‘แคนาดา’ ตลาดศักยภาพของข้าวเวียดนาม

หน่วยกิจการพรมแดนแคนาดา (CBSA) รายงานว่าภายหลังจากข้อตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ทีมีผลบังคับใช้แล้ว ส่งผลให้การส่งออกข้าวของเวียดนามไปยังตลาดเหล่านี้เพิ่มขึ้น 60% หรือเกือบ 9.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2561-2565 และช่วยให้เวียดนามอยู่ในอันดับที่ 5 ของกลุ่มผู้ส่งออกข้าวไปยังตลาดแถบอเมริกาเหนือ ทั้งนี้ คุณ Dinh Trung Dung ผู้อำนวยการของบริษัท Vietnam CanadaTrading Ltd กล่าวว่าแคนาดานับเป็นตลาดบริโภคข้าวขนาดใหญ่ โดยมีความต้องการประมาณ 5 แสนตันต่อปี อย่างไรก็ดี ตลาดแห่งนี้มีข้อกำหนดที่เข้มงวดในเรื่องคุณภาพของสินค้า

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1593988/canada-a-potential-market-for-viet-nam-s-rice-insiders.html

‘นายกฯ เวียดนาม’ ชวนบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ ลงทุนในเวียดนามมากขึ้น

นายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 19 ก.ย. กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 78 โดยมีนายมาร์ค แนปเปอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำเวียดนาม และจอห์น นิวฟ์เฟอร์ ประธานและซีอีโอของสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ (SIA) เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ นักธุรกิจสหรัฐฯ ยกย่องศักยภาพของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในเวียดนาม ซึ่งมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูง รวมถึงมีการส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจในประเทศและสถาบันฝึกอบรม อีกทั้ง นายกฯ เวียดนาม เชิญชวนให้บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ลงทุนในเวียดนามมากขึ้น ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี การออกแบบ การผลิต การฝึกอบรมกำลังคนและสถาบันวิจัย

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/pm-calls-on-us-semiconductor-firms-to-invest-more-in-vietnam/268253.vnp

‘เมียนมา’ เผย 5 เดือนปี 66 ทำรายได้จากการส่งออกน้ำผึ้ง ทะลุ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กระทรวงเกษตร ปศุสัตว์และการชลประทานของเมียนมา (MOALI) ได้กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่าเมียนมาทำรายได้จากการส่งออกน้ำผึ้งมากกว่า 1 พันตัน คิดเป็นมูลค่าราว 1.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 5 เดือนของปี 2566 (เม.ย.-ส.ค.) โดยตลาดส่งออกหลักของน้ำผึ้งเมียนมา ได้แก่ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในขณะที่สหรัฐฯ ไทยและจีนก็สั่งน้ำผึ้งจากเมียนมาเช่นเดียวกัน

ที่มา : https://borneobulletin.com.bn/myanmar-earns-over-usd1m-from-honey-export-within-five-months/

สปป.ลาว รายงานพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงเป็นรายแรก

กระทรวงสาธารณสุข สปป.ลาว ยืนยันพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกในประเทศ พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศเฝ้าระวังการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว สำหรับผู้ป่วยรายแรกเป็นเพศชายซึ่งเดินทางมาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสังเกตอาการในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเวียงจันทน์ ด้านกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า อาจตรวจพบผู้ป่วยมากขึ้น เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากที่เดินทางทั้งเข้าและออกไปยังประเทศที่มีการรายงานการติดเชื้อไวรัส และเพื่อเป็นการป้องกันการระบาดของโรคฝีดาษ กระทรวงได้ขอให้หน่วยงานสาธารณสุขในจังหวัดที่มีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้านเร่งตอบสนองต่อสถาการณ์ดังกล่าวโดยเร็ว สำหรับ Monkeypox เป็นโรคติดต่อที่สามารถติดได้จากคนสู่คน ด้วยการสัมผัสทางกายภาพกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือสัมผัสกับวัสดุที่ปนเปื้อน หรือกับสัตว์ที่ติดเชื้อ ซึ่งโรคดังกล่าวมีอาการผื่นขึ้นเฉียบพลันและปวดหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ ร่วมกับอาการต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้เฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และมีอาการอ่อนเพลีย

ที่มา : https://english.news.cn/20230920/a713a7753e004299987a97f08b1a3e76/c.html

จีนอนุมัติการนำเข้ามะพร้าวสดจากกัมพูชา

ศุลกากรจีนอนุญาตให้สามารถนำเข้ามะพร้าวสดจากกัมพูชาและอะโวคาโดจากเวเนซุเอลา โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ก.ย.) ตามการประกาศของสำนักงานศุลกากรจีน (GAC) ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและเวเนซุเอลา ในช่วงระหว่างวันที่ 14-16 กันยายน ตามข้อมูลของศุลกากรกัมพูชา ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2023 การค้าทวิภาคีระหว่างจีนและกัมพูชามีมูลค่าอยู่ที่ 8.09 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นการส่งออกของกัมพูชาไปยังจีนที่มูลค่า 940 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 โดยการส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร อาทิเช่น กล้วย มะม่วง และลำไย เป็นสำคัญ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501363495/fresh-cambodian-coconuts-venezuelan-avocados-approved-to-enter-china/

กัมพูชาตั้งเป้าส่งออกข้าวสารไปยังจีนขยายตัว 20%

นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต กล่าวว่า กัมพูชากำลังวางแผนที่จะเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวสารไปยังจีนอีกร้อยละ 20 โดยได้กล่าวไว้ในระหว่างการประชุมพบปะกับแรงงาน รวมถึงโรงงาน 18 แห่ง ในจังหวัดตาแก้ว ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่อาวุโสจากทุกกระทรวงเข้าร่วมงาน ด้านนายกฯ ยังได้รายงานอีกว่าหลังการเดินทางไปเยือนจีน ทางการกัมพูชาได้หารือกับญี่ปุ่นและประเทศสมาชิกอาเซียน หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงดึงดูดการลงทุนและเปิดโอกาสทางการค้ากับประเทศต่างๆ ปัจจุบันความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนถือเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชาเป็นอย่างมากด้วยการได้รับโครงการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมากที่สร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นกัมพูชาหลายแสนตำแหน่ง และเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม ซึ่งหลังจากการได้ร้องขอในการเพิ่มโควต้าการส่งออกข้าวของกัมพูชา ทางการได้ร้องขอให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะผู้ส่งออกข้าวร่วมมือกันส่งเสริมการส่งออกข้าวและเพิ่มมาตรฐานให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501363031/cambodia-plans-to-increase-export-of-milled-rice-to-china-by-20/

“เศรษฐา” ประกาศ ใส่เกียร์สูงดันเศรษฐกิจไทย ทวงคืนจุดหมายการลงทุนชั้นนำ

ณ โรงแรม St. Regis นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงานเลี้ยงอาหารค่ำ (Gala Dinner) โดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S.-ASEAN business Council: USABC) และหอการค้าสหรัฐฯ (U.S. Chamber of Commerce: USCC) ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรี โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณสำหรับงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ ถือเป็นวาระสำคัญอันหนึ่งของการเยือนต่างประเทศครั้งแรกในครั้งนี้ การเข้าร่วมงานของแขกทุกคนในวันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจ และความสำคัญที่ภาคเอกชนสหรัฐฯ มีต่อประเทศไทย หวังว่างานในวันนี้จะเป็นพื้นฐาน (platform) ในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงประเทศและเศรษฐกิจของไทยและสหรัฐฯ ถือเป็นหุ้นส่วนธรรมชาติและมีผลประโยชน์ร่วมกัน (natural and mutually-beneficial partners) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ ที่ในปีนี้ฉลองครบรอบ 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐฯ การค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งแม้จะมีการแพร่ระบาดทั่วโลก ด้วยมูลค่ามากกว่า 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีผ่านมา ทำให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของไทยเป็นครั้งแรก ในรอบ 15 ปี ในขณะที่การผลักดันเศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่ “เกียร์สูง” (high gear) อาทิ นโยบาย digital wallet และ Blockchain เป็นต้น รวมถึงการบริโภคที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น อาทิ การเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุม เศรษฐกิจสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การสร้างไทยให้เป็นประเทศนวัตกรรม ที่ครอบคลุม และบูรณาการสำหรับลูกหลานในอนาคต (an “Innovative, Inclusive and Integrated (3Is) Thailand”) อาทิ การเปิดตลาดใหม่ เร่งเดินหน้าเจรจา FTA การสร้างกลไกใหม่แห่งการเติบโตแบบครอบคลุม และการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อลดข้อจำกัด และข้อห่วงกังวล เพื่ออำนวยความสะดวก และสร้างบรรยากาศที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนต่างประเทศ

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/politics/1089603