กัมพูชาชาส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศสมาชิก RCEP ขยายตัวกว่า 23.6%

กัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มูลค่า 5.81 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึงร้อยละ 23.6 สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ตามการรายงานล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา (MoC) โดยได้ทำการส่งออกไปยังเวียดนามมากที่สุดมูลค่า 2.03 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.6 ส่งออกไปยังจีน 1.06 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 และส่งออกไปยังญี่ปุ่นที่มูลค่า 885.7 ล้านดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับข้อตกลงการค้าเสรี RCEP ประกอบด้วย 15 ประเทศสมาชิก ในพื้นที่เอเชียแปซิฟิก รวมถึง 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ร่วมกับคู่ค้าสำคัญอีก 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ภาคใต้ เกาหลี ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ด้วยข้อตกลงดังกล่าวเอื้อต่อภาคการค้าระหว่างประเทศโดยประเทศสมาชิกตกลงที่จะให้สิทธิทางอัตราภาษีพิเศษระหว่างกัน

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501382938/cambodias-export-to-other-rcep-members-up-23-6-percent-in-9-months/

นายกฯ หนุนศุลกากรหนองคาย One Stop Service ดันส่งออกชายแดน-จีน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมติดตามประเด็นปัญหาการส่งออก ขั้นตอนพิธีศุลกากร การค้าชายแดนและการพัฒนา One Stop Service ระหว่างราชอาณาจักรไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ สำนักงานศุลกากร จังหวัดหนองคาย เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยนายเศรษฐา ระบุว่า ตนต้องการให้จังหวัดได้พัฒนาระบบโลจิสติกส์ เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ เพื่อผลักดันศูนย์ให้บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service :OSS) ทำให้การบริการภาครัฐรวมอยู่ในระบบเดียว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการและส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน หากจังหวัดหนองคายดำเนินการเป็นจังหวัดแรก ที่รวมบริการทั้งหมด เพื่อขยายตัวอย่างไปจังหวัดต่างๆ สำหรับไทย-จีนมีความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งจากการพูดคุยหารือนักลงทุนประเทศจีนมีความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งสินค้าเกษตร ขอให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเร่งประสานงานให้เกิดความร่วมมือ นำนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยปัจจุบันจุดผ่อนปรนจังหวัดหนองคายมีด่านชายแดนริมโขงอยู่ 4 จุด ซึ่งค่อนข้างแออัดหลังจากสถานการณ์โควิดปรับตัวดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเปิดไม่ครบทุกจุด ด้านมูลค่าการค้า ณ จุดผ่านแดนอยู่ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับ สปป.ลาว มาโดยตลอด

ที่มา : https://www.prachachat.net/economy/news-1425864

‘ลาว-จีน-เมียนมา-ไทย’ เสร็จสิ้นภารกิจร่วมลาดตระเวนแม่น้ำโขง ครั้งที่ 134

หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจากลาว จีน เมียนมา และไทย สนธิกำลังเพื่อทำการลาดตระเวนร่วมในแม่น้ำโขง ครั้งที่ 134 โดยการลาดตระเวนร่วมครั้งนี้มีเรือ 5 ลำ และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย 114 นาย จาก 4 ประเทศ ครอบคลุมเส้นทางน้ำเป็นระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร โดยปฏิบัติการดังกล่าวใช้เวลา 4 วัน 3 คืน ในระหว่างการลาดตระเวน ประเทศต่าง ๆ มุ่งเน้นไปที่การปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนเพื่อความปลอดภัยและเสถียรภาพริมแม่น้ำ และทำการประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งจัดขึ้นที่แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่แม่น้ำโขง ทั้งสี่ประเทศบรรลุฉันทามติในการร่วมกันต่อสู้กับการฉ้อโกงผ่านระบบโทรคมนาคมและอาชญากรรมข้ามพรมแดนอื่น ๆ รวมถึงกระชับความร่วมมือในอนาคตให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แม่น้ำโขง หรือในจีนเรียกกันว่าแม่น้ำล้านช้าง เป็นแม่น้ำที่สำคัญสำหรับการขนส่งข้ามพรมแดน ทั้งสี่ประเทศได้ดำเนินการลาดตระเวนร่วมกันในแม่น้ำโขงตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา

ที่มา : https://english.news.cn/20231027/a22c8b9f0c11468b8a5a696aa43e1758/c.html

สปป.ลาว พิจารณาปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10% ภายในปี 2567

กระทรวงการคลัง สปป.ลาว กำลังพิจารณาเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐบาลและสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งอัตราดังกล่าวจะเท่ากับอัตราเดิมที่เคยบังคับใช้ในช่วงปี 2553-2564 โดยกระทรวงการคลังได้ชี้ให้เห็นปัจจัยหลายประการที่เอื้อต่อการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามูลค่าปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่คาดการณ์ไว้ ขณะนี้จำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนภายใต้กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนต่ำกว่าคาดการณ์และรัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มรายได้เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณ และทำให้สกุลเงินกีบมีเสถียรภาพ ตามการระบุของฝ่ายการเงินของรัฐบาล ทั้งนี้ ร่างกฎหมายใหม่เพื่อเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ และมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2567 นอกจากการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังพิจารณามาตรการอื่นๆ เพื่อปรับปรุงระบบภาษีของประเทศ รวมถึงการเร่งพัฒนากลไกในการคืนภาษีให้กับธุรกิจที่จ่ายไปแทนการยกเว้นภาษี ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการสูญเสียทางการเงินของรัฐบาลผ่านการยกเว้นภาษีพร้อมทั้งให้การสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่น
ที่มา : https://laotiantimes.com/2023/10/27/laos-considers-raising-vat-rate-to-boost-revenue/

‘เวียดนาม’ ตั้งเป้าส่งออกมะพร้าว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายกาว บา ดัง ควา รองเลขาธิการสมาคมมะพร้าวเวียดนาม (VCA) ระบุว่ามะพร้าวนับเป็นแหล่งรายได้ให้กับกลุ่มครัวเรือนเกษตรกร ประมาณ 390,000 ครัวเรือน และหากพิจารณาตัวเลขของมูลค่าการส่งออกมะพร้าวเมื่อปี 2552 พบว่าทำรายได้จากการส่งออกเพียง 1 แสนดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ว่าตัวเลขของการส่งออกดังกล่าวได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 940 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 ด้วยเหตุนี้ จากการประชุมของสมาคมฯ เมื่อวันที่ 28 ต.ค. มีมติที่ประชุมให้ตั้งเป้าการส่งออกมะพร้าวต่อปี อยู่ที่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ มะพร้าวของเวียดนามยังได้รับการอนุมัติให้ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา และบางประเทศในยุโรป

ที่มา : https://en.nhandan.vn/vietnams-coconut-sector-aims-for-export-revenue-of-1-billion-usd-post130737.html

‘Seeking Alpha’ เผยเศรษฐกิจเวียดนาม โตแรงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รอบ 10 ปี

จากข้อมูลบนเว็บไซต์ Seeking Alpha ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเวียดนามมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ขยายตัว 5.3% โดยได้แรงหนุนจากภาคครัวเรือนที่นำเงินออมที่เก็บสะสมในช่วงการระบาดโควิด-19 ออกมาใช้ อย่างไรก็ตามเวียดนามยังคงเผชิญความผันผวนจากสถานการณ์โลกในปัจจุบัน

ทั้งนี้ สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เอื้ออำนวยและการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางเวียดนาม ช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลักดันให้เวียดนามเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในภูมิภาค ถึงแม้ว่าภาวะการค้าของเวียดนามจะปรับตัวลดลงและความกดดันของเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แต่ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามก็กลับไม่ได้ลดลง มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/vietnam-posts-highest-gdp-growth-in-southeast-asia-in-past-decade-us-website-post1055494.vov

เรือคอนเทนเนอร์จำนวน 50 ลำมีกำหนดเทียบท่าในเดือนพฤศจิกายน

การท่าเรือเมียนมาระบุว่า เรือคอนเทนเนอร์ทั้งหมด 50 ลำ มีกำหนดจะมาถึงในเดือนพฤศจิกายนที่ท่าเรือย่างกุ้ง ในปีนี้ท่าเรือย่างกุ้งรองรับเรือคอนเทนเนอร์ไปแล้วทั้งหมด 620 ลำ โดยมีเรือคอนเทนเนอร์ที่เดินทางมาถึงท่าเรือย่างกุ้ง 52 ลำ ในเดือนมกราคม 51 ลำ ในเดือนกุมภาพันธ์ 55 ลำ ในเดือนมีนาคม 50 ลำ ในเดือนเมษายน 56 ลำ ในเดือนพฤษภาคม 57 ลำ ในเดือนมิถุนายน 53 ลำ ในเดือนกรกฎาคม 54 ลำ ในเดือนสิงหาคม 53 ลำ ในเดือนกันยายน และ 49 ลำ ในเดือนตุลาคม ซึ่งการค้าทางทะเลถือเป็นร้อยละ 75 ของการค้าต่างประเทศของเมียนมา ทั้งนี้ ตามคำแถลงของการท่าเรือเมียนมาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2565 หลังจากพบช่องทางเดินเรือใหม่ (Kings Bank Channel) ที่เข้าถึงแม่น้ำย่างกุ้งตอนใน และมีการเร่งดำเนินงานขยายร่องน้ำ ทำให้ท่าเรือสามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้แล้ว โดยมีเรือคอนเทนเนอร์ (LOA 185.99 เมตร, Beam 35.25 เมตร, 29,232 GRT และ 2,698 TEU) SITC Shipping Line จากฮ่องกงเข้าเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือ Asia World Port เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ซี่งนับเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดที่ท่าเรือ (Asia World Port Terminal : AWPT) รองรับ โดยก่อนหน้านี้ เรือขนาดใหญ่ประสบปัญหาไม่สามารถแล่นในแม่น้ำย่างกุ้งได้ ทำให้ร่องน้ำถูกขยายออกไปไกลถึง 10 เมตร เพื่อให้เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่สามารถเข้าสู่ท่าเรือทีละวาได้

อย่างไรก็ดี ชายฝั่งของเมียนมามีความยาว 2,228 กิโลเมตร (1,260 ไมล์ทะเล) รวมถึงแนวชายฝั่งยะไข่ (713 กิโลเมตร) พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ (437 กิโลเมตร) และแนวชายฝั่งตะนาวศรี (1,078 กิโลเมตร) ซึ่งทอดยาวจากชายแดนบังกลาเทศตอนเหนือไปจนถึงพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีท่าเรือตามแนวชายฝั่งทั้งหมด 10 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือย่างกุ้ง ท่าเรือน้ำลึกทีละวา ท่าเรือน้ำลึกเจ้าผิวก์ ท่าเรือซิตตเว ท่าเรือตานต่วย ท่าเรือปะเตง ท่าเรือมะละแหม่ง ท่าเรือน้ำลึกทวาย ท่าเรือเมก และท่าเรือก้อตาว (เกาะสอง) อย่างไรก็ตาม ท่าเรือย่างกุ้ง รวมทั้งท่าเทียบเรือน้ำลึกทีละวาเป็นท่าเรือระหว่างประเทศเพียงแห่งเดียว และท่าเรือที่เหลือใน 8 เมือง ถูกกำหนดให้เป็นท่าเรือภายในประเทศเท่านั้น

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/fifty-container-vessels-scheduled-to-call-in-november/#article-title

กระทรวงพาณิชย์เมียนมา ผ่อนปรนกฎระเบียบ ใบอนุญาตนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำหรับนักเดินเรือ

ตามประกาศที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2566 กระทรวงพาณิชย์ของเมียนมา ประกาศลดการเก็บรายได้เงินโอนระหว่างประเทศขาเข้าของผู้เดินเรือเป็น 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี จากเดิมกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี เพื่ออนุญาตให้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากคำแถลงที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา หากพลเมืองเมียนมารวมถึงนักเดินเรือที่มีการโอนเงินค่าจ้างต่างประเทศไปยังธนาคารท้องถิ่นในประเทศ พวกเขาจะได้รับสิทธิในการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งคัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับร้อยละ 5 ของเงินโอนเข้าประเทศที่มีมูลค่ามากกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ยกเว้นผู้ที่ได้รับเงินเดือนประจำจากต่างประเทศ ซึ่งบางรายได้รับอนุญาตให้นำเข้ายานพาหนะไฟฟ้าหรือรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เทียบเท่ากับร้อยละ 5 หากส่งเงินเข้าประเทศมูลค่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและส่งเสริมกิจกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ใบอนุญาตนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าหรือรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจึงได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้สำหรับผู้ที่มีการโอนเงินเดือนต่างประเทศเข้ามาในประเทศ หรือพลเมืองเมียนมาที่ได้รับค่าจ้างประจำจากต่างประเทศ อย่างไรก็ดี ในกรณีที่การโอนเงินเข้าประเทศของแต่ละบุคคลไม่ถึงเกณฑ์รายได้ที่กำหนด ก็สามารถใช้สิทธิขออนุญาตนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้าร่วมกันได้ โดยการดำเนินการขอใบอนุญาตนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/moc-eases-import-rule-of-ev-permit-for-seafarers/