โครงการปรับโครงสร้างของรัฐบาลเพื่อลดต้นทุนการบริหาร ในสปป.ลาว

ความตึงเครียดด้านงบประมาณทำให้รัฐบาลต้องปรับปรุงโครงสร้างให้ดีขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าการบริหารงานที่คุ้มทุนและมีประสิทธิภาพในการรับใช้ชาติ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในการช่วยรัฐบาลลดต้นทุนการบริหารท่ามกลางรายได้ที่ขาดแคลนและปัญหาทางเศรษฐกิจอันเป็นผลมาจาก Covid-19 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงภายใน (Minister of Home Affairs) กล่าวว่าค่าใช้จ่ายด้านการบริหารในลาวยังคงอยู่ในระดับสูงเนื่องจากโครงสร้างขนาดใหญ่ของหน่วยงานของรัฐและการจ้างงานข้าราชการมากเกินไป ภาคส่วนที่มีการทำงานคล้ายกันหรือสัมพันธ์กันจะถูกรวมเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ภาครัฐรวมทั้งกระทรวงกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยวและองค์กรที่เทียบเท่ากระทรวงกำลังวางแผนที่จะรวมหน่วยงานและหน่วยงานต่างๆให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล การควบรวมกิจการจะส่งผลให้เจ้าหน้าที่บริหารลดลงช่วยประหยัดเงินของรัฐในการจ่ายค่ารถยนต์ เงินเดือนและค่าใช้จ่ายในการบริหารอื่น ๆ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลประสบปัญหาทางการเงินเนื่องจากการขาดแคลนรายได้และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาวะถดถอยทั่วโลก ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องการปรับปรุงโครงสร้างและลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มากเกินไปเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt152.php

การลงนาม ASSET เพื่อระบบอาหารและการเกษตรที่ยั่งยืนของสปป.ลาว

การลงนามข้อตกลงในการจัดหาเงินทุนของโครงการ Agroecology and Safe Food System Transitions (ASSET) เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ในเวียงจันทน์ จากความร่วมมือหลากหลายองค์กรระดับโลกและภูมิภาคไม่ว่าจะเป็น Group For Research and Technology Exchanges (GRET) และ French Agricultural Research and International Cooperation Organization (CIRAD) พันธมิตรระดับชาติยุโรปและนานาชาติ 27 ประเทศรวมถึงกระทรวงเกษตรของสปป.ลาว  โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ” agroecology” เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของระบบอาหารและการเกษตรไปสู่ระบบที่ยั่งยืนมากขึ้น ความโดดเด่นของโครงการ ASSET คือได้รับการออกแบบโดยใช้วิธีการแบบบูรณาการเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรและระบบอาหารที่หลากหลายผ่าน 3 ด้าน ได้แก่ ประการแรก เทคโนโลยี – เศรษฐกิจ,การเมือง,สังคม การบูรณาการทั้ง 3 ด้านจะทำให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่ระบบเกษตรกรรมยั่งยืนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินการของ AFD ปัจจุบันในบริบทที่เกิดวิกฤตการณ์ COVID-19  การพัฒนาแนวทางแก้ไขเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคจึงมีความสำคัญมากขึ้นแต่สิ่งสำคัญที่ต้องควบคู่ไปด้วยกันคือการรักษาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่หลากหลายอย่างยั่งยืน

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Regional152.php

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและอินเดียเพิ่มขึ้น

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังเดินหน้าไปสู่การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างสองประเทศต่อไป โดยสถิติจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าปริมาณการค้าระหว่างทั้งสองประเทศอยู่ที่ 271 ล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบเป็นรายปี จากจำนวนดังกล่าวกัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังอินเดียมูลค่า 65 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 และนำเข้าสินค้ามูลค่าราว 207 ล้านดอลลาร์ จากอินเดียเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 โดยกัมพูชาและอินเดียกำลังทำการศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเจรจา FTA และข้อตกลงดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมการค้าทวิภาคีของทั้งสองประเทศ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50752363/cambodia-india-trade-on-the-rise/

กัมพูชาคาดภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศอาจจะใช้เวลาฟื้นตัวถึง 7 ปี

กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาคาดการณ์ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดต่อภาคการท่องเที่ยว อาจใช้เวลาถึง 7 ปี ในการกลับสู่สภาวะปกติเนื่องจากผลกระทบของไวรัส COVID-19 โดยกระทรวงกล่าวว่าวิกฤตในครั้งนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาของโลกในทุกด้านโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในบริบทของการระบาดของโรคภาคการท่องเที่ยวของกัมพูชาในปี 2020 โดยคาดการณ์ไว้สามสถานการณ์ คือสถานการณ์แรกจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากร้อยละ 50 ถึง 60 ซึ่งคาดว่าจะให้การต้อนรับรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศประมาณ 2.5 ล้านคน ในสถานการณ์ที่สองลดลงร้อยละ 60 ถึง 70 หรือประมาณ 2 ล้านคน ในสถานการณ์ที่สามคาดว่าจะลดลงร้อยละ 70 ถึง 90 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.5 ล้านคน ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนของ COVID-19 กัมพูชามีแนวโน้มที่จะประสบกับสถานการณ์ที่สาม ซึ่งจะใช้เวลาถึง 7 ปีในการกลับสู่สภาวะปกติตามที่กระทรวงระบุ โดยสถานการณ์ที่ดีที่สุดจะใช้เวลาประมาณ 3-5 ปี

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50752225/tourism-may-take-7-years-to-recover/

IFC สนับสนุนธนาคารเวียดนามท่ามกลางวิกฤต COVID-19

บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (The International Finance Corporation: IFC) ซึ่งเป็นสมาชิกของธนาคารโลก (World Bank) ให้เงินสนับสนุน 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ธนาคารพาณิชย์ (OCB) เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยระยะเวลาการจ่ายเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 1 ปี เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ธนาคาร OCB ไปถึงภาคธุรกิจ ทั้งนี้ ทางธนาคารฯ ได้จัดความสำคัญของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโดยตรง ได้แก่ การท่องเที่ยวและการผลิต รวมถึงการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัส ในขณะเดียวกันนั้น ผู้จัดการของ IFC ในเวียดนาม กัมพูชาและสปป.ลาว กล่าวว่าการสนับสนุนของ IFC ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธนาคารขยายเวลาการชำระคืนของลูกค้า แต่ยังช่วยให้ธนาคารสนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้แก่ธุรกิจ SMEs นอกจากนี้ CEO ของ OCB กล่าวว่าธนาคารกำลังปรับปรุงแพคเกจสินเชื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/ifc-helps-vietnamese-bank-aid-smes-amid-covid19-416940.vov

เวียดนามส่งออกมันสำปะหลังพุ่ง ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ระบุว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ปริมาณการส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมันสำปะหลังที่ 1.6 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 542 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 ในแง่ปริมาณและร้อยละ 3 ในแง่มูลค่า โดยจีนยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญของเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันสำปะหลังเส้น (Cassava Chips) ที่มียอดส่งออกพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือต้องการสินค้าดังกล่าวอยู่ในระดับสูง ราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 2227.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อย่างไรก็ตาม ราคาส่งออกเฉลี่ยของมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมันสำปะหลัง ปรับตัวลดลงร้อยละ 11 ด้วยราคาประมาณ 345 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทั้งนี้ หน่วยงานแปรรูปการเกษตรและพัฒนาตลาด คาดว่าราคาส่งออกมันสำปะหลังเส้นจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ เป็นผลมาจากการขาดแคลนวัตถุดิบและความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากจีน

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/cassava-exports-increase-over-sevenmonth-period-416944.vov

ฟิลิปปินส์ยกเลิกการนำเข้าข้าวเมียนมาท่ามกลางการประท้วงของเกษตรกร

สมาคมผู้ค้าข้าวแห่งเมียนมา(MRTA) เผยข้อตกลงการส่งออกข้าวระหว่างเมียนมาและฟิลิปปินส์ได้ลดลงหลังจากที่ได้รับแรงกดดันจากเกษตรกรในท้องถิ่นในท้องถิ่น เมื่อปีที่แล้วเมียนมาส่งออกข้าว 150,000 ตันไปยังฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เมียนมาร่วมประมูลเพื่อส่งออกข้าว 50,000 ตันไปยังฟิลิปปินส์ในปี 2560 แต่ในปีนั้นเวียดนามชนะการประมูลไป เมียนมาไม่สามารถส่งออกข้าวตามเป้าหมายที่คาดไว้คือ 2.4 ล้านตันในปีงบประมาณ 2562-2563 เนื่องจากความต้องการที่ลดลง ขณะนี้มีการส่งออกข้าวเพียง 2 ล้านตันและคาดว่าข้าวที่เหลืออีก 400,000 ตันจะถูกส่งออกในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2563 ณ วันที่ 17 กรกฎาคมการขาดดุลการค้าของเมียนมาในปี 2562-2563 เพิ่มขึ้นเป็น 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจาก 718 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2561-2562

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/philippines-cancels-myanmar-rice-consignment-amid-local-protests.html

รัฐบาลสปป.ลาวผลักดันการจัดเก็บภาษีอากรที่มากขึ้น

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับปรุงระบบการชำระภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้ทันสมัยและเพิ่มความโปร่งใสในภาคการเงิน และหน่วยธุรกิจอื่น ๆ จะได้รับคำสั่งให้เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากพบว่าบริษัทหลายแห่งที่มีรายได้มากกว่า 400 ล้านกีบยังไม่ดำเนินการตามกระบวนการภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของรายได้ประชาชาติอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดแคลนรายได้ การระบาดของโรคโควิด -19 และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ในเดือนมิ.ย.สมัชชาแห่งชาติได้อนุมัติการปรับงบประมาณโดยการลดเป้าหมายรายได้ประชาชาติจาก 28.99 พันล้านกีบเป็น 22.72 พันล้านกีบ อย่างไรก็ตามการขาดดุลงบประมาณคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.77 เป็นร้อยละ 5.87 ของ GDP รัฐบาลได้เล็งเห็นความจำเป็นในการขยายระบบการชำระภาษีอิเล็กทรอนิกส์ไปยังทุกจังหวัดและทุกภาคส่วนมากขึ้น จะพิจารณาโครงการลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์และเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขช่องโหว่ของบางบริษัทที่นำเข้าวัสดุมากกว่าที่ต้องการแล้วขายในตลาดท้องถิ่น ชาวบ้านและภาคธุรกิจจะได้รับการสนับสนุนให้ชำระภาษีที่ดินและค่าธรรมเนียมผ่านบัญชีธนาคารและระบบอิเล็กทรอนิกส์

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt151.php

AFD สหภาพยุโรปพยายามรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของสปป.ลาว

สหภาพยุโรป (EU) ร่วมกับ Agence Française de Développement (AFD) สนับสนุน 6.5 ล้านยูโรแก่สปป.ลาวเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและดำเนินการจัดการแบบบูรณาการของพื้นที่ที่อุดมด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ในสปป.ลาว โครงการจะดำเนินการจัดการแบบบูรณาการพื้นที่ที่อุดมด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสามแห่งซึ่งประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติน้ำแอด-ภูเลย พื้นที่บางส่วนของจังหวัดบอริคำไซและพื้นที่ชุ่มน้ำ “Xe Champhone Ramsar” วัตถุประสงค์ความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปเพื่อสนับสนุนชุมชนและเกษตรกรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและการมีส่วนร่วมกับภาคเอกชนในการบรรเทาผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการลงทุนขนาดใหญ่และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบันสปป.ลาวถือเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์และมีความสำคัญระดับโลกและได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 200 bioregions ที่สำคัญที่สุดของโลกสปป.ลาวเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์และมีความสำคัญระดับโลกและได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 200 bioregions ที่สำคัญที่สุดของโลกบริษัท เอกชนดำเนินธุรกิจสีเขียว

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_AFD151.php

กัมพูชามองหาวิธีการลดต้นทุนอาหารสัตว์ที่ผลิตในท้องถิ่น

รัฐบาลกำลังมองหาข้อมูลจากภาคเอกชนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการผลิตอาหารสัตว์ในท้องถิ่นมากขึ้นเพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อจะช่วยให้อุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ค่าไฟยังคงสูงสำหรับภูมิภาคตามที่กระทรวงเกษตรป่าไม้และการประมง (MAFF) รายงาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง MAFF และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมจัดประชุมโต๊ะกลมเรื่องการผลิตอาหารสัตว์สำหรับอุตสาหกรรมในท้องถิ่น โดยมีส่วนร่วมจากสถาบันที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมทั้งภาคเอกชน ซึ่งกระทรวงหารือถึงความท้าทายที่เกษตรกรเผชิญในห่วงโซ่ปศุสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อให้การผลิตมีความสามารถในการแข่งขันต่อประเทศเพื่อนบ้านสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่น โดยในปัจจุบันกัมพูชานำเข้าอาหารสัตว์เกือบร้อยละ 50 เนื่องจากราคาวัตถุดิบในท้องถิ่นเพิ่มสูงขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50751913/methods-to-cut-costs-of-locally-produced-animal-feed-discussed/