สปป.ลาว-เวียดนามกระชับความสัมพันธ์การค้ามากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะมีการระบาด Covid-19

มูลค่าการส่งออกของสปป.ลาวไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นในปี 63 แม้ว่าจะมีการระบาด Covid-19 ก็ตาม โดยในปี 62 มูลค่าการส่งออกจากสปป.ลาวไปเวียดนามในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 757.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 758 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าลดลงจาก 458 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 62 เหลือ 410 ล้านเหรียญสหรัฐใน 9 เดือนของปี 63 ในขณะเดียวกันทั้งสองฝ่ายจะเพิ่มความพยายามในการส่งเสริมการค้าทวิภาคีในปี 63 โดยคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 10-15% สินค้าหลักที่ส่งออกไปยังเวียดนาม ได้แก่ น้ำดื่ม แร่ธาตุ ผลิตภัณฑ์จากไม้และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่นยางพารา กาแฟ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ข้าวและวัว ด้านการนำเข้า จะเน้นกลุ่มสำคัญ เช่น ปิโตรเลียม ปุ๋ย เหล็ก เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้างและชิ้นส่วนอะไหล่ เวียดนามยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3ของสปป.ลาวและนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่อันดับ 3 ในสปป.ลาว รองจากไทยและจีน ธุรกิจของเวียดนามได้ลงทุนในโครงการ 413 โครงการในสปป.ลาวมูลค่ารวม 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เหมืองแร่ การขนส่ง สวนป่าอุตสาหกรรม และบริการซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของทั้งสองประเทศ รัฐบาลสปป.ลาวหวังว่าการนำเข้าและการส่งออกรวมกันของประเทศจะบรรลุเป้าหมายในแผน โดยรัฐบาลสปป.ลาวได้ตั้งเป้าหมายการค้ารวมไว้ที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 63 และเนื่องจากวิกฤต Covid-19 มีการแก้ไขเป็น 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2020/11/07/laos-and-vietnam-strengthen-ties-more-than-us12bil-in-trade-agreements-despite-pandemi

ญี่ปุ่นวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะในกัมพูชา

บริษัทญี่ปุ่นได้ลงทุนบนโรงไฟฟ้าพลังงานจากขยะและสถานีกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในกัมพูชา โดย Mikami Masahiro เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชาในการพบปะกับ Suy Sem รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเหมืองแร่และพลังงานในพนมเปญเมื่อต้นสัปดาห์ ซึ่งเอกอัครราชทูตกล่าวว่าการระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างมากทั่วโลกและส่งผลกระทบต่อโครงการพัฒนาหลายโครงการในกัมพูชา แต่อย่างไรก็ตามความสำคัญคือกัมพูชาและญี่ปุ่นยังคงทำงานร่วมกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านการเจรจาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงการลงทุนระหว่างสองประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมีความยินดีกับโครงการลงทุนของญี่ปุ่นในภาคพลังงานโดยเน้นว่ากัมพูชากำลังปรับแผนการจัดหาไฟฟ้าเพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาอย่างรวดเร็วของประเทศ ซึ่งโครงการพลังงานไฟฟ้าจากขยะในกัมพูชาได้รับการเสนอโดยบริษัทหลายแห่ง แต่เนื่องจากมีต้นทุนการลงทุนที่สูงเมื่อเทียบกับโครงการพลังงานอื่นๆ จึงยังไม่มีการลงทุนอุตสาหกรรมนี้เกิดขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50780638/japan-unveils-plan-to-build-waste-to-energy-plant-in-cambodia/

เวียดนามเผยหนี้เสียพุ่ง เหตุโควิด-19

ธนาคารพาณิชย์ 15 แห่ง เผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ปี 63 พบว่าจำนวน 14 แห่ง มีหนี้เสีย (NPL) พุ่งร้อยละ 30 หรือมากกว่านั้น ในขณะที่ ธนาคารเพื่อการลงทุนและพัฒนาของเวียดนาม (BIDV) มีหนี้เสียเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ด้วยมูลค่า 22.5 ล้านล้านด่อง ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาผู้ให้กู้ทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้นำธนาคาร กล่าวว่าจำนวนหนี้คุณภาพต่ำเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อหลายธุรกิจประสบปัญหาทางการเงิน เนื่องจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและความต้องการสินค้าและบริการหดตัวลง อย่างไรก็ตาม นาย Nguyen Tri Hieu นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่าหนังสือเวียนของแบงก์ชาติเวียดนาม เดือนมี.ค. ได้อนุมัติให้ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืมท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัส และขยายเวลาระยะคืนทุน

 ที่มา : https://vietreader.com/business/22446-non-performing-loans-surge-due-to-pandemic.html

ปศุสัตว์ ปลื้มโควิดดันส่งออกหมูพุ่ง 344 %

ปศุสัตว์ ชี้นโยบายอาหารปลอดภัย ผนึกโควิด ทำตลาดต่างประเทศอ้าแขนรับ ดันส่งออก หมู เพิ่ม 344 % 1.3 หมื่นล้านบาท ด้านไก่ เพิ่ม 0.67 % มูลค่า 8.9 หมื่นล้านบาท รุ่ง ตลาดต่างประเทศอ้าแขนรับ ภาพรวมการผลิตและการส่งออกสินค้าปศุสัตว์สำคัญ โดยเฉพาะหมูและไก่เนื้อในช่วงที่ผ่านมา ไทยถือเป็นประเทศที่มีความโดดเด่นในระดับโลกด้านมาตรฐานความปลอดภัยในอาหาร (Food Safety ทำให้สินค้าปศุสัตว์ไทยเป็นที่ต้องการในตลาดโลก สะท้อนจากความสามารถในการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงม.ค.- ต.ค. 2563 การส่งออกสุกรและผลิตภัณฑ์ของไทย ในส่วนของสุกรมีชีวิตปริมาณรวม 2 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 344.30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกสุกรขุน 1,9 ล้านตัวและส่งออกสุกรพันธุ์ 1แสนตัว ขณะที่การส่งออกเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ รวมถึงชิ้นส่วนอื่นๆ รวม 4.3 หมื่นล้านตัน มูลค่า5.1 พันล้านบาท สำหรับการส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ ในช่วง 10 เดือนของปี 2563 ไทยมีปริมาณการส่งออกรวม 7.69 แสนตัน มากกว่าช่วงเดียวของปีก่อนหน้า 0.67% มูลค่ารวม 8.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นเนื้อไก่แปรรูป 58.50% ปริมาณ 4.5 แสนตัน มูลค่า 6.2 หมื่นล้านบาท และเนื้อไก่สด 41.50% ปริมาณ 3.1 แสนตัน มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท โดยตลาดสำคัญของเนื้อไก่แปรรูป คือ ญี่ปุ่น อังกฤษ และอียู ขณะที่เนื้อไก่สดมีญี่ปุ่น จีน และอียู เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญ

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/906584

โควิดทุบลงทุน ‘เมียนมา’ คลายมนต์ขลัง

การที่เมียนมาเปิดประเทศได้กลายเป็นขุมทรัพย์ที่คอยดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก แต่ ณ เวลานี้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ถือว่ามาแรงและเร็วที่สุดในอาเซียน โดยในช่วงเพียงชั่วเวลาไม่กี่สัปดาห์ยอดจำนวนผู้ติดเชื้อ “เมียนมา” ขยับขึ้นเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ซึ่งส่งผลต่ออนาคตการเป็นแหล่งลงทุน ความเลวร้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนมีการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 นี้ ยังคงเดินหน้าจัดการเลือกตั้งต่อไปท่ามกลางอนาคตเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ความมั่นคงทางการเงินและเสถียรภาพทางการคลังยังอยู่จุดเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

ล่าสุดธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจขยายตัวลดลงเหลือ 1% เปรียบเทียบกับกับเดือนเมษายนที่อาจจะขยายตัว 4.2% และจะฟื้นตัวในปี 2564 ที่สำคัญกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยต่างจากต่างชาติ (FDI) ที่อาจต้องชะลอตัวลง ในเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 134,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 99,904 ล้านบาท โครงการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และโรงงานอุตสาหกรรม แต่จากเกิดภาวะดีมานด์-ซัพพลายช็อค และการระบาดของโควิด 19 ที่ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ต้องหยุดชะงักลง

ก่อนหน้านี้ในรายงานเรื่องความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก (WorldBank) ประจำปี 2563 ได้จัดอันดับให้เมียนมาอยู่ที่อันดับ 165 จากทั้งหมด 190 ประเทศ แสดงถึงความน่าลงทุนน้อยที่สุดในอาเซียน จากปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่นในระดับสูงและกฎระเบียบที่ยุ่งยาก ความตึงเครียดทั้งจากสถานการณ์โควิด 19 และแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ทำให้รัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งวางนโยบายเพื่อดึงดูดทุนต่างชาติที่อาจจะหันเหไปประเทศเพื่อบ้านอย่าง ประเทศเวียดนาม ไทย หรือกัมพูชา

ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนแล้ว ยังมีความได้เปรียบในการเป็นแหล่งลงทุนใหม่ สามารถเติบโตได้อีกมาก ทั้งความอุดมสมบูรณ์ด้านวัตถุดิบ ต้นทุนแรงงานต่ำ เพียงแต่สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติต้องการ คือการสร้างระบบกฎหมายที่เป็นมาตรฐาน การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจสร้างบรรยากาศการลงทุน ทั้งเรื่องการจัดตั้งธุรกิจที่สะดวกและรวดเร็ว การจ้างงาน การหาลูกค้า และนักลงทุนต่างก็คาดหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมหากเข้าไปลงทุนอีกด้วย

ที่มา: https://www.bangkokbanksme.com/en/covid-affects-myanmar-investment

สำรวจเศรษฐกิจกลุ่ม CLMV ยัง ‘ฟื้นตัว’ แตกต่างกันจากพิษโควิด-19

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ระบุว่า เศรษฐกิจกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ปี 2563 หลังเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายน 2563 ทั้งนี้เศรษฐกิจ CLMV ยังคงฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง โดยระดับการฟื้นตัวที่แตกต่างกันมากขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการฟื้นตัวแบบช้าๆ และไม่ทั่วถึงของเศรษฐกิจโลก อัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น ระดับการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 และประสิทธิภาพของมาตรการรองรับ รวมทั้งปัจจัยเฉพาะในรายประเทศที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ โดยเศรษฐกิจเวียดนามกลับมาฟื้นตัวได้ดี ด้วยแรงหนุนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจลาวยังเผชิญแรงกดดันจากข้อจำกัดในการทำนโยบายการคลัง (Fiscal Space) และความเสี่ยงที่สูงขึ้นในประเด็นการผิดชำระหนี้ สำหรับเมียนมา การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ที่กลับมาเข้มงวดขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจเมียนมามีแนวโน้มฟื้นตัวต่ำกว่าคาดการณ์ในปีงบประมาณ 2020/2021

ที่มา : https://thestandard.co/the-clmv-economic-survey-continued-to-recover/

แรงกดดันทางเศรษฐกิจสำหรับการเปิดพรมแดนอีกครั้งระหว่างกัมพูชาและไทย

ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของประเทศไทยในปัจจุบันประกอบกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากอุทกภัยในกัมพูชาทำให้ทางการของทั้งสองประเทศจำเป็นต้องเปิดพรมแดนให้กับแรงงานข้ามชาติอีกครั้ง โดยพรมแดนระหว่างกัมพูชาและไทยถูกปิดตั้งแต่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลในเรื่องของการอพยพข้ามพรมแดนจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด-19  ซี่งธนาคารโลกระบุว่ามีแรงงานอพยพกลับมายังกัมพูชามากกว่าประมาณ 120,000 คน เดินทางกลับจากประเทศไทยนับตั้งแต่เกิดการระบาดขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มแรงงานที่มีทักษะต่ำ ซึ่งทางการไทยได้วางแผนให้กลุ่มแรงงานชาวกัมพูชาเข้ามาทำงานในโกดังเก็บผลไม้ที่ตั้งอยู่บริเวณด่านพรมแดนถาวรสำหรับคนงานในอำเภอโป่งน้ำร้อนของไทย โดยเชื่อมโยงกับจังหวัดพระตะบองของกัมพูชาได้ทดลองเข้ามายังพื้นที่ของไทยประมาณ 500 คน ตามรายงานในท้องถิ่นกระบวนการคัดกรองการตรวจสุขภาพและการกักกันจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 193 ดอลลาร์ต่อคน แต่จะลดลงเหลือเพียง 86.76 ดอลลาร์หากถูกกักกันในพื้นที่ที่ทางรัฐบาลไทยได้กำหนดไว้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50779039/economic-pressure-for-kingdom-and-thailand-to-reopen-borders/

เมืองกัมปอตของกัมพูชาได้รับการลงทุนในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น

วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) หลายแห่งทั่วกัมพูชากำลังปิดตัวลงแต่บางกลุ่มธุรกิจในกำปอตยังคงเป็นบวกเนื่องจากการลงทุนในท้องถิ่นมีจำนวนมากขึ้นทำให้เมืองชายฝั่งยังคงเติบโตได้ โดยมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายทั่วเมืองกัมปอตตั้งแต่บาร์ ร้านอาหาร เกสต์เฮาส์ ไปจนถึงบริษัททัวร์ อย่างไรก็ตามกิจการใหม่จำนวนมากมุ่งเป้าไปที่ตลาดในประเทศโดยเฉพาะ เนื่องจากขาดการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังจากได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ซึ่งในช่วงหกเดือนแรกของปี 2020 จังหวัดกัมปอตได้ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจำนวน 838,000 คน ในขณะที่ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวมาเยือนยังกัมพูชาถึง 1,090,000 คน ตามข้อมูลของกรมการท่องเที่ยวจังหวัดกัมปอต

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50778639/kampot-receives-more-local-investment/

รัฐบาลจะขจัดอุปสรรคและปรับปรุงบรรยากาศทางธุรกิจเพื่อดึงดูดการลงทุนในสปป.ลาว

รัฐบาลได้ให้คำมั่นที่จะขจัดอุปสรรคและปรับปรุงบรรยากาศทางธุรกิจเพื่อดึงดูดการลงทุนในสปป.ลาวจากนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น รัฐบาลตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจหลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้นโดยรัฐบาลสปป.ลาวจะมีการดำเนินนโยบายกระตุ้นการลงทุนผ่านนโยบาย “3 เปิด” ไปสู่การปฏิบัติซึ่งเกี่ยวข้องกับ“ เปิดใจ”“ เปิดประตู” และ“ อุปสรรคที่เปิดกว้าง”  การลงทุนถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สปป.ลาวที่รัฐบาลกำลังพยายามผลักดันให้มีขยายตัวต่อเนื่องเห็นได้ชัดในหลาย 10 ปีที่ผ่านมาที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากมายโดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนคิดเป็นมูลค่าแล้วกว่า 26,127 พันล้านกีบคิดเป็นร้อยละ 50.7 ของการลงทุนทั้งหมดในสปป.ลาว Mr. Sonexay Siphandone รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนกล่าวเพิ่มเติม “ ในอนาคตเงินลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศจะมาจากภาคเอกชนซึ่งจำเป็นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสปป.ลาว” ดร. Sonexay กล่าวว่ารัฐบาลจะนำนโยบาย“ เปิดสามครั้ง” ไปสู่การปฏิบัติซึ่งเกี่ยวข้องกับ“ เปิดใจ”“ เปิดประตู” และ“ อุปสรรคที่เปิดกว้าง”

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt_vows_214.php

เวียดนามเผยดัชนีผลผลิตอุตฯ ต.ค. ยังคงเพิ่มขึ้น

จากรายงานของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตทางอุตสาหกรรม (IIP) ของเวียดนามในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและร้อยละ 5.4 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สถานการณ์การระบาดของโรคโคโรนา (COVID-19) ในเวียดนามได้รับการควบคุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กิจกรรมการผลิตของภาคอุตสาหกรรมขยายตัว และส่งผลในทิศทางที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ดัชนี IIP เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแปรรูปและการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ภาคการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ในขณะที่ ภาคเหมืองแร่ลดลงร้อยละ 8.1

  ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/october-index-of-industrial-production-continues-to-rise/189644.vnp