาจากฝนตกหนักในเดือนที่ผ่านมา สร้างความเสียหายให้กับนาเกลือ ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้น 320 จัตต่อ viss (viss เท่ากับ 1.6 กิโลกรัม) ซึ่งสภาพอากาศที่แปรปรวนในเดือนมีนาคมมีผลต่อการผลิตเกลือในเดือนเมษยานและพฤษภาคม ทำให้การผลิตมีการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาพุ่งสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ ราคาปัจจุบันยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 4 เท่า ซึ่งเกษตรกรนาเกลือกล่าวว่าการขาดแคลนวัตถุดิบทำให้ราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพฤษภาคม จึงคาดการณ์ว่าในอนาคตจะขาดแคลนเกลืออย่างแน่นอน

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/salt-prices-likely-to-extend-rise-in-coming-months/#article-title

ตลาดถั่วมัณฑะเลย์ เริ่มกลับมาคึกคัก หลัง เทศกาล “ตินจาน”

ตลาดค้าถั่วมัณฑะเลย์เริ่มกลับมาซื้อ-ขายกันคึกคักอีกครั้งหลัง เทศกาลตินจาน (สงกรานต์เมียนมา) พบว่าส่วนใหญ่มีการส่งออกไปยังต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งนาย U Soe Win Myint เจ้าของคลังสินค้าในเมืองมัณฑะเลย์ เผยว่า ถั่วดำ ถั่วแระ ข้าวโพด งา ถั่วลิสง ถั่วแดง เนยถั่ว และถั่วลันเตานั้นเริ่มกลับมาขายดีกันมากขึ้น โดยปัจจุบันมีการส่งออกถั่วดำและถั่วแระไปยังอินเดีย ส่วนถั่วเขียว งา ถั่วลิสง ถั่ว heirloom ถั่วแป๋ และเนยถั่ว ถูกส่งไปยังจีน ส่วนข้าวโพดส่วนใหญ่ส่งไปยังไทย ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันพืชสําหรับบริโภค ยังคงทรงตัวเช่น น้ำมันถั่วลิสงและน้ำมันงา 8,000 จัตต่อ viss (1 viss เท่ากับ 1.6 กิโลกรัม) น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันจะอยู่ระหว่าง 5,500-6,000 จัตต่อ viss  และราคาน้ำมันถั่วเหลืองจะอยู่ระหว่าง 6,500-7,000 จัตต่อ viss

ทีมา: https://www.gnlm.com.mm/mandalay-bean-market-bustling-in-post-thingyan-period/#article-title

‘เวียดนาม’ มีโอกาสส่งออกสินค้าเกษตรพุ่ง แม้เผชิญกับภาวะที่ไม่แน่นอน

ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่าเวียดนามยังมีโอกาสอีกมากจากการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังต่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครน ก่อให้เกิดกิจกรรมการค้าทั่วโลกซบเซาลง โดยเฉพาะความตกลงการค้าเสรีที่เวียดนามร่วมลงนามไว้ โดยรองเลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ (HAWA) คุณ Bui Huu Them มองว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้ของเวียดนามไปยังตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังคงเติบโตได้แข็งแกร่ง ปัจจุบันมีสัดส่วน 80% ของมูลค่าการค้าผลิตภัณฑ์ไม้ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน คุณ โด ห่า นาม (Do Ha Nam) รองประธานสมาคมอาหารเวียดนาม กล่าวว่าการที่กลุ่มประเทศตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้เวียดนามสามารถนำเข้าปุ๋ย ข้าวสาลี ฯลฯ ด้วยราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น และนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เวียดนามจะส่งเสริมการส่งออกข้าวและผลผลิตเกษตรไปยังตลาดสหภาพยุโรป ภายใต้ข้อตกลง EVFTA

ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-has-great-opportunities-in-agricultural-exports-despite-global-turbulence-320599.html

 

คาด RCEP FTA กระตุ้นเศรษฐกิจกัมพูชาหลังโควิด-19 คลี่คลาย

ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) รวมถึงข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ (FTA) จะเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจสำคัญในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย RCEP และ CCFTA ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2022 ด้าน Sim Sokheng รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา กล่าวว่า ข้อตกลงข้างต้นจะทำให้กัมพูชาเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น และจะมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีน ให้เข้ามาลงทุนในประเทศกัมพูชามากขึ้น ซึ่งทางรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กัมพูชากล่าวเสริมว่า RCEP จะส่งเสริมภาคการส่งออกให้เติบโตที่ร้อยละ 9.4 โดยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตจากร้อยละ 2 สู่ร้อยละ 3.8 ในปีนี้ สำหรับ CCFTA คาดว่าจะส่งเสริมให้การส่งออกของกัมพูชาไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้นน้อยละ 25 ในอนาคต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501062382/rcep-cambodia-china-fta-catalysts-for-economic-growth-in-post-pandemic/

โครงการลงทุนนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มขึ้นกว่า 236% ภายใน 2 เดือน

โครงการลงทุนใหม่กว่า 35 โครงการ ได้รับการอนุมัติจากสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 14 โครงการจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเงินทุนทั้งหมดเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 236 สู่มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ ตามรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจและสังคมของกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังกัมพูชา ซึ่งโครงการลงทุนที่ได้รับใบอนุญาตคาดว่าจะสร้างงานใหม่ให้กับคนในท้องถิ่นได้ประมาณ 31,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2021 ด้าน Lim Heng รองประธานหอการค้ากัมพูชากล่าวว่ากฎหมายการลงทุนฉบับใหม่และอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่สูง เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนใหม่มายังกัมพูชา โดยกระทรวงสาธารณสุขกัมพูชากล่าวว่าจนถึงขณะนี้ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นโดสแรกให้กับประชาชนแล้วกว่า 14.87 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 92.97 ของประชากรทั้งหมด 16 ล้านคน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501062415/non-sez-investment-projects-up-236-percent-in-value-within-two-months/

ผู้ประกอบการหนุนรัฐ ปรับขึ้น‘ดีเซล’แบบขั้นบันได

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย แสดงความเห็นต่อทิศทางราคาน้ำมันว่า การใช้เงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลยังเป็นแนวทางที่รัฐต้องพิจารณา แม้ว่าจะมีแผนค่อยๆ ทยอยลดภาระด้วยการปรับขึ้นแบบขั้นบันไดก็ตามเพราะหากปรับขึ้นทันทีจะกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนทันที ดังนั้นประเด็นสำคัญอยู่ที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่เป็นแพ็กเกจไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบ “คิดไปทำไป” ควรทำให้ครอบคลุมทั้งปี ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า แนวทางอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงจะลดการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 50% จากราคาอุดหนุนปัจจุบันเฉลี่ย 11 บาทต่อลิตร วันที่ 1 พ.ค.2565 นี้ แต่กระทรวงพลังงานจะปรับขึ้นแบบขั้นบันได 1-3 บาทต่อลิตร เพื่อลดผลกระทบเช่นเดียวกับ LPG ที่จะขึ้นอีกพ.ค.กิโลกรัมละ 1 บาท (15 บาทต่อถัง 15 กก.) เหล่านี้ล้วนกดดันต่อระดับราคาสินค้าและแรงซื้อของประชาชน

ที่มา: https://www.naewna.com/business/649398