“BCG” แพลนซื้อกิจการโซลาร์ฟาร์มในเวียดนาม

บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้ประกาศว่ากำลังอยู่ในช่วงเจรจากับนักลงทุนชาวเวียดนาม เพื่อซื้อโซลาร์ฟาร์มที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านบาท (32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) บริษัทฯ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ด้วยจำนวนอย่างน้อย 2 โซลาร์ฟาร์ม โดยมีกำลังผลิตรวมระหว่าง 50-100 เมกะวัตต์ และงบประมาณรวมอยู่ที่ประมาณ 1-2 พันล้านบาทสำหรับการซื้อเท่านั้น ทั้งนี้ คุณศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่าบริษัทมีแผนที่จะกระจายธุรกิจให้กว้างขวางมากขึ้นและยังคงลงทุนในด้านพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ลมและทรัพยากรน้ำ อีกทั้ง ทางบริษัทฯ มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจพลังงานทดแทนในเวียดนาม ญี่ปุ่นและไต้หวัน ที่มีศักยภาพสูงทางด้านพลังงานหมุนเวียดนามในแผนระดับชาติของกลุ่มประเทศดังกล่าว ประกอบกับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/bg-container-glass-of-thailand-plans-to-purchase-local-solar-farms-415882.vov

“ปิโตรเวียดฯ” เผยผลผลิตน้ำมันและก๊าซเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้

ปิโตรเวียดนามสำรวจและผลิต (PVEP) รายงานว่าปริมาณการผลิตน้ำมันอยู่ที่ 2.01 ล้านตัน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ซึ่งสูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 4 และบรรลุไปแล้วกว่าร้อยละ 53 ของเป้าหมายตลอดทั้งปี หากจำแนก ชี้ให้เห็นว่าผลผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 1.42 ล้านตัน และ 598 ล้านลูกบาศก์เมตร ขยายตัวสูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 4%, 1% ตามลำดับ ทั้งนี้ คุณ Tran Quoc Viet ประธานและผู้บริหารระดับสูงของปิโตรเวียดนาม กล่าวว่าถึงแม้ผลผลิตจะอยู่ในระดับสูงก็ตาม แต่ราคาน้ำมันโลกอยู่ในช่วงขาลง รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทไม่สามารถบรรลุตามเป้าหมายทางการเงินได้ในช่วงเวลาดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ปิโตรเวียดนามจะปรับตัวในการลดต้นทุน ใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพและนำเทคโนโลยีมาใข้ในกระบวนการผลิต

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/pveps-oil-gas-output-surpasses-sixmonth-target/178275.vnp

โรงแรม ร้านอาหารในเมียนมาประสบปัญหาการระบาดของ COVID-19

โรงแรมในประเทศประมาณ 60% ได้เปิดให้บริการอีกครั้ง แต่ธุรกิจยังคงซบเซาเนื่องจากข้อจำกัดและการระบาดของ COVID-19 เช่นเดียวกับร้านอาหารซึ่งเปิดใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม รายได้ลดลงมากถึง 50% ก่อนเกิดโรคระบาดเนื่องจากผู้คนยังคงระมัดระวังการไปในสถานที่สาธารณะ โรงแรมและโมเต็ลจำนวน 1,200 แห่งในประเทศได้เปิดให้บริการอีกครั้งและอีก 810 แห่งได้ผ่านการตรวจสอบและได้รับอนุญาตให้เปิดใหม่ได้อีก ซึ่งโรงแรมประมาณ 400 แห่งยังคงเปิดให้บริการในช่วงที่มีการจำกัด COVID-19 และทำหน้าที่เป็นสถานกักกันสำหรับชาวเมียนมาที่เดินทางกลับจากต่างประเทศหรือชาวต่างชาติที่มาทำธุรกิจที่นี่ U Nay Lin ประธานของสมาคมกล่าวว่าร้านอาหารดำเนินงานด้วยคนงานเพียง 70 คนเนื่องจากการตกต่ำ ซึ่งยอดขายไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่สร้างรายได้ไม่ถึง 50% เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ขณะที่ร้านอาหารกำลังมีการส่งอาหารแบบออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขาย กระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวได้นำเสนอแผนบรรเทาการท่องเที่ยว COVID-19 ซึ่งจะรวมถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว แผนดังกล่าวรวมถึงคำแนะนำด้านสุขภาพและความปลอดภัยสำหรับผู้เข้าชมในอัตราลดพิเศษสำหรับสถานที่ปลอด COVID-19 และทางเลือกการชำระเงินดิจิทัลสำหรับนักเดินทาง เมียนมาจะส่งเสริมการท่องเที่ยวในตลาดต่างประเทศตั้งแต่เดือนหน้าจนถึงเดือนมกราคม 2564 มีผู้เดินทางมาเยือนเมียนมาลดลง 44% จากเดือนมกราคมถึงเมษายน ในปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 23% เป็น 4.36 ล้านคนเพิ่มขึ้นจาก 3.55 ล้านคนในปีที่ผ่านมา ชาวจีนคิดเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสามของนักท่องเที่ยวในปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 152% จากปีที่แล้ว การท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 6.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศทำรายได้ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 และแรงงาน1.4 ล้านคน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/hotels-restaurants-myanmar-suffer-pandemic-lingers.html

กลยุทธ์ Belt and Road ของจีนและสปป.ลาว

แม้จะมีการระบาดของ Covid-19 เกือบทั่วโลก แต่จีนยังคงผลักดันโครงการ Belt and Road (BRI) อย่างต่อเนื่อง สปป.ลาวถือเป็นประเทศที่จีนให้การช่วยเหลือที่สำคัญของจีนตามกลยุทธ์ BRI เพื่อเป็นการตอบแทนรัฐบาลจีนพวกเขามีความต้องการพื้นฐาน 3 ประการคือการสนับสนุนนโยบายจีนในประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนจีนเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสปป.ลาวมีโครงการขนาดใหญ่ต่างๆที่จีนไม่ว่าจะเป็นพลังงานน้ำการเกษตรการทำเหมืองและการก่อสร้าง การก่อสร้างทางรถไฟที่มีแผนจะเสร็จสิ้นโครงการในเดือนธันวาคม 2564 เส้นทางรถไฟยาว 414 กิโลเมตรทอดตัวจากเขตเหนือสุดของประเทศลาว Boten ติดกับประเทศจีนสู่เมืองหลวงเวียงจันทน์ อีกหนึ่งโครงการสำคัญของ BRI ที่รัฐบาลลาวเข้าร่วมคือการก่อสร้างเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดลำดับที่เจ็ดในแม่น้ำโขง เขื่อนไซยะบุรีและดอนสะโฮงที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันจะถูกรวมเข้ากับเขื่อน Sanakham 684 เมกะวัตต์พร้อมวันที่โครงการจะแล้วเสร็จในปี 2571 กลยุทธ์ BRI จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจของสปป.ลาวให้สามารถเติบโตไปไดในสถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบัน

ที่มา : https://www.thestatesman.com/opinion/chinas-bri-strategy-laos-1502897886.html

สปป.ลาวตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพของหน้ากากอนามัยที่โรงงานในท้องถิ่น

รองนายกรัฐมนตรีดร.สอนไซ สีพันดอน ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนได้ตรวจสอบโรงงานผลิตหน้ากาก 2 แห่งในนครหลวงเวียงจันทน์ โดยขอความร่วมมือในการรักษามาตรฐานการผลิตและปฏิบัติตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้เยี่ยมชมโรงงานผลิตหน้ากากในหมู่บ้านดงนาทอง เมืองศรีโคตรบอง และได้รับบทสรุปในการดำเนินงานของโรงงานและขั้นตอนการผลิต ทั้งนี้ยังสนับสนุนให้ทั้ง 2 โรงงานมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงระบบการผลิตและทำให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนสามารถมีหน้ากากอนามัยในราคาไม่แพงและเชื่อถือได้ โรงงานที่ 1 ถูกสร้างขึ้นเมื่อต้นปีนี้และใช้อุปกรณ์การผลิตล่าสุดจากประเทศจีน ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้อยู่ระหว่างการทดลองผลิต พนักงาน 8 คน สามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้มากถึง 400,000 หน้ากากต่อวัน โรงงานแห่งนี้มุ่งเน้นไปที่การจัดส่งทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศและกำลังรอใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข โรงงานแห่งที่ 2 ได้ติดตั้งเครื่องจักรที่ทันสมัยจากประเทศไทยและกำลังดำเนินการทดลองผลิตและคาดว่าจะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ NNUP ในปลายเดือนนี้ โรงงานสามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้ 80 ชิ้นต่อ 1 นาทีและคาดว่าจะขาย 30%ในสปป.ลาวและ 70% สำหรับการส่งออก

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_DPM_132.php

การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปในกัมพูชาลดลงจากผลกระทบของ Covid-19

โฆษกกระทรวงแรงงานและฝึกอบรมด้านการส่งออกในภาคเสื้อผ้าลดลงมากกว่าร้อยละ 5 เป็นประมาณ 3.78 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก โดยโฆษกกระทรวงแรงงานกล่าวในการแถลงข่าวเกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการตอบสนองต่อผลกระทบของ COVID-19 ที่กระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (MEF) เมื่อวานนี้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของกัมพูชาอยู่ที่ราว 3.784 พันล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 5.4 จากการส่งออกมากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 เหตุผลในการลดลงนั้นเป็นเพราะผลกระทบของ COVID-19 รวมถึงการจัดซื้อที่ลดลงทั่วโลก ซึ่งเลขาธิการสมาคมผู้ผลิตเสื้อผ้าในประเทศกัมพูชา (GMAC) กล่าวว่าการลดลงโดยทั่วไปนั้นเป็นเพราะการหยุดการดำเนินการชั่วคราวและคำสั่งซื้อที่ลดลง โดยจากรายงานครึ่งปีของธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ซึ่งกัมพูชานำเข้าลดลงร้อยละ 5 การส่งออกสินค้ากัมพูชาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็นร้อยละ 45 จักรยานร้อยละ 18 ข้าวร้อยละ 29 และผลิตภัณฑ์อื่นๆ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50743103/garment-exports-fall-factories-hit-by-virus/

ความกังวลด้านเงินเฟ้อในกัมพูชาที่ส่งผลต่อราคาอาหารและเสถียรภาพภายในประเทศ

ตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 ได้เริ่มขึ้นส่งผลให้เกิดความกังวลในด้านราคาอาหารที่อาจเพิ่มขึ้น แต่ตัวเลขล่าสุดแสดงให้เห็นว่ายังคงค่อนข้างคงที่สำหรับสินค้าอาหารส่วนใหญ่ในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมา โดยราคาสินค้าส่วนใหญ่มีการเพิ่มขึ้นบางอย่างในช่วงโควิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับราคาผักที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 ไข่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 และหมูเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งแม้ว่าราคาอาหารขายปลีกจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม โดยเมษายนถึงเดือนมิถุนายนความผันผวนของราคาสินค้าได้ลดลงมาสู่ระดับปรกติ จนถึงขณะนี้ผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ต่อความมั่นคงด้านอาหารมีแนวโน้มที่จะมาจากด้านอุปสงค์มากขึ้นโดยมีครัวเรือนที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจร่วมด้วย จากการสูญเสียรูปแบบการดำเนินวิถีชีวิตและรายได้เนื่องจากผลกระทบของไวรัส

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50743104/fear-of-food-price-inflation-dropping-as-stability-returns/

เวียดนามส่งออกผักผลไม้พุ่งขึ้น ถึงแม้ว่าการระบาดของโรค COVID-19 ไปทั่วโลก

เวียดนามส่งออกผักและผลไม้เพิ่มขึ้นไปตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้และไทย ถึงแม้ว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบไปทั่วโลกก็ตาม มูลค่าการส่งออกของสินค้าดังกล่าวไปไทยที่ 68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 233.4, เกาหลีใต้ 67.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (21.8%), สหรัฐฯ 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6.1%), ญี่ปุ่น 57.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (15.5%) และเนเธอร์แลนด์ 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (9%) อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปตลาดจีนลดลงร้อยละ 29.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้มูลค่าลดลงที่ 1.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของหน่วยงานด้านการแปรรูปและพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรเวียดนาม ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามมียอดส่งออกผักผลไม้ที่ 9061 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะลิ้นจี่ที่มีส่วนผลักดันการส่งออกของเวียดนาช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรีอียู-เวียดนาม ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิ.ค. จะช่วยกระตุ้นให้ภาคธุรกิจก้าวข้ามอุปสรรคทางภาษีและเรื่องเทคนิค เพื่อที่จะได้รับโอกาสที่ดีขึ้น

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/fruit-vegetable-export-picks-up-despite-covid19/178201.vnp

เวียดนามส่งออกไปยุโรปเพิ่มขึ้น ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี “EVFTA”

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) เปิดเผยว่าโควตาข้าวเวียดนาม ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี อียู-เวียดนาม “EVFTA” จะช่วยผลักดันการส่งออกข้าวของเวียดนามในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิ.ค. ยุโรปตกลงจะให้โควตาข้าวแก่เวียดนาม จำนวน 80,000 ตันต่อปีและเปิดเสรีการค้าข้าวหัก (Broken Rice) รวมถึงภายใน 3-5 ปี ภาษีนำเข้าข้าวจะเป็น 0% ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการฝ่ายนำเข้าและส่งออกของ MoIT กล่าวว่าในปี 2562 การส่งออกข้าวของเวียดนามไปยุโรปที่ 10.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุจากภาษีนำเข้าอยู่ในระดับสูงในตลาดนี้ โดยปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าอียูแก่เวียดนาม อยู่ที่ 175 ยูโรต่อตันข้าวสาร เป็นต้น “โควตาข้าวจำนวน 80,000 ตันให้กับเวียดนาม ตามข้อตกลงการค้าเสรีดังกล่าว นับว่าเป็นโอกาสที่ดีแก่ผู้ประกอบการชาวเวียดนาม เพื่อชูการส่งออกข้าวไปยังตลาดนี้” ในขณะเดียวกัน ยุโรปได้กำหนดเงื่อนไขสำหรับโควตาดังกล่าว ได้แก่ ใบรับรองแหล่งกำเนิดข้าวของเวียดนาม จะต้องมีใบรับรองความถูกต้องที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐของเวียดนาม นอกจากนี้ ตามข้อมูลกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ระบุว่ารายได้จากการส่งออกข้าวอยู่ที่ 1.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวนราว 3.5 ล้านตัน ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 และ 4.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามลำดับ ฟิลิปปินส์ยังคงเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ตั้งแต่เดือนม.ค.จนถึงพ.ค. ด้วยมูลค่า 598.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 40 ของยอดส่งออกข้าวรวม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/749265/viet-nam-to-increase-rice-exports-to-eu-under-evfta.html

ซูจีขอให้ผู้เลี้ยงปลาท้องถิ่นขยายตลาดส่งออก

นางอองซานซูจีที่ปรึกษาของรัฐเรียกร้องให้พ่อค้าปลาและกุ้งในเมียนมาทำการส่งเสริมการประมงชนิดใหม่และขยายตลาดส่งออกในระหว่างการประชุมทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา มีปลาหลายชนิดในเมียนมาแต่ผู้นำเข้าส่วนใหญ่ยังไม่รู้ดังนั้นจำเป็นต้องมีการหาตลาดใหม่ นอกจากนี้การผลิตผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น ปลากระป๋องจะช่วยให้อุตสาหกรรมสร้างรายได้ใหม่ ๆ และกระจายออกไปจากปลาและกุ้งสด ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยปกป้องธุรกิจประมงและไม่ให้พึ่งพารายได้จากแหล่งเดียวมากเกินไป ปีงบประมาณ 2562-2563 อุตสาหกรรมการประมงและธุรกิจโลจิสติกสได้สร้างงานมาแล้วกว่า 3.5 ล้านคน ปริมาณการส่งออกถึง 782 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น 100 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า การระบาดของ COVID-19 ให้อุตสาหกรรมตกต่ำลง การส่งออกชะลอตัวหลังจากคำสั่งซื้อถูกยกเลิก สหภาพยุโรปและประเทศตะวันตกอื่น ๆ มีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 45% ในขณะที่จีนและไทยคิดเป็น 55% ในตอนนี้มีการจัดสรรเงินจำนวน 1.4 พันล้านจัต เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมและเทคโนโลยีสำหรับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ COVID-19 ของรัฐบาล ซึ่งเงินดังกล่าวจะถูกแจกจ่ายภายในเดือนกันยายน 2563 นี้ จากการวิจัยพบว่า 40% ของธุรกิจปศุสัตว์และประมง 4,900 แห่งได้รับผลกระทบในเชิงลบจากการระบาดของ COVID-19

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/state-counsellor-urges-local-fish-breeders-expand-export-market.html