ไทยเนื้อหอมต่างชาติจ่อลงทุนเพียบ เน้นทำเลทองอีอีซี

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2565 หรือ ก.ย. 64-ต.ค. 65 กนอ. มียอดขาย เช่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งที่ร่วมดำเนินการและที่ดำเนินการเอง 2,016.24 ไร่ เพิ่มขึ้น 65.1% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ 1,770 ไร่ แบ่งเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี 1,716.99 ไร่ และนอกพื้นที่อีอีซี 299.25 ไร่ เนื่องจากไทยได้ประกาศเปิดประเทศเป็นทางการ รวมทั้งการสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักของไทยมีความชัดเจน ทำให้นักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศมีความเชื่อมั่น ทยอยเข้ามาต่อเนื่อง ส่วนปี 66 กนอ. ตั้งเป้ายอดขาย หรือเช่าพื้นที่ไว้ที่ 2,500 ไร่ เนื่องจากได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัว และปัจจัยบวกจากทิศทางการเคลื่อนย้ายการลงทุนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ การแพร่ระบาดของโควิด-19 การเกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย และล่าสุดการปฏิรูปการเมืองในประเทศจีน ทำให้หลายอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ จัดระบบการผลิตครั้งใหญ่ ซึ่งไทยมีความได้เปรียบหลายส่วน ส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกหลายบริษัท เล็งเข้ามาลงทุนในไทย สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอันดับแรกที่เข้ามาลงทุน คือ กิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม 22.6%, อุตสาหกรรมยานยนต์ และการขนส่ง 11.06%, อุตสาหกรรมเหล็ก และผลิตภัณฑ์โลหะ 9.33%, อุตสาหกรรมยาง พลาสติก และหนังเทียม 8.85% และอุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักร และอะไหล่ 8.36 % โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่นครองแชมป์สนใจลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่งถึง 31.25% รองลงมา คือ นักลงทุนจากจีน 18.75 และนักลงทุนจากอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ อินเดีย และมาเลเซีย 6.25%

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/1669249/

จีนรุกลงทุนสปป.ลาว 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

คำเจน วงโพสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของ สปป.ลาว กล่าวว่าจีนยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสปป.ลาว ด้วยเม็ดเงินทุนสะสมประมาณ 16.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวม 833 โครงการ โดยการลงทุนของจีนดังกล่าวมีความหลากหลายสาขาธุรกิจและส่วนใหญ่เงินทุนเข้าไปยังธุรกิจขนาดย่อม ขนาดกลางและขนาดใหญ่, รัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน ทั้งนี้ เงินลงทุนหลักที่มีจำนวนมากเข้าไปยังโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ได้แก่ ทางด่วยเวียงจันทร์-วังเวียง, ทางรถไฟสายลาว-จีน, เขตพัฒนาไซเสดถา, เขตเศรษฐกิจบ้านบ่อหาน-บ่อเต็น. สายส่งไฟฟ้าแรงสูงและโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten137_Chinese_y22.php

สิ้นเดือนพ.ค.ของปีงบฯ 65-66 เงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่เมียนมา ดิ่งลง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

คณะกรรมการการลงทุนและการบริหารบริษัทของเมียนมา (DICA) ณ สิ้นเดือนพ.ค.2565 ของปีงบประมาณ 2565-2566 เงินลงทุนจากต่างประเทศเพียง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ไหลเข้าสู่เมียนมา เป็นการลงทุนจากจีนจำนวน 9.017 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไต้หวันระดมทุน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ฮ่องกง 1.215 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และญี่ปุ่น.1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย 6 เดือนแรก สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการลงทุนในเมียนมามากที่สุด มีมูลค่าการลงทุนมากกว่า 297 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ โครงการลงทุนที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาประเทศ เช่น  1) การผลิตปุ๋ย 2) การผลิตปูนซีเมนต์ 3) การผลิตเหล็ก 4) เกษตรกรรมและปศุสัตว์และที่เกี่ยวข้อง: 5) การผลิตอาหารและสร้างมูลค่าเพิ่ม 6) การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า7) การผลิตยาและอุปกรณ์การแพทย์  และ 8) การขนส่งสาธารณะ

ที่มา : https://news-eleven.com/article/232391

“ประยุทธ์” ร่วม Nikkei Forum ชู 3 ประเด็นอาเซียนเดินหน้าเศรษฐกิจ ลงทุนยั่งยืน

นายกฯ กล่าวปาฐกถาในการประชุม Nikkei Forum ครั้งที่ 27 ที่ญี่ปุ่น ชู 3 เรื่องสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้แก่ กระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ต้องสนับสนุนระบบพหุภาคีต่อไป การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจจะต้องเกิดควบคู่ไปกับความยั่งยืน อีกทั้งแนะให้อาเซียนผลักดันบทบาทของอาเซียนสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในรูปแบบพหุภาคี การรวมกลุ่มความร่วมมือและสร้างเศรษฐกิจยั่งยืน ทั้งนี้มองควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนักลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นมาลงทุน EV  – ดาต้าเซนเตอร์ – BCG

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/business/1006559

โบรกเกอร์ประเมิน ”เศรษฐกิจไทย” ซึมยาวถึงปี’70 การลงทุนหดตัว อสังหา อ่วมต้นทุนพุ่ง 10-15%

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) กล่าวว่า จาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกแถลงการณ์ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยเป็นตัวเลขสรุปล่าสุดในไตรมาสที่ 1/2565 โดย IMF คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 8 คือจะเติบโตเพียง 3.3% โดยจากข้อมูลสรุปได้ว่า  ประเทศที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัวต่ำกว่าไทย มีอัตราการเติบโตสูงกว่าไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซียและกัมพูชา ยิ่งกว่านั้นประเทศที่ร่ำรวยกว่าไทย เช่น บรูไน มาเลเซียและสิงคโปร์ ก็มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าไทยเช่นกัน การนี้แสดงว่าประเทศไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจเท่าที่ควร การที่เศรษฐกิจไทยยังไม่มีวี่แววที่จะ “รุ่งเรือง” แบบก้าวกระโดด เช่น กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย อาจทำให้ประเทศเหล่านี้แซงไทยไปได้ในด้านรายได้ประชาชาติต่อหัวในอนาคต และยิ่งทำให้การลงทุนจากต่างประเทศถูกแย่งชิงโดยประเทศอื่นมากขึ้น การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ก็คงไม่เติบโตอย่างมาก ยกเว้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ส่วนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม ก็คงไม่ได้เติบโตในอัตราสูงเช่นเดิม

ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/news_3299964

การลงทุนในกัมพูชาเพิ่มขึ้น หลังทางการออกกฎหมายรับมือโควิด-19

หลังจากประชากรภายในประเทศกัมพูชาได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในอัตราที่ค่อนข้างสูง และกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปีที่แล้ว ได้มีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนโครงการลงทุนใหม่ในกัมพูชา รายงานโดยสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ซึ่งมีการขอยื่นข้อเสนอการลงทุนใหม่จำนวน 35 โครงการ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 14 โครงการเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายงานระบุว่าโครงการลงทุนที่ได้รับใบอนุญาตสามารถสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นได้กว่า 31,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75 ด้านมูลค่าการลงทุนรวมของโครงการอยู่ที่ 2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 236 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งโครงการการลงทุนใหม่ยังไม่รวมโรงการที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ)

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501060981/kingdoms-new-investments-rise-on-covid-19-handling-law/

กัมพูชากำหนดแผนกลยุทธ์ ดึงนักลงทุนอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม

กัมพูชากำหนดแผนยุทธศาสตร์ ประจำปี 2021-2024 ดึงนักลงทุนระต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมสำคัญของกัมพูชา อาทิเช่น ภาคอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และสินค้าเกี่ยวกับการเดินทาง โดยแผนดังกล่าวยังรวมถึงมาตรการและกรอบยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้เกิดการเติบโตแม้จะอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม ซึ่งปัจจุบันการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปของกัมพูชามีมูลค่ามากกว่า 11.389 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจุบัน GMAC รายงานถึงจำนวนโรงงานผลิตเสื้อผ้าของสมาชิกที่มีกว่า 462 แห่ง, ผลิตรองเท้า 13 แห่ง และผลิตสินค้าสำหรับการเดินทาง 92 แห่ง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501039009/cambodian-garments-footwear-and-travel-goods-strategic-plan-to-entice-investors/

เขตเศรษฐกิจพิเศษ ติลาวา ดึงดูดเม็ดเงินกาลงทุนไปแล้วกว่า 2.149 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำนักงานบริหารจัดการบริษัทและทะเบียนบริษัท (DICA) เผย ณ สิ้นเดือนธ.ค. 2564  มีบริษัท 112 แห่งจาก 18 ประเทศได้ทุ่มเม็ดเงินลงทุนกว่า 2.149 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวาภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยโรงงานประมาณ 102 แห่งสามารถสร้างานปะจำได้มากกว่า 12,000 คน ปัจจุบันเมียนมากำลังดำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษสามแห่ง ได้แก่ ทิละวา จ่อพยู และทวาย ซึ่งติละวาเป็นผู้นำและต้นแบบในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้นและธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ขระที่ Myanmar Thilawa SEZ Holdings Public Ltd. เปิดเผยว่า ธุรกิจมากกว่า 60 % ในเมืองติลาวาเป็นผู้ประกอบการด้านการผลิตในประเทศ และ 40% เป็นผู้ผลิตที่เน้นการส่งออก ซึ่งภาคการผลิตมีเม็ดเงินการลงทุน จากต่างประเทศมากที่สุด ที่เหลือจะลงทุนในภาคการค้า บริการอื่นๆ การขนส่ง การโรงแรมและการท่องเที่ยว และภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่งของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน คิดเป็นสัดส่วน 33% ของการลงทุนทั้งหมด รองลงมาคือสิงคโปร์และไทย

ที่มา: https://www.gnlm.com.mm/thilawa-sez-attracts-over-us2-149-bln-so-far/

กัมพูชาอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 9 โครงการ ด้วยเงินทุนกว่า 43 ล้านดอลลาร์

สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (CDC) ได้ประกาศโครงการลงทุนใหม่ 9 โครงการ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว ด้วยเงินทุนมากกว่า 43 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะสร้างงานให้กับคนในท้องถิ่นได้มากกว่า 10,000 คน ตามการรายงานของ CDC โดยทาง CDC ได้ออกใบรับรองให้กับโครงการลงทุนของบริษัทดังต่อไปนี้ 1.COMO APPAREL CO., LTD. ด้วยเงินลงทุนประมาณ 14.7 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 2,947 ตำแหน่ง 2.LEONA (CAMBODIA) CO., LTD. ด้วยเงินลงทุน 5.8 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 1,530 ตำแหน่ง 3.SINCERE SEASON (CAMBODIA) GARMENT CO., LTD. ด้วยเงินลงทุน 5.6 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 720 ตำแหน่ง 4.POWERFUL RICHES GARMENT (CAMBODIA) CO., LTD. ด้วยเงินลงทุนประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 743 ตำแหน่ง 5.GREEN BAG (CAMBODIA) CO., LTD. ด้วยเงินลงทุน มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 1,544 ตำแหน่ง 6.GLOBAL SUPPLY REDWOOD CO., LTD. ด้วยเงินลงทุนประมาณ 3 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ่งงาน 758 ตำแหน่ง 7.INKYUNG WONDANG APPAREL CO., LTD. ด้วยเงินลงทุนประมาณ 3 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงาน 617 ตำแหน่ง และตามคำร้องขอลงทุนของบริษัทอีก 2 แห่ง ซึ่งทำการขอจัดตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) กัมพูชา ด้วยเงินลงทุนรวม 1.18 ล้านดอลลาร์ สร้างการจ้างงานราว 190 ตำแหน่ง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501006166/cambodia-approves-nine-new-investment-projects-with-a-capital-of-more-than-43-million/

กระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง ลงนามข้อตกลงโครงการน้ำระยะที่ 3

กรมประปาของกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งและมูลนิธิ East Meets West ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อดำเนินการระยะที่สามของโครงการ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก Charity: Water มูลค่า 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  เป้าหมายคือการผลิตน้ำ 7,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน 37,379 คน จาก 6,712 ครัวเรือนใน 36 หมู่บ้าน โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลโดยดูแลให้หมู่บ้านขนาดใหญ่และอำเภอเล็กๆ สามารถเข้าถึงน้ำและสุขอนามัยที่ยั่งยืนและเท่าเทียมกัน นางวิไลคำ โภศาลา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงโยธาธิการและคมนาคมกล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 ของรัฐบาล ประจำปี พ.ศ. 2564-2568 ซึ่งมุ่งสร้างเงื่อนไขที่จูงใจให้เอกชนเข้ามาลงทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของลาว ในปี 2564 มีโรงงานประปาจำนวน 174 แห่ง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 681,322 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ตั้งอยู่ที่ 111 แห่ง ใน 1,480 หมู่บ้าน 117 อำเภอ ผู้คนมากกว่า 1.8 ล้านคนได้รับประโยชน์จากแหล่งน้ำ คิดเป็นร้อยละ 77.4 ของผู้อยู่อาศัยในเขตเมือง หรือประมาณ 26.35 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด” ทั้งนี้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ระบุว่าร้อยละ 90 ของผู้อยู่อาศัยในเมืองหลวงของจังหวัดและเขตเมืองหลักควรสามารถเข้าถึงน้ำที่มีการบริหารจัดการอย่างปลอดภัย กระจายอย่างกว้างขวาง เชื่อถือได้ และราคาสมเหตุสมผลภายในปี 2573

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Ministry_07_22.php