หัวเว่ย จ่อลงทุน “ดาต้าเซนเตอร์” ในไทย ดิจิทัลฮับอาเซียน

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ประเทศไทย ประกาศแผนจะลงทุน 700 ล้านบาท เพื่อสร้างศูนย์คอมพิวเตอร์  ขึ้นในประเทศไทย ในปี 2021 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของหัวเหวยในการสนับสนุนไทยให้เป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียน อาเบล เติ้ง ผู้บริหารหัวเหวยประเทศไทย กล่าวในงานแถลงข่าว “Powering Digital Thailand 2021: Huawei Cloud and Connect” ว่าจำนวนเงินลงทุนดังกล่าวเทียบเท่ากับเงินลงทุนทั้งหมดของศูนย์คอมพิวเตอร์แห่งแรกของหัวเหวยในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในปี 2018“ พันธกิจของเราคือการเติบโต และสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย” อาเบลกล่าวว่าเขาเชื่อว่าหัวเหวยสามารถช่วยให้ไทยทำเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนเป็นจริงได้ ด้วยเทคโนโลยีโซลูชันแบบครบวงจร และประสบการณ์ในภาคอุตสาหรรมเทคโนโลยีของตน และหัวเหวยมีการเติบโตอย่างมหาศาลในภาคเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย โดยเริ่มจากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งสะท้อนจุดมุ่งหมายของไทยในการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน ผู้บริหารหัวเหวยประเทศไทยยังกล่าวว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยนั้นพร้อมแล้วที่จะทำให้ไทยก้าวมาเป็นผู้นำ เพราะความพยายามของรัฐบาลไทยที่ช่วยเร่งการวางระบบ5จี (5G) ผ่านการประมูลใบอนุญาต 5G ในเดือนกุมภาพันธ์ “เรามั่นใจใน ศักยภาพของไทยที่จะก้าวมาเป็นศูนย์กลางดิจิทัลแห่งแรกในอาเซียน ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีสัดส่วนร้อยละ 30 ของจีดีพีภายในปี 2030” อาเบลปิดท้าย

ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9630000117212

ยันไทยชาติแรกในอาเซียนมี 5G เชิงพาณิชย์ ครอบคลุม EEC เกือบทั้งหมดแล้ว

รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร ย้ำประเทศไทยก้าวสู่ยุค 4.0 ปลื้มเป็นประเทศแรกในอาเซียนใช้ 5G เชิงพาณิชย์ ยันรัฐบาลจริงจังลุยแผนพัฒนาดิจิทัลฯ หนุนพัฒนาประเทศในทุกมิติ โดยเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิดงานสัมมนา “Powering Digital Thailand 2021” จัดโดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท หัวเว่ยเทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท บางกอกโพสต์ จำกัด (มหาชน) ในระหว่างวันที่ 11-14 พ.ย. 2563 ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศอาเซียนพัฒนาเทคโนโลยี 5G มาใช้ในเชิงพาณิชย์ ขณะนี้ครอบคลุมพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก หรือ EEC เกือบทั้งหมดแล้ว ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลโดยเฉพาะระบบ 5G ระบบคลาวด์และเอไอจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลภูมิภาค จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคต นำไปสู่การต่อยอดนวัตกรรมแบบไม่มีที่สิ้นสุด

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/1974383

สปป.ลาวจับมืออาเซียนหนุนแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการทำงาน

สปป.ลาวและประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนจะเสริมสร้างการประสานงานในการดำเนินการตามแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยในการทำงานและการจัดการความเสี่ยงด้านสุขภาพทั่วทั้งภูมิภาค สปป.ลาวยังแสดงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนโยบายและมาตรการด้านแรงงานเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถานที่ทำงานและอำนวยความสะดวกในการกลับไปทำงานอย่างปลอดภัยหลังการแพร่ระบาด และส่งเสริมความร่วมมือการเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของพนักงานในการเตรียมความพร้อมสำหรับวิกฤตสังคมและเศรษฐกิจในอนาคต และขีดความสามารถที่สูงขึ้นสำหรับอนาคตของการทำงาน ข้อมูลนี้ได้รับการถ่ายทอดโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมระหว่างการประชุม ALMM + 3 ครั้งที่ 11 ผู้เข้าร่วมได้ใช้ลำดับความสำคัญ 5 ปีของความร่วมมืออาเซียนบวกสามด้านแรงงานในช่วงปี 64-68 ที่ประชุมยังเห็นพ้องกับแผนงานของอาเซียนสำหรับการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด แนวปฏิบัติของอาเซียนว่าด้วยเพศที่เป็นกระแสหลักในนโยบายแรงงานและการจ้างงาน ด้านความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยงอาชีวอนามัยสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งกลับและการกลับคืนสู่สภาพเดิมของแรงงานข้ามชาติและโครงการทำงานของรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนปี 64-68 การประชุมคณะทำงานเจ้าหน้าที่แรงงานอาวุโส ปรับปรุงแผนปฏิบัติการของฉันทามติอาเซียนด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิแรงงานข้ามชาติ  และยังตกลงที่จะขยายการเข้าถึงของคนงานทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ตกงานหรือได้รับรายได้น้อยไปยังโครงการประกันสังคมและความช่วยเหลือทางสังคมเพื่อดำรงชีวิตอยู่

ที่มา :  http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Laos_213.php

ไทยยืนหนึ่งในอาเซียนด้านโครงการ Digital Transformation

“เจโทร” พร้อมหนุน 7 โครงการนำร่องด้านนวัตกรรมดิจิทัล “Digital Transformation” ในประเทศไทย เผยจำนวนโครงการที่ได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากญี่ปุ่นในประเทศไทยนั้นจัดอยู่ในอันดับต้นของอาเซียน โดยทางเจโทรอนุมัติโครงการทั้งหมด 23 โครงการ ซึ่งโครงการทั้ง 7 โครงการในประเทศไทยนั้น ครอบคลุมสาขาที่มีความหลากหลาย อาทิ โครงการด้านการเกษตร การประมง การแพทย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ พลังงาน ซึ่งที่ผ่านมา เจโทร กรุงเทพฯได้ให้การสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด และเจโทรจะยังคงดำเนินกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือบริษัทญี่ปุ่นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศไทยให้มากยิ่งขึ้นต่อไปกล่าวโดยประธานเจโทร กรุงเทพฯ

ที่มา : https://www.thansettakij.com/content/world/454561

ใช้สิทธิการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีลดฮวบ

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการใช้สิทธิประโยชน์ สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) ในเดือน ม.ค.-ก.ค.63 ว่า มูลค่าการใช้สิทธิรวมเท่ากับ 35,421.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 14.77% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 77.94% แบ่งเป็นเอฟทีเอ 32,875.25 ล้านเหรียญฯ ลด 15.88% และจีเอสพี 2,546.60 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 2.61% ทั้งนี้ “แม้ภาพรวมการใช้สิทธิลดลง แต่สินค้าบางรายการของไทยยังส่งออกได้ต่อเนื่อง ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และเกษตรแปรรูป แม้มีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโควิด-19 สินค้าที่ขยายตัวได้ดี เช่น เครื่องดื่มที่ไม่เติมแก๊ส เช่น นม ผลไม้สดต่างๆ ทั้งทุเรียน มังคุด มะม่วง อาหารปรุงแต่ง น้ำผลไม้ ปลาทูน่าปรุงแต่ง อาหารปรุงแต่งที่ทำจากเกล็ดธัญพืช เต้าหู้ปรุงแต่ง ซอสปรุงแต่ง กุ้ง ข้าวโพดหวาน ปลาสคิปแจ็ก เป็นต้น” นอกจากนี้ การใช้สิทธิเอฟทีเอนั้น ตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 11,152.89 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 3.84% รองลงมาอาเซียน ญี่ปุ่น ออสเตรเลียและอินเดีย ขณะที่การใช้สิทธิจีเอสพี 4 ระบบ คือ สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/market-business/1962459

สหรัฐฯ เสาะหาโอกาสการลงทุนในเวียดนาม

นาย Adam Boehler ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหน่วยงานความร่วมมือทางการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (DFC) กำลังเดินทางไปอินโดนีเซีย เวียดนามและเมียนมา เพื่อแสวงหาโอกาสทางการลงทุน ตั้งแต่วันที่ 23-27 ต.ค. ซึ่งกำหนดการมาพบปะกับเจ้าหน้าที่รัฐฯและผู้บริหารธุรกิจเวียดนาม เพื่อศึกษาโอกาสทางการลงทุนและยกระดับความร่วมมือ รวมถึงกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามอีกด้วย ทั้งนี้ นาย Boehler ได้ไปเยือนเวียดนามเมื่อเดือนม.ค.ของปีนี้ และกล่าวกับนายกรัฐมนตรีเหงียน ซวน ฟุก ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการประสานความร่วมมือกับเวียดนามอย่างมาก ทั้งนี้ เขายังแสดงความมุ่งมั่นที่จะลงทุนในเวียดนาม โดยเฉพาะด้านพลังงาน สุขภาพและโครงสร้างพื้นฐาน ในขณะที่ เวียดนามเข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2563 และทางหน่วยงาน DFC ต้องการร่วมมือกับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อ 5 ประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

  ที่มา : https://vov.vn/en/economy/us-mission-explores-investment-opportunities-in-vietnam-812825.vov

เวียดนามส่งออกไปอาเซียน โตต่ำ 5.26%

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) เปิดเผยว่าในปีนี้ เวียดนามส่งออกไปยังอาเซียนอยู่ที่ 23.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อัตราการขยายตัวในปี 2559-2563 คาดว่าจะขยายตัวในระดับต่ำที่ร้อยละ 5.26 ซึ่งจากตัวเลขสถิติ ชี้ให้เห็นว่ามูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเวียดนามไปอาเซียน คาดว่าจะอยู่ที่ 55.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.4 ของยอดการส่งออกและนำเข้าของเวียดนามทั้งหมด โดยอาเซียนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของเวียดนามอันดับที่ 5 ของคู่ค้าต่างประเทศ หากแบ่งรายประเทศ พบว่าไทยและมาเลเซียเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามกว่า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาอินโดนีเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ฟิลิปปินส์และสปป.ลาว ทั้งนี้ สินค้าส่งออกสำคัญของเวียดนามไปอาเซียน ได้แก่ โทรศัพท์และชิ้นส่วน, เหล็กทุกชนิด, คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรและส่วนประกอบ, ยานยนต์และอะไหล่, เสื้อผ้า สิ่งทอและข้าว เป็นต้น ในขณะเดียวกัน สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ ผักและผลไม้, ขนมและธัญพืช, อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม, ยาง,  วัสดุพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ นอกจากนี้ ในปี 2562 มูลค่าการนำเข้า-ส่งออกของเวียดนามไปยังอาเซียนอยู่ที่ 57.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลการค้ากับอาเซียน 6.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับปี 2561

ที่มา : http://export.vccinews.com/detail/26004/vietnamese-exports-to-asean-grow-at-low-rate-of-5-26.html

หัวเว่ยดันไทยดิจิทัลฮับอาเซียนแนะรัฐลงทุน-ลุย 5G เพิ่มจีดีพีประเทศ

รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด บรรยายพิเศษ “ดิจิทัลอีโคซิสเต็มยกระดับศักยภาพไทยสู่ศูนย์กลางภูมิภาค” ในงานสัมมนา “เศรษฐกิจดิจิทัล พลิกฟื้นประเทศ” จัดโดย บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ว่าการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งบริษัทมองเป้าหมายให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียนทั้งนี้ จากการศึกษาของนักวิเคราะห์มองว่าการลงทุนด้านไอทีซี 16-20% จะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ประมาณ 1% หลายประเทศนำดิจิทัลอีโคโนมีมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งไทยยังพึ่งพาค่อนข้างน้อย ไม่ถึง 20% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไทยเริ่มเข้าสู่โครงข่ายเทคโนโลยี 5G มากขึ้น ทำให้ไทยสามารถผลักดันจีดีพีประเทศสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยสำหรับดิจิทัลอีโคโนมีไม่ใช่เรื่องใหม่ และหลังจากนี้จะมีความสำคัญมาก ซึ่งในต่างประเทศเริ่มมีการพัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาโครงข่าย 4G และ 5G รวมถึงไทยซึ่งเป็นกลุ่มประเทศแรกๆ ที่เริ่มขับเคลื่อน 5G เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ถือว่าไทยเลยขั้นแรกมาแล้ว อยู่ในช่วงของการเตรียมความพร้อมเรื่อระบบคลาวด์ รวมถึงนำดาต้าเซ็นเตอร์เข้ามาใช้งาน และสุดท้ายจะนำเอไอเข้ามาใช้

ที่มา : https://www.matichon.co.th/economy/news_2405565

IMF ฟันธง “เศรษฐกิจไทย” รอดตำแหน่งบ๊วยอาเซียน

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะติดลบ 7.1% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะติดลบ 7.7% ขณะที่เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์จะติดลบ 8.3% ในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขคาดการณ์ต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ส่วนปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 4.0% ส่วนเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียน-5 ซึ่งประกอบด้วยไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คาดเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะหดตัว 1.5% ในปีนี้ และขยายตัว 6.1% ในปีหน้า, มาเลเซียจะหดตัว 6.0% ในปีนี้ และขยายตัว 7.8% ในปีหน้า, ฟิลิปปินส์จะหดตัว 8.3% ในปีนี้ และขยายตัว 7.4% ในปีหน้า ส่วนเวียดนามเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีการขยายตัวในปีนี้ โดยอยู่ที่ระดับ 1.6% ขณะที่ปีหน้าขยายตัว 6.7% IMF ยังคาดการณ์ว่าไทยมีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในอาเซียน โดยทรงตัวที่ระดับ 1.0% ในปีนี้ และปีหน้า เช่นเดียวกับในปี 2562

ที่มา : https://www.thansettakij.com/content/money_market/452697

แนวโน้มท่องเที่ยวอาเซียนบูมยุคนิวนอร์มอล

ทราเอ็กซ์เอเชีย(TraXasia) ผู้เชี่ยวชาญด้านการโฆษณาในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เปิดเผยรายงานแนวโน้มนักท่องเที่ยวประจำไตรมาส 4 ปี 2563 ชี้การท่องเที่ยวระยะใกล้จะได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคนิวนอร์มอล ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจีนจะยังคงเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค ตามมาด้วยเกาหลีใต้ ขณะไทยติดโผจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวขาเข้าที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา และคาดว่าการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากการท่องเที่ยวระยะใกล้จะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในช่วงของการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดทั่วโลก นอกจากนี้ จากผลสำรวจยังพบด้วยว่า จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำที่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปีนี้ ได้แก่ เวียดนาม (โฮจิมินห์ ฮานอย ดานัง) มาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์ ปีนัง โคตาคินาบาลู) และ ไทย (กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่)

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/902272