เวียดนามส่งออกผักผลไม้ไตรมาสแรก 836 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (MARD) ระบุว่ามูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนามในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ที่ 836 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 10.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์สำคัญที่มีมูลค่าลดลง ได้แก่ แก้วมังกร กล้วย ลำไย แตงโม ทุเรียนและเห็ดหอม เป็นต้น จีนยังคงเป็นผู้นำเข้าผักและผลไม้รายใหญ่ที่สุดจากเวียดนาม ด้วยมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 29.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในขณะเดียวกัน ตลาดอื่นๆ ยังมีการเติบโตเล็กน้อยตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนมีนาคม อาทิ อินโดนีเซีย ไทย สปป.ลาว รัสเซียและกัมพูชา ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เผยว่าในปี 2562 ภาคอุตสาหกรรมผักผลไม้เผชิญกับความลำบาก เนื่องจากจีนมีข้อกำหนดที่เข็มงวดในการนำเข้าหลายอย่างจากเวียดนาม ผ่านการกักตุนสินค้าและการตรวจสอบย้อนกลับ อย่างไรก็ตาม หลายตลาดยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ อาทิ อาเซียน สหรัฐฯและสหภาพยุโรป

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/fruit-vegetable-exports-reach-836-million-usd-in-q1/171613.vnp

การส่งออกประมงเมียนมาชะลอตัว

การส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงขอเมียนมาเกือบจะหยุดชะงักตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของ COVID-19 และโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ประมงแช่แข็งกำลังประสบปัญหาในการดำเนินงาน ปัจจุบันมีการระงับการสั่งซื้อในหลายประเทศ ส่วนข้อตกลงการสั่งซื้อได้หยุดการเจรจาลงและข้อตกลงที่มีอยู่ปัจจุบันถูกระงับ ผลิตภัณฑ์ประมงจากทะเลส่วนใหญ่ส่งออกไปยังยุโรปและประเทศในเอเชีย ขณะที่ ผลิตภัณฑ์น้ำจืดถูกส่งออกไปยังประเทศอาหรับ ปัจจุบันโรงงานแปรรูปที่มีแรงงานจำนวนมากอาจไม่สามารถจ่ายค่าแรงได้หากสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด COVID-19 จึงมีการแนะนำให้เมียนมาพิจารณาในแนวทางดังกล่าว ระหว่างเดือนตุลาคม 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ของปีงบประมาณปัจจุบันเมียนมาส่งออกผลิตภัณฑ์ทางทะเลเกือบ 340,000 ตันมูลค่ามากกว่า 412 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (572 พันล้านจัต)

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/exports-fisheries-products-slow-crawl.html

เอ็กซิมแบงก์ใจถึงพักต้น-ดอกยาว6เดือน ช่วยผู้ส่งออก

เอ็กซิมแบงก์ ใจถึงลุยพักหนี้ ทั้งต้น-ดอกยาว 6 เดือนช่วยผู้ส่งออก พร้อมให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำใช้หมุนเวียน ผ่อนยาว 7 ปี วงเงิน 20 นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกมาตรการดูแลลูกที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดโดยให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน โดยขณะนี้ได้ติดต่อไปยังลูกค้าโดยตรงและได้พักต้นพักดอกไปได้แล้วกว่า 1,400 ราย วงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท และหากรายใดทำประกันการส่งออกไปยังผู้ซื้อประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามประกาศขององค์การอนามัยโลก จะยืดเวลาจ่ายเบี้ยคุ้มครองสูงสุดถึง 270 วัน นอกจากนี้ธนาคารยังช่วยเหลือผู้ส่งออก ที่เป็นลูกค้าและไม่ใช่ลูกค้าเอ็กซิมแบงก์ให้สามารถขอสินเชื่อระยะยาวดอกเบี้ยต่ำได้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกวงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท ชำระคืน 7 ปี  ดอกเบี้ย 2% ต่อปีในปีที่ 1-2 และฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน บสย. 2 ปีแรก แต่ถ้าต้องการวงเงินเกิน 20 ล้านบาท จะต้องขอกู้ไปลงทุน ลักษณะสินเชื่อระยะยาว 7 ปี ดอกเบี้ย 2% ต่อปีใน 2 ปีแรก วงเงินสูงสุดถึง 100 ล้านบาทได้…

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/economic/767381

กลยุทธ์ส่งออก ฝ่าโควิด-19 ดันสินค้า Essential-Online Exhibition

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการค้าโลก ทำให้โอกาสที่การส่งออกปี 2563 จะขยายตัว 3% ตามเป้าหมาย เริ่มจะห่างไกลออกไป แม้ว่าจะเปิดฉากมาในเดือนมกราคม 2562 ที่บวกถึง 3.35% แต่ล่าสุดสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) รายงานว่า การส่งออกไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2563 มูลค่า 20,641 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.47% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 16,745 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.30% ส่งผลให้การค้าไทยเกินดุล 3,897 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยพิจารณาการส่งออกรายสินค้าพบว่า สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 3.0% จากการหดตัวของการส่งออกข้าว ในตลาดสหรัฐและจีน ผัก ผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูป หดตัวจากตลาดจีน ส่วนสินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป จากผลพวงปัญหาการระบาดของ โควิด-19 ส่งผลให้ตลาดส่งออกสำคัญหลายตลาดหดตัว อาทิ จีน ติดลบ 2% ฮ่องกง ลบ 3% ญี่ปุ่น ลบ 7% ขณะที่สหรัฐ ลดลง 37% ต่ำสุดเนื่องจากฐานการส่งออกของสหรัฐในปีที่ผ่านมาขยายตัวจากการส่งออก “อาวุธ” และเป็นที่น่าสังเกตว่า ตลาดอาเซียนภาพรวม ขยายตัว 6.1% โดยเฉพาะตลาด CLMV ขยายตัว 5.8%

ที่มา : นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 – 29 มี.ค. 2563

ดูไบมองกัมพูชาเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการส่งออก

กัมพูชาถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำหรับการส่งออกของดูไบตามรายงานของหอการค้าและอุตสาหกรรมประเทศดูไบ เป็นการบ่งชี้เพิ่มเติมของตลาดในเอเชียที่กำลังขยายตัวในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีอินโดนีเซียและมาเลเซียร่วมด้วย โดยประเทศไทยและสิงคโปร์ถือเป็นประเทศมีศักยภาพมากที่สุดสำหรับการค้าทวิภาคีในอนาคตของดูไบ ภายใต้ข้อตกลงในปี 2560 กัมพูชาส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าไปยังดูไบ ซึ่งคาดว่าจะขยายโอกาสในการดึงดูดภาคธุรกิจทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเน้นการเสริมสร้างการส่งออกสินค้าเกษตร โดยภาคธุรกิจของกัมพูชาอาจจะได้รับความสนใจมากขึ้นจากโอกาสที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งได้แรงหนุนจากปัจจัยหลายด้าน เช่น เขตปลอดภาษี การถือครองกรรมสิทธิ์ในต่างประเทศได้เต็มรูปแบบและ การยกเว้นภาษีนำเข้า-ส่งออก  รวมถึงความสัมพันธ์ทางการค้าที่เพิ่มขึ้นของกัมพูชากับดูไบบ่งบอกถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่น่าประทับใจในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อคงที่อยู่ในระดับต่ำและอัตราความยากจนลดลงเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบการและภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกัมพูชาและมีส่วนเพิ่มศักยภาพต่อไปในอนาคตอย่างต่อเนื่อง

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50704647/dubai-eyes-trade-with-asean-members-including-cambodia/

อินเดียนำเข้าถั่วดำ 400,000 ตันจากเมียนมา

รัฐบาลอินเดียประกาศเมื่อวันที่ 19 มีนาคมว่าจะซื้อถั่วดำสีดำเพิ่มอีก 400,000 ตันซึ่งรู้จักกันในชื่อ matpe จากเมียนมาในปีงบประมาณ 2563-2564 มีแนวโน้มว่าพวกเมียนมาจะเพิ่มโควต้าการส่งออก จากยอดขาย 250,000 ตันเมื่อปลายปีที่แล้วยังเหลืออีก 40% ที่จะต้องส่งออกไปยังอินเดีย ความต้องการ matpe ยังมีอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาอยู่ที่ระหว่าง 900,000 จัต ถึง 1 ล้านจัตต่อตันในขณะที่ราคาของถั่วแระซึ่งอินเดียหยุดการนำเข้าลดลงเหลือ 700,000 จัตต่อตัน ฤดูเก็บเกี่ยวของถั่วดำ อยู่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงสิ้นเดือนเมษายน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/india-import-400-000-tonnes-black-gram-myanmar.html

น้ำมันดิ่ง-โควิด ทุบยอดส่งออก ก.พ.2563 พลิกเป็นลบ 4.47% จากเดือนก่อนบวก 3.35%

ส่งออกไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ลดลง 4.47% ผลจากราคาน้ำมันลดลง แต่ทั้งนี้ ยังเชื่อมั่นทั้งปี 2563 ว่าการส่งออกไทยยังมีโอกาสขยายตัวเป็นบวกได้ รับปัญหาโควิด-19 ยังประเมินทิศทางผลกระทบส่งออกเร็วไปรอติดตามสถานการณ์สักระยะ การส่งออกไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ลดลง 4.47% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าอยู่ที่ 20,641 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการราคาน้ำมันปรับตัวลดลง และฐานการส่งออกอาวธในช่วงซ้อมรบในปีก่อน แต่หากดูเฉพาะมูลค่าการส่งออกถือว่ามูลค่าการส่งออกของไทยยังทรงตัวดีมีมูลค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 19,871 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างปี 2558-2562 อย่างไรก็ดี หากหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย การส่งออกของไทยในเดือนนี้ยังขยายตัวอยู่ที่ 1.51% ขณะที่ การนำเข้ามีมูลค่า 16,745 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.30% ส่งผลให้การค้าไทยเกินดุล 3,897 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ดี การส่งออก 2 เดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ของปี 2563 ไทยส่งออกส่งออกลดลง 0.81% มีมูลค่าอยู่ที่ 40,267 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้การค้าไทยเกินดุลอยู่ที่ 2,341 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 3.0% สินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ยางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งปรุงรสอาหาร ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ส่วนสินค้าที่หดตัว เช่น ข้าว ผลจากตลาดสหรัฐและจีน ผัก ผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูป หกตัวจากตลาดจีน น้ำตายทราย เป็นต้น ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัว 5.2% สินค้าที่ยังขยายตัวดี เช่น ทองคำ ขยายตัวทุกตลาด เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภันฑ์ยาง สินค้าที่ส่งออกหดตัว เช่น อาวุธ กระสุน รวมทั้งส่วนประกอบ ซึ่งหดตัวจากตลาดสำหรับ สิงคโปร์ อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน โดยจะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันโลกผันผวนปรับตัวลดลง เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภันฑ์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี สำหรับการส่งออกไปในตลาดสำคัญในช่วงปัญหาโควิด-19 นั้น หดตัวไปในหลายตลาด เช่น สหรัฐ เนื่องจากปีที่ผ่านมาฐานการส่งออกอาวุธสูง แต่ในปี 2563 ลดลง ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น อย่างไรก็ดี สำหรับทิศทางการส่งออกในเดือนมีนาคม 2563 แม้อาจจะลอตัวอยู่บ้างแต่เชื่อว่าการส่งออกในครึ่งปีแรก 2563 จะกลับมาขยายตัวดี จากสถารการณ์ของจีนดีขึ้นจะมีผลต่อการเร่งนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรและอาหาร และชดเชยจากการส่งออกในตลาดสหรัฐและยุโรป เริ่มชะลอตัวลงจากปัจจัยเรื่องของโควิด-19 ทั้งนี้ หากจะให้การส่งออกของไทยทั้งปี 2563 ต้องการให้ขยายตัวอยู่ที่ 0% ไทยต้องส่งออกเฉลี่ยต่อเดือน 20,598 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหากต้องการให้โต 2% ไทยต้องส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-436313

วิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันการส่งออกไทยในกัมพูชา

วิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันการส่งออกของไทยในกัมพูชา Download

วิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันการส่งออกไทยในสปป.ลาว

วิเคราะห์ศักยภาพการแข่งขันการส่งออกไทยในเมียนมา