สปป.ลาว ลุยโครงการนำร่องทำเหมืองแร่หายาก เพื่อหาเงินต่างประเทศ

รัฐบาล สปป.ลาว กำลังพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อร่างกฎหมายที่จำเป็นสำหรับควบคุมโครงการนำร่องทำเหมืองแร่หายากที่วางแผนไว้ เนื่องจากแร่ธาตุหายากเป็นที่ทั่วโลกต้องการ รัฐบาล สปป.ลาว ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องวางแผนเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการขุดแร่ดังกล่าว โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับคำสั่งให้จัดการปัญหาเร่งด่วนและบังคับใช้มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ มาตรการที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มรายได้ประชาชาติ และเพิ่มการส่งออก นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังพยายามให้แน่ใจว่าเม็ดเงินการส่งออกจะได้รับการชำระผ่านระบบธนาคารในประเทศลาวเพื่อให้เงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลย้ำถึงความจำเป็นในการจำกัดการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่สามารถผลิตหรือผลิตในประเทศ ภาครัฐได้รับคำสั่งให้ยกเลิกกฎเกณฑ์เดิมๆ และปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาในประเทศลาวมากขึ้น อีกทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบจำเป็นต้องตรวจสอบโครงการลงทุนเหมืองแร่ที่ไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากนักลงทุนบางรายได้รับสัมปทานสำหรับดำเนินกิจการเหมืองแร่แต่ไม่ได้ดำเนินการลงทุนใดๆ และตอนนี้กำลังวางแผนที่จะขายสัมปปทานให้กับนักลงทุนรายอื่น

ที่มา : https://www.nationthailand.com/world/asean/40033252

 

นายกฯ ฮุน มาเน็ต ยันเศรษฐกิจกัมพูชาปีนี้โต 5.6%

นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ประกาศคงการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจกัมพูชาไว้ที่ร้อยละ 5.6 ในปี 2023 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 6.6 ภายในปี 2024 โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้าและสินค้าเพื่อการเดินทาง ภาคการท่องเที่ยว ภาคเกษตรกรรม และอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงภาคการก่อสร้างที่เริ่มเห็นการเติบโต ขณะเดียวกันทางการกัมพูชามีความพยายามเป็นอย่างมากที่จะขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) เพื่อที่จะลดการพึ่งพาตลาดส่งออกหลักในปัจจุบันอย่างสหรัฐฯ และยุโรป นอกจากนี้กัมพูชายังเป็นสมาชิกข้อตกลงเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน (CAFTA) และข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) นอกจากนี้ ยังมีข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับจีน เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501397374/pm-hun-manet-reaffirms-cambodias-growth-for-this-year-is-at-5-6-percent/

สนค. เผยปรับค่าจ้างส่งผลต่อเงินเฟ้อไม่มากดีกับ ศก.

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยการวิเคราะห์ “ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไป” ผลการวิเคราะห์เบื้องต้น พบว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและอัตราเงินเฟ้อไม่มากนัก เนื่องจากภาคการผลิตในภาพรวมมีค่าใช้จ่ายจากการใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในสัดส่วนไม่สูงมากเมื่อเทียบกับต้นทุนรวม อีกทั้งมีข้อจำกัดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการลดต้นทุนด้านพลังงาน ดังนั้น ต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจะส่งผ่านมายังราคาสินค้าและบริการได้อย่างจำกัด ขณะที่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะสนับสนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และการเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) ซึ่งจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในระยะต่อไป ปัจจุบัน อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของไทยถูกกำหนดโดยคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ทั้งนี้ในการปรับอัตราค่าจ้างแต่ละครั้งจะคำนึงถึงหลายปัจจัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 87 อาทิ ค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้า ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม สำหรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นอัตราตามมติของคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 21 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยมีอัตราอยู่ระหว่าง 328 – 354 บาทต่อวัน หรือเฉลี่ย 337 บาทต่อวันและขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับอัตราใหม่ของคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในปี 2567

ที่มา : https://www.innnews.co.th/news/politics/news_646179/

นักวิเคราะห์ มองศก.อาเซียนปี 67 กระเตื้องขึ้นแต่ยังน่าเป็นห่วง ประเมินจีดีพีไทยปีหน้าโต 3.8%

สำนักข่าว Nikkei รายงานว่านักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่ง เปิดเผยว่าเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ในปี 2567 ยังคงอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง แม้จะมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น หลังเผชิญกับภาคการส่งออกที่ซบเซา อันเนื่องมาจากผลกระทบของปัญหาเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ด้านนักวิเคราะห์จากบีเอ็มไอ ระบุว่า ประเมินเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ไว้ดีเกินไป และได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ ลงจากการขยายตัวที่ 2.8% สู่ 2.5%”  และคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวที่ 3.8%

ที่มา : https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=LzlLeHJMeTltQm89

สปป.ลาว ตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2567 ที่ 4.5%

ในการประชุมสามัญครั้งที่ 6 ของสภานิติบัญญติ สปป.ลาว สมาชิกสภาได้อนุมัติเป้าหมายมหภาคที่นำเสนอโดยรัฐบาล สปป.ลาว โดยตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 4.5 ​​ในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ร้อยละ 4.2 ในปี 2566 นายไชยสมพอน พรหมวิหาร ประธานรัฐสภาลาวกล่าวปิดการประชุมเมื่อวันอังคารว่าการประชุมรัฐสภาประสบความสำเร็จในระหว่างการประชุม รัฐบาลลาวกล่าวว่าตระหนักดีว่าเป้าหมายระดับมหภาคนั้นมีความทะเยอทะยานอย่างมากท่ามกลางความท้าทายที่กำลังเผชิญอยู่ลาวเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ความซับซ้อนนี้ควบคู่ไปกับปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินที่สะสมลาวทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี จะทำให้ยากต่อการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2567 นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว กล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลากอัตราเงินเฟ้อลงมาสู่เป้าหมายร้อยละ 9 ในปี 2567 จากอัตราปัจจุบันเกือบร้อยละ 30 จะเป็นความท้าทายอย่างมาก การรักษาอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินให้อยู่ในระดับที่ดีก็เป็นเป้าหมายที่สำคัญเช่นกัน

ที่มา : https://english.news.cn/20231122/553c4e91e3e04d54a56f09dda3d291a6/c.html

สปป.ลาว แสวงหาการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อ ‘ส่งเสริมการส่งออกปศุสัตว์’

ปศุสัตว์มีบทบาทสำคัญในภาคเกษตรกรรมของ สปป.ลาว ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากกว่าหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์ตามการระบุของเจ้าหน้าที่อาวุโส นายกวิพล ภูธาวงศ์ อธิบดีกรมปศุสัตว์และประมง กล่าวในระหว่างการประชุมระดับชาติว่าด้วยการลงทุนในการปฏิรูปปศุสัตว์อย่างยั่งยืนในประเทศลาวว่า การส่งออกปศุสัตว์ของลาวในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่ามากกว่า 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้กล่าวเน้นย้ำว่า สปป.ลาว มีศักยภาพอย่างมากในการเพิ่มการผลิตปศุสัตว์เพื่อการส่งออกภายหลังการเปิดทางรถไฟลาว-จีนในปี 2564 ประเทศนี้มีที่ดินขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับโครงการผลิตปศุสัตว์ที่มุ่งสู่ตลาดส่งออก ความต้องการปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ รวมถึงเนื้อสัตว์ นม และไข่ กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศและในตลาดเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจีนและเวียดนาม

ที่มา : https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2023/11/20/laos-seeks-more-investments-to-boost-livestock-exports?fbclid=IwAR2Qz4mZsmQeozsmqfdFhEho-J-gJgddYfbG06n7zObSEwrgY6IkxLKqCrA

‘เวียดนาม’ ตั้งเป้า GDP ปี 67 โต 6-6.5%

สมัชชาแห่งชาติเวียดนาม (NA) ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนาม อยู่ที่กรอบ 6-6.5% และรายได้ต่อหัวอยู่ที่ 4,700-4,7300 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 แต่ว่ารัฐบาลเวียดนามจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อผลักดันให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทั้งนี้ นาย หวู ฮ่ง ทานห์ ประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจของสมัชชาแห่งชาติ กล่าวระหว่างการประชุมว่าสมาชิกสภาผู้แทนมีความกังวลถึงเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่ตั้งเป้า 6.0-6.5% ซึ่งอยู่ในระดับสูง และยังได้แนะนำให้ลดเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5-6%

นอกจากนี้ Shanaka Peiris หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ IMF กล่าวว่าเวียดนามเผชิญกับความยากลำบากจากภาวะการส่งออก อสังหาริมทรัพย์ และการเงิน อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจเวียดนามอยู่ในช่วงฟื้นตัวดีขึ้น

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1636547/2024-gdp-target-of-6-6-5-per-cent-feasible-experts.html

‘เวียดนาม’ พัฒนาทางการเงินร่วมกับออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและสิงคโปร์

นาย โฮ ดึก ฟอก (Ho Duc Phoc) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเวียดนาม ได้หารือกับนายจิม ชาลเมอร์ส เหรัญญิกของออสเตรเลีย รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คนที่ 2 ของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. เนื่องการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC ครั้งที่ 30 ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยการหารือกับออสเตรเลียเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลียจนถึงปี 2040 และความร่วมมือในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเงินที่ยั่งยืน ตลอดจนบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการคลังเวียดนามและออสเตรเลีย

ในขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น ได้รับคำแนะนำให้ดำเนินตามกรอบความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (ODA) ฉบับใหม่ที่ตกลงกันระหว่างการเยือนญี่ปุ่นของนายกฯ รัฐมนตรีเวียดนาม เมื่อเดือน พ.ค.65 นอกจากนี้ รัฐมนตรีของสิงคโปร์กล่าวชื่นชมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศที่มุ่งไปทึ่ความร่วมมือทางการเงิน ศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์ และการจัดการตลาดหลักทรัพย์

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-advances-financial-cooperation-with-australia-japan-singapore/271201.vnp

‘Fitch Ratings’ มองเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเชิงบวก

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’ (Fitch Ratings) คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามปี 2567 ขยายตัวที่ 6.3% และ 7.0% ในปี 2568 ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจเวียดนามในระยะกลางยังคงอยู่ในระดับที่ดีและคงรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากตัวเลขสถิติของสถาบันจัดอันดับ พบว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเวียดนามในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ชะลอตัวลง 4.3% ท่ามกลางอุปสงค์จากต่างประเทศที่อ่อนแอ รวมถึงปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังยืดเยื้อ นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ และยังส่งผลให้ธนาคารกลางหลายแห่งดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ที่มา : https://dtinews.dantri.com.vn/en/news/017/86307/fitch-ratings-remains-optimistic-about-vietnam-s-economic-growth.html

Moc จับมือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน IT จากจีน หวังกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจกัมพูชา

กระทรวงพาณิชย์กัมพูชา (MoC) ร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของจีนอย่าง บริษัท Converge Cloud Co., Ltd. หวังดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาและส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นำโดย Someth Somnea ปลัดกระทรวงกระทรวงการต่างประเทศ ในระหว่างการเป็นประธานในพิธีเปิดตัวบริษัท Converge Cloud ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 พ.ย.) ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ให้เกิดการแพร่หลายและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันบริษัทมีบริษัทคลาวด์รายใหญ่ อย่างเช่น Google, Amazon, Huawei, Alibaba, Tencent, Basihan และ Azure เป็นหลัก ร่วมถึงรัฐบาลให้ความสำคัญด้านอีคอมเมิร์ซ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่เป็นก้าวสำคัญต่อไปในการเร่งความร่วมมือในระดับทวิภาคี พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501387364/moc-join-hands-with-chinese-it-firms-to-boost-economic-growth/