เวียดนามน่าจะยังคงความสามารถทางการแข่งขันไว้ได้ แม้ค่าเงินดองมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะข้างหน้า

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

รายงานว่าด้วยการบิดเบือนค่าเงินเพื่อหวังผลทางการค้า (Currency Manipulation) รอบล่าสุดที่เปิดเผยในเดือนธันวาคม 2563 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุให้เวียดนามเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน ภายใต้กฎหมายภายในของสหรัฐฯ ทั้ง 3 เกณฑ์ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากกระบวนการแทรกแซงค่าเงินดองของเวียดนามที่ทางสหรัฐฯ ติดตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนได้จากยอดซื้อเงินตราต่างประเทศสุทธิของเวียดนามสูงถึงร้อยละ 5.1 ต่อ GDP[1] (สูงกว่าเกณฑ์ที่ร้อยละ 2.0 ต่อ GDP) นอกเหนือจาก 2 เกณฑ์หลักซึ่งได้แก่ มูลค่าการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ และยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งอยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด

ค่าเงินดองที่อ่อนค่าเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่เอื้อให้การส่งออกสินค้าต่างๆ ของเวียดนามที่มีความได้เปรียบในการผลิตอยู่แล้วมีแรงดึงดูดการลงทุนมากกว่าคู่แข่งประเทศอื่น ทำให้เวียดนามสามารถผลิตและส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี การที่เวียดนามได้ถูกสหรัฐฯ กล่าวหาเรื่องบิดเบือนค่าเงิน จะมีผลให้การดำเนินการในการแทรกแซงค่าเงินในระยะข้างหน้าเป็นไปได้ยากขึ้น อีกทั้ง เมื่อพิจารณาโครงสร้างดุลการชำระเงินที่น่าจะอยู่ในทิศทางเกินดุลสูง เนื่องจากการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศที่สูง อาจเป็นแรงกดดันที่ทำให้ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) จำเป็นต้องทยอยปรับค่าเงินดองให้แข็งค่าขึ้น (Revaluation) เพื่อลดทอนความเสี่ยงที่อาจจะถูกสหรัฐฯ ปรับใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าเพิ่มเติม

[1] เป็นการติดตามการแทรกแซงค่าเงินในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุดก่อนการรายงาน

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/economy/Pages/z3172-Veitnam.aspx

วิเคราะห์ส่งออก ‘เวียดนาม’ ไม่สะเทือน แม้ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีปั่นค่าเงิน

โดย ศรัณย์ กิจวศิน I THE STANDARD

เวียดนามถือเป็น 1 ใน 2 ประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเป็นประเทศบิดเบือนค่าเงินร่วมกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งทำให้เวียดนามอาจไม่สามารถเข้าดูแลค่าเงินได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ค่าเงินดองมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่ประเด็นนี้อาจไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของเวียดนามมากนัก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางการเวียดนามจะทยอยปรับค่าเงินดองให้สูงขึ้นในช่วง 5-7% สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่พบว่าเวียดนามกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าความเป็นจริง 4.2-5.2% ในปี 2562 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินดองจะไม่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามลดลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากโครงสร้างการผลิตของเวียดนามส่วนมากเน้นการใช้แรงงานเข้มข้น

สำหรับในระยะข้างหน้าด้วยค่าเงินดองมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันให้แข็งค่าต่อเนื่องจากโครงสร้างทางการค้าที่เกินดุล ทางการเวียดนามคงทยอยปรับค่าเงินดองให้แข็งค่าขึ้นในจังหวะที่เหมาะสม อันช่วยให้เศรษฐกิจเวียดนามมีระยะเวลาในการปรับตัวเพียงพอต่อทิศทางการแข็งค่าของเงินดองในระยะข้างหน้า ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดทอนผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกสินค้าและการตัดสินใจลงทุนในระยะยาวของนักลงทุน ขณะที่ยังสามารถที่จะลดแรงกดดันจากข้อกล่าวหาในการบิดเบือนค่าเงิน

อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวคงไม่ทำให้เวียดนามสูญเสียความได้เปรียบในการทำตลาดส่งออก เนื่องจากหากค่าเงินดองแข็งค่าขึ้นก็น่าจะเอื้อประโยชน์ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าปัจจัยการผลิตขั้นกลางของเวียดนามที่ยังต้องพึ่งพาจากต่างประเทศถึง 54% ของการนำเข้าทั้งหมด ประกอบกับโครงสร้างการผลิตที่เอื้อให้สินค้าเวียดนามมีต้นทุนต่ำ จึงน่าจะบริหารจัดการลดส่วนแบ่งกำไรลงบางส่วนเพื่อรักษาตลาดไว้ได้ ทำให้เวียดนามจะยังคงความสามารถในการแข่งขันในด้านการผลิตและส่งออกไว้ได้อีกระยะหนึ่ง

ที่มา : https://thestandard.co/vietnam-export-not-effecting-united-states-currency/

เวียดนามเผยเดือนพ.ย. ส่งออกเหล็กพุ่ง

ข้อมูลจากสมาคมเหล็กเวียดนาม (VSA) รายงายว่ายอดส่งออกเหล็กของเวียดนามในเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.52 จากช่วงเดียวกันเดือนก่อน และร้อยละ 40 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยปริมาณมากกว่า 478,300 ตัน ในขณะที่ การผลิตเหล็กทุกชนิดสูงถึง 2.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การผลิตเหล็ก ยอดขายและการส่งออก ยังคงอยู่ในระดับทรงตัวหรือไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ โดยเฉพาะการผลิตเหล็กในช่วงเวลาดังกล่าว เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ประกอบกับยอดขายลดลงราวร้อยละ 1 และการส่งออกลดลงร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับปี 2562 นอกจากนี้ เศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายนมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี ขณะเดียวกัน การดำเนินธุรกิจ การผลิต การค้าและการบริโภค ยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการผลักดันตลาดเหล็กไปข้างหน้า

  ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/steel-exports-surge-in-november/193498.vnp

เวียดนามก้าวเป็นผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่อันดับที่ 6 ไปสหราชอาณาจักร

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ระบุว่าเวียดนามเป็นผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ อันดับที่ 6 ไปยังตลาดสหราชอาณาจักร (UK) มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 422 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.6 ของส่วนแบ่งการตลาดนำเข้า เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญ คาดว่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากความตกลงการค้าเสรีสหราชอาณาจักร-เวียดนาม (UKVFTA) ซึ่งเมื่อข้อตกลงมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้ไม้และผลิตภัณฑ์ทำมาจากไม้ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ภายในระยะเวลา 5 ปีจากภาษีปัจจุบันร้อยละ 2-10 ทั้งนี้ ความต้องการผลิตภัณฑ์ไม้ของเวียดนามมีอยู่สูง เนื่องจากเทรนด์ของสินค้าดังกล่าวขายได้ดีในตลาดสหราชอาณาจักร สาเหตุสำคัญมาจากมีความสามารถทางด้านราคาในระดับสูงและเป็นสินค้าคุณภาพดี

ที่มา : https://vov.vn/en/economy/vietnam-becomes-sixth-largest-furniture-exporter-to-the-uk-825611.vov

เวียดนามนำเข้ารถยนต์เดือนพ.ย. ลดลง 11%

กรมศุลกากรเวียดนาม (GDVC) เปิดเผยว่าในเดือนพฤศจิกายน เวียดนามนำเข้ารถยนต์ 12,237 คัน เป็นมูลค่า 273 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 นำเข้าจากไทย อินโดนีเซียและจีน มีจำนวน 5,927 , 3,823 และ 1,204 คัน ตามลำดับ ในขณะที่ ช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามนำเข้ารถยนต์ทั้งหมดอยู่ที่ 92,261 คัน ลดลงร้อยละ 30.5 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งนี้ ตามตัวเลขสถิติของสำนักงานข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าในเดือนพฤศจิกายน เวียดนามนำเข้าอุปกรณ์และชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นมูลค่า 427 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากเกาหลีใต้ 113 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาไทย 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, ญี่ปุ่น 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ (VAMA) ระบุว่ายอดขายรถยนต์ในเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 36,359 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ด้วยจำนวนทั้งหมด 246,768 คัน

  ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-car-imports-down-11-in-november-315439.html

โควิด-19 ทุบอุตสาหกรรมการบินของเวียดนาม ทรุดหนัก

ตามรายงานของสำนักการบินพลเรือนเวียดนาม (CAAV) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ระบุว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปยังทั่วโลกและสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการเดินทาง ทำให้จำนวนผู้โดยสารในปีนี้ทรุดลงหนัก โดยในปี 2563 สายการบินเวียดนามรองรับจำนวนเที่ยวบิน 340,000 เที่ยวบิน หดตัวร้อยละ 31.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน ตัวเลขประมาณการผู้โดยสารในปีนี้ อยู่ที่ 66 ล้านคน ต่ำกว่าปีที่แล้วร้อยละ 43.5 ทั้งนี้ ในปี 2564 คาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อยังคงร้ายแรง ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้บริการสายการบินในประเทศและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานและดำเนินขั้นตอนขององค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการสายการบินแห่งชาติ ‘Vietnam Airlines’ รวมถึงสายการบินเอกชน ‘Vietjet’ และ ‘Bamboo Airlines’ ได้ร้องขอการสนับสนุนจากรัฐบาลและการกู้เงินรีไฟแนนซ์ โดยสายการบินดังกล่าว ประเมินถึงสถานการณ์ว่าอุตสาหกรรมการบินจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2566 อย่างเร็วที่สุด

ที่มา : http://hanoitimes.vn/covid-19-takes-a-heavy-toll-on-vietnam-aviation-industry-in-2020-315448.html

‘แบงก์ชาติ’ โต้สหรัฐ เวียดนามบิดเบือนค่าเงิน

ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) แถลงการณ์เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ว่าการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อยู่ภายใต้กรอบนโยบายการเงินแบบทั่วไป มีเป้าหมายเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค และไม่สร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในการค้าระหว่างประเทศ ข้อมูลข้างต้นนั้น เพื่อโต้กระทรวงการคลังสหรัฐ ที่ระบุว่าเวียดนามกับสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศบิดเบือนค่าเงิน ทั้งนี้ ทางธนาคารกลางเวียดนาม เปิดเผยว่าการเกินดุลการค้ากับสหรัฐและเกินดุลบัญชีเดินสะพัด เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง อีกทั้ง ประเด็นในการการเข้าซื้อสกุลเงินต่างชาติ ธนาคารกลางเวียดนามมีเป้าหมายเพื่อให้ตลาดเงินตราต่างประเทศมีความราบรื่น มีส่วนช่วยในการรักษาเสียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคและการสำรองเงินตราต่างประเทศ

  ที่มา : https://vietreader.com/business/27250-vietnam-rejects-currency-manipulator-label.html

5 สัญญาณบ่งชี้จากเวียดนาม ที่ไทยต้องเร่งยกระดับความสามารถในการแข่งขัน

โดย ดร. กำพล อดิเรกสมบัติ I ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน I Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ในบทความก่อน ๆ เราเคยมีการพูดถึงแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (scarring effects) ที่วิกฤต COVID-19 จะทิ้งผลกระทบไว้กับเศรษฐกิจไทย ซึ่งเราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องค่อย ๆ จัดการกับแผลเป็นเหล่านี้ด้วยการปรับตัวให้เข้ากับบริบททางธุรกิจและเศรษฐกิจหลัง COVID-19

นอกจากเรื่องของแผลเป็นแล้ว COVID-19 ยังจะเป็นตัวเร่งสำคัญหนึ่ง ร่วมกับสงครามการค้าและเทคโนโลยี รวมถึงการเร่งตัวของการใช้ digital technology ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตของโลก (global supply chain rearrangement) ซึ่งมีการคาดกันว่าส่วนหนึ่งจะทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกมาจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงการกระจุกตัวของฐานการผลิต

คำถามคือแล้วบริษัทที่จะย้ายฐานการผลิตออกมาจากจีนซึ่งมีทั้งบริษัทขนาดใหญ่และเล็ก และเป็นบริษัทจากหลายประเทศจะย้ายฐานการผลิตไปที่ไหน ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะได้รับประโยชน์ และจากการศึกษาของ SCB EIC ก็พบว่าเวียดนามจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลบวกจากการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องด้วยความสามารถทางการแข่งขันของเวียดนามที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านต้นทุนค่าแรง การพัฒนาทุนมนุษย์ ที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้กับจีน สิทธิประโยชน์ทางภาษี ข้อตกลงทางการค้ากับนานาประเทศ และโครงสร้างการส่งออก

ดังนั้น EIC จึงยังคงมุมมองทางบวกต่อเศรษฐกิจเวียดนามในระยะกลาง สำหรับไทย แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องเร่งยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่พูดกันมานานแล้วแต่อาจจะยังไม่ค่อยได้ทำ (execute) กันมากเท่าที่พูด แต่มาถึงจุดนี้เราช้าไม่ได้แล้วครับ และ EIC ขออนุญาตชี้ถึงสัญญาณน่ากังวล 5 ข้อ เปรียบเทียบระหว่างเวียดนามและไทยที่บ่งชี้ว่าเราต้องรีบแล้วครับ

สัญญาณแรก : มูลค่า FDI เข้าเวียดนามเติบโตสูงและเข้าลงทุนในภาคการผลิตเป็นหลัก ในขณะที่ FDI เข้าไทยค่อนข้างผันผวน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นและจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ลงทุนหลักในไทยยังขยายการลงทุนในเวียดนามมากขึ้นในระยะหลัง

สัญญาณที่สอง : เวียดนามได้พัฒนาความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกอย่างมีนัย

สัญญาณที่สาม : ช่องว่างระหว่างค่าแรงไทยและเวียดนามมีแนวโน้มลดลงในระยะข้างหน้า เนื่องจากกำลังแรงงานในไทยลดลงต่อเนื่อง สวนทางกับผลิตภาพแรงงานเวียดนามที่เติบโตสูงขึ้น

สัญญาณที่สี่ : ความสามารถทางการแข่งขันของเวียดนามด้านทักษะทางวิชาการและวิชาชีพคาดว่าจะพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง

สัญญาณที่ห้า : เวียดนามมีข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมประเทศคู่ค้ามากกว่าไทย

ประเทศไทยจึงต้องเร่งนำยุทธศาสตร์เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง (Execution) ยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยเป็นสิ่งจำเป็นที่ได้ผ่านการถกเถียงและวิเคราะห์มาเป็นเวลานานและเป็นวงกว้าง ในด้านผลิตภาพแรงงาน ปัญหาทักษะแรงงานที่ไม่ตรงความต้องการตลาดและคุณภาพการศึกษาเป็นประเด็นสำคัญในวงสัมมนาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ในช่วง 2-3 ปีล่าสุด การเพิ่มทักษะและปรับเปลี่ยนทักษะแรงงาน (Upskill and Reskill) ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดก็เป็นประเด็นสำคัญในเวทีเสวนาต่าง ๆ จำนวนมาก ในประเด็นของข้อตกลงทางการค้า ประเทศไทยในปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาสนธิสัญญาการค้าใหม่หลายฉบับ แต่ตราบใดที่เรายังไม่ได้นำเอายุทธศาสตร์เพิ่มขีดความสามารถไปปฏิบัติ หรือบรรลุข้อตกลงทางการค้า ผลประโยชน์จากการศึกษาก็จะไม่เกิดขึ้นจริง

อ่านต่อ : https://www.scbeic.com/th/detail/product/7283