คณะที่ปรึกษาโควิดด้านศก. ชง”บิ๊กตู่”แก้ปัญหาว่างงาน

คณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจฯ จากโควิด เสนอ 3 ประเด็นให้นายกฯ ขับเคลื่อน ทั้งแก้ว่างงาน สื่อสารให้คนตระหนักหวั่นเกิดระบาดรอบสอง และฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แถลงภายหลังการประชุมคณะที่ปรึกษาฯ ว่า ได้สรุป 3 ประเด็นสำคัญเสนอ นายกรัฐมนตรี โดยเรื่องแรก เสนอให้เร่งแก้ปัญหาการว่างงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เนื่องจากการแพร่ระบาดของ โรคไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนจ้านวนมากต้องว่างงานและขาดรายได้ ดังนั้น การใช้จ่ายของภาครัฐโดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องทำโครงการที่สามารถสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้มีการจ้างงานระยะยาวภายในชุมชน การจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ รวมถึงการจัดอบรมความรู้ที่สามารถนำไปต่อยอดในการประกอบอาชีพได้ ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ได้ส่งเรื่องดังกล่าวกลับมายังสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) ในฐานะเป็นคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 400,000 ล้านบาท ให้พิจารณาโครงการที่ก่อให้เกิดการจ้างงานด้วย ประเด็นต่อมาได้ขอให้การสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงความเสี่ยงของการกลับมาระบาดรอบที่ 2 และจะต้องมีความร่วมมือที่จะจำกัดการระบาด รวมทั้งยังต้องรักษามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ส่วนประเด็นสุดท้ายรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม เพราะในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทยต้องหยุดชะงักลง…

 ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/782462

การเปลี่ยนแปลงของกัมพูชาจากความไม่มั่นคงด้านอาหารสู่ประเทศผู้ส่งออกข้าว

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวว่ากัมพูชากำลังส่งเสริมภาคเกษตรกรรมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการส่งออกข้าว ซึ่งนายกฯย้ำว่ากัมพูชาจะไม่ประสบกับความไม่มั่นคงด้านอาหารเหมือนในอดีตอีกต่อไป คำแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ “โครงการเยียวยาสำหรับครอบครัวผู้ยากจนและผู้ด้อยโอกาสในช่วง Covid-19″ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2563 โดยจุดแข็งของกัมพูชาคือมีผลผลิตส่วนเกินถึง 6 ล้านตัน ซึ่งกัมพูชาส่งออกข้าวหลัก ๆ สามประเภท ได้แก่ ข้าวหอม ข้าวขาวและข้าวสวยไปยังจีน สหภาพยุโรป และ อาเซียน ตามรายงานของสหพันธ์ข้าวกัมพูชา (CRF) โดยกัมพูชามีรายได้มากกว่า 240 ล้านดอลลาร์จากการส่งออกข้าวในช่วง 5 เดือนแรกในปี 2563 ซึ่งส่งออกข้าว 356,000 ตัน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมีการส่งออกเพียง 250,000 ตัน โดยตัวเลขการส่งออกในปี 2563 ถือเป็นการเติบโตที่สำคัญที่สุดในกัมพูชาซึ่งเป็นปริมาณการส่งออกที่สูงที่สุด

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50738817/cambodias-transformation-from-a-food-insecurity-to-a-rice-exporting-nation/

นักลงทุนจากประเทศจีนกำลังศึกษาความเป็นไปได้ของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในกัมพูชา

Ruifeng Tianfu Investment บริษัท สัญชาติจีน และคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา (SECC) กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในอนาคต โดยข้อเสนอดังกล่าวได้เริ่มต้นขึ้นแล้วพร้อมกับการหารืออย่างจริงจังระหว่าง SECC และ Ruifeng Tianfu Investments จากประเทศจีน ภายใต้บันทึกความเข้าใจในการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกัน ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ 2 ประเภท คือสินค้าที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (เช่นทองคำ) สำหรับระยะเริ่มต้น และสินค้าที่ไม่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (เช่นสินค้าเกษตร) ในระยะต่อมา โดยตลาดซื้อขายล่วงหน้าถือเป็นเป้าหมายของ SECC ที่ถือเป็นช่องทางใหม่สำหรับสินค้าเกษตรที่จะเข้าร่วมในตลาดซื้อขายล่วงหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสและช่องทางให้กับสินค้าภายในประเทศกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50738847/ruifeng-tianfu-investments-from-china-to-conduct-feasibility-study-on-commodity-futures-trading-in-cambodia/

ส่งอออกข้าวโพดเมียนมาคาดอุปสงค์ตลาดเพิ่ม

กระทรวงพาณิชย์พร้อมหนุนธนาคารปล่อยสินเชื่อเพื่อปลูกข้าวโพดในประเทศซึ่งคาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างกระทรวงกับสมาคมอุตสาหกรรมข้าวโพดเมียนมาที่ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 เมียนมามีพื้นที่ปลูกข้าวโพดประมาณ 1.9 ล้านเอเคอร์ทั่วทั้งภูมิภาค Ayeyarwady, Nay Pyi Taw, รัฐ Shan, รัฐ Kayah และรัฐ Kayin ซึ่งให้ผลผลิตมากกว่า 3 ล้านตันต่อปีตามข้อมูลของปีที่แล้ว การบริโภคภายในประเทศนั้นน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตทั้งหมดส่วนอีกครึ่งหนึ่งส่งออกไปยังประเทศไทยเป็นหลัก ปัจจุบันเมียนมาเป็นผู้ส่งออกข้าวโพดรายใหญ่อันดับสองของอาเซียน ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2562-2563 ความต้องการข้าวโพดได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศไทยซึ่งมีความต้องการข้าวโพดเพิ่มขึ้นเนื่องจากอุตสาหกรรมและอาหารสัตว์มีปริมาณเพิ่มขึ้น จากข้อมูลพบว่าในปีนี้ส่งออกข้าวโพดไปแล้วประมาณ 1.8 ล้านตันซึ่งมากกว่าหนึ่งล้านตันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว  มากกว่าร้อยละ 60 ส่งออกไปยังประเทศไทย

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/corn-traders-myanmar-get-organised-anticipation-more-demand.html

พิษโควิด จีดีพีดิ่ง! ว่างงานพุ่งรอบ 20 ปี

ทีดีอาร์ไอชี้ โควิด-19 พ่นพิษ อัตราว่างงานพุ่ง 8-12 เท่าสูงสุดในรอบ 20 ปี เหตุเศรษฐกิจหดตัวแรง และชะลอต่อเนื่อง 2-3 ปีข้าง เตรีบมทบทวนตัวเลขเพิ่ม หลังธปท.ปรับคาดการณ์จีดีพี เหลือติดลบ 8.1% จากเดิมติดลบ 5.3%  ด้านกสิกรไทยชี้ อัตราว่างงานค้างไม่ตํ่ากว่า1 ล้านคน ตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เศรษฐกิจไทยปีนี้ทั้งปี มีแนวโน้มจะติดลบถึง 8.1% จากที่คาดการณ์เดิมจะติดลบ 5.3% เหตุเพราะตัวเลขจากทีมเศรษฐกิจรัฐบาลได้ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 จะติดลบถึง 15.5% และจะติดลบน้อยลงเหลือ 10.2% ในไตรมาส 3 และเหลือติดลบ 5.5% ในไตรมาสสุดท้ายของปี ส่วนสถานการณ์ด้านแรงงานนั้น อัตราว่างงานจะเพิ่ม 3-4% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 1% ซึ่งค่อนข้างสูงมาก หากย้อนเทียบกับต้มยำกุ้ง ภาคเกษตรและการบริโภคภายในประเทศยังดี แต่วันนี้ตรงกันข้าม ซึ่งภาคการท่องเที่ยวยังน่าเป็นห่วง เพราะก่อนหน้าไทยสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนแต่หากนักท่องเที่ยวไม่กลับมาก็มีความเสี่ยงสูง

ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/money_market/439975?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral

เวียดนามเผยเม็ดเงิน FDI ลดลง 15.1% ในช่วงครึ่งปีแรก

กระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม (MPI) เปิดเผยว่าเวียดนามดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงร้อยละ 15.1 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 15.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ยอดการลงทุนดังกว่าจะรวมถึง 8.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน 1,418 โครงการที่ได้รับการอนุญาตใหม่ และอีก 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นการการลงงทุนเพิ่มในโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน 526 โครงการ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปสามารถดึงดูดเม็ดเงิน FDI สูงสุด มากกว่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51.1 ของยอดเงินลงทุนทั้งหมด รองลงมาภาคการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ค้าปลีกค้าส่งและอสังหาริมทรัพย์ ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน สิงคโปร์เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.7 ของทั้งหมด รองลงมาไทย (10.1%), จีน (10.1%),  ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และไต้หวัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ ชี้ให้เห็นว่าการส่งออกของภาคการลงทุน FDI ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ลดลงทั้งในแง่มูลค่าและสัดส่วนจากการค้าต่างประเทศในเวียดนาม ประมาณ 79.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (รวมน้ำมันดิบ)

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/fdi-drops-151-year-on-year-in-first-half-415437.vov

ธนาคารพาณิชย์เวียดนาม “Vietcombank” รักษามาตรฐานการกู้ยืม

ธนาคารพาณิชย์ “Vietcombank” ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม จะไม่ปรับลดมาตรฐานในการปล่อยสินเชื่อช่วงหลังการแพร่ระบาดไวรัส เพื่อรักษาเงินทุนให้แข็งแกร่งในปี 2563 ซึ่งธนาคารจะยกระดับคุณภาพสินเชื่อ เพื่อรองรับกับการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสิ้นสุดการระบาดของ COVID-19 โดยธนาคารจะมองหาลูกค้าใหม่ พิจารณาสินเชื่อแก่ธุรกิจค้าส่งและขยายการลงทุนไปยังพันธบัตรทางการเงิน รวมถึงปรับปรุงสัดส่วนการลงทุนของธนาคาร ทั้งนี้ ในปี 2563 Vietcombank มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 55.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอัตราหนี้เสียตั้งเป้าให้ต่ำกว่าร้อยละ 1.5 ในปีนี้ อัตราเงินปันผลร้อยละ 8 ปีนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นและจ่ายโบนัสอีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารวางแผนว่าจะจ้างพนักงานใหม่มากกว่า 2,200 คนในปีนี้

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/748843/vietcombank-to-maintain-lending-standards.html

รัฐบาลสปป.ลาวตรวจสอบการกักกันตนเองอย่างใกล้ชิดของผู้คนที่เดินทางเข้าประเทศ

รัฐบาลสปป.ลาวยังคงดำเนินมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการกักกันตัวเองของผู้คนที่เข้ามาในประเทศลาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานที่กลับมาเพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นที่สองของ Covid-19 (coronavirus) เกิดขึ้น คนที่เข้าประเทศจะถูกส่งไปยังศูนย์กักกันเป็นเวลา 14 วันและต้องตรวจสอบอุณหภูมิของแต่ละคนที่เดินทางเข้าประเทศ คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการป้องกันและควบคุม Covid-19 ประกาศว่ามีการเฝ้าระวังประชาชน 2,985 คนในศูนย์ที่พัก 89 แห่งทั่วประเทศ และยังกระตุ้นให้ประชาชนยังคงตื่นตัวและดำเนินมาตรการป้องกันเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสแม้ในขณะที่ประเทศรายงานว่าไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ของ Covid-19 เป็นเวลา 77 วัน

ที่มา : https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2020/06/28/laos-govt-closely-monitoring-self-quarantine-of-people-entering-country

นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 รับรองปฏิญญาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 เช้านี้ 26 มิ.ย. และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งประเทศเวียดนามเป็นเจ้าภาพ เพื่อขับเคลื่อนให้ประชาคมอาเซียนมีความเข้มแข็ง และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมือกับโรคโควิด-19 และเตรียมการฟื้นฟูอาเซียนหลังสถานการณ์คลี่คลาย โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ผ่านระบบการประชุมทางไกลจากทำเนียบรัฐบาลด้วย สำหรับเอกสารผลลัพธ์ที่สำคัญจากการประชุม ซึ่งผู้นำอาเซียนจะรับรองมี 2 ฉบับ คือ 1. วิสัยทัศน์ผู้นำอาเซียนว่าด้วยอาเซียนที่แน่นแฟ้นและตอบสนอง : ก้าวข้ามความท้าทายและเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่เน้นความแน่นแฟ้นของอาเซียนในทุกมิติ เสริมสร้างขีดความสามารถของกลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ เพื่อรับมือกับความท้าทายและโอกาส เช่น ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และผลกระทบจากโรคโควิด-19 เป็นต้น 2. ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน เป็นเอกสารที่แสดงเจตจำนงทางการเมืองของประเทศสมาชิกอาเซียนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพและสามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลก เช่น สนับสนุนให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน พัฒนาฐานข้อมูลด้านตลาดแรงงาน การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการพัฒนาทักษะแรงงาน เป็นต้น

ที่มา:https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/886773?utm_source=category&utm_medium=internal_referral

“เวียดนามแอร์ไลน์” เปิด 4 เส้นทางบินใหม่จากเมืองเกิ่นเทอ

เวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airlines) เปิดตัว 4 เส้นทางบินใหม่จากเมืองเกิ่นเทอในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ถึงเมืองไฮฟอง (Hai Phong), วินห์ (Vinh), บวนมาถวต (Buon Ma Thuot) และดาลัด (Da Lat) ซึ่งจากงานสัมมนาเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. หารือเกี่ยวกับวิธีส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ โดยรองประธานคณะกรรมการประชาชนเกิ่นเทอ กล่าวว่าเส้นทางการบินใหม่ดังกล่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยว จากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการเวียดนามแอร์ไลน์ กล่าวเสริมว่าเส้นทางการบินใหม่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นอกจากนี้ เส้นทางการบินใหม่ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อาทิ ตลาดน้ำ “Cai Rang”, อุทยานแห่งชาติ “Tram Chim” และหมู่บ้านดอกไม้ เป็นต้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/748711/vietnam-airlines-unveils-4-new-air-routes-from-can-tho.html