ข้อสรุปความตกลงด้านการค้าเสรีระหว่างจีนกับกัมพูชา

กัมพูชามีสินค้าส่งออกไปยังจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 340 รายการ ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างกัมพูชากับจีน ส่งผลให้มีสินค้าภายใต้ FTA ณ ปัจจุบันจำนวนมากกว่า 10,000 รายการ โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรมและสินค้าแปรรูปทางการเกษตร ในขณะที่ประเทศจีนได้รับอนุญาตให้ส่งออกสินค้าไปยังประเทศกัมพูชามากกว่า 9,500 รายการ ซึ่งข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีระหว่างกัมพูชา – จีนจะลงนามในไม่ช้า ภายในต้นปีหน้า คาดว่าจะส่งผลให้มีการลงทุนภายในกัมพูชาเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามกัมพูชาไม่ควรพึ่งพาจีนเพียงอย่างเดียว โดยในระยะยาวคาดว่าประเทศส่วนใหญ่ที่กำหนดเป้าหมายทำการค้าไปยังตลาดจีนจะเข้ามาลงทุนในกัมพูชามากขึ้น ซึ่งเขตการค้าเสรีจะสร้างโอกาสสำหรับกัมพูชาในการยกระดับอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อกระจายผลิตภัณฑ์สำหรับการส่งออก

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50749528/free-trade-deal-with-china-finally-finalised/

ผู้ค้าแตงโมเมียนมาประเมินความต้องการในฤดูการส่งออก

สมาคมผู้ปลูก ผู้ผลิต และผู้ส่งออกแตงโมเมลอนเมียนมา เผยกลยุทธ์ที่จะผลิตเพื่อการส่งออกและคาดการณ์ว่าจะสูญเสียรายได้ในปีที่จะมาถึงนี้  จากผลของ COVID-19 ผู้ส่งออกแตงโมมีผลขาดทุนเป็นจำนวนมากจากการสูญเสียและความต้องการที่ลดลงในเขตชายแดนเมียนมา- จีนในปีนี้ โดยปกติฤดูกาลส่งออกแตงโมจะเริ่มในเดือนกันยายนและอย่างเร็วในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม มีการคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอดีตที่ผ่านมามีการส่งออกแตงโมมากกว่า 800,000 ตันและตอนนี้เหลือเพียง 500,000 ตันเท่านั้น ผลไม้ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังจีนที่เขตชายแดน ก่อนการระบาดของ COVID-19 แตงโมและแตงกวาคือการส่งออกผลไม้หลักและรายได้เพิ่มขึ้นทุกปีเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ในปีนี้การส่งออกลดลงถูกชดเชยด้วยอุปสงค์กล้วยที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปีตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์ รายได้จากการส่งออกผลไม้ของเมียนมาสูงถึง 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งมีแม้จะมีการระบาดของ COVID-19 หากไม่มีการระบาดเมียนมาจะมีรายได้จากการส่งออกผลไม้เพิ่มขึ้นในปีนี้หากมีการจัดเก็บรักษาที่เหมาะสมของชายแดนเมียนมา – จีน

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-traders-gauge-demand-melons-upcoming-export-season.html

บริษัทญี่ปุ่น 15 ราย ย้ายสายการผลิตจากจีนไปยังเวียดนาม

“เวียดนามคาดว่าจะดึงดูดการลงทุนจากบริษัทญี่ปุ่น 15 แห่งที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและทำให้ห่วงโซ่อุปทานเกิดความหลากหลาย” กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) เปิดเผยรายชื่อบริษัท 87 แห่งที่ได้รับเงินทุน 70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดำเนินโครงการ ตามรายงานของสำนักข่าว Nikkei Asian Review ทั้งนี้ มีบริษัท 30 แห่งที่ย้ายฐานการผลิตไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว รวมทั้งเวียดนามและสปป.ลาว ขณะที่ อีก 57 แห่งมึจุดหมายอยู่ที่ญี่ปุ่น โดยเป้าหมายของการย้ายสายการผลิตดังกล่าว เพื่อที่จะลดการพึ่งพาการผลิตของญี่ปุ่นในจีน ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ เวียดนามยังเป็นจุดมุ่งหมายของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หลังจากเวียดนามควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) และไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระดับชุมชนนานกว่า 3 เดือน

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/15-japanese-firms-to-move-china-production-lines-to-vietnam-416280.vov

สปป.ลาว, จีนเพื่อร่วมมือในโครงการลดการปล่อย CO2

สปป.ลาวและจีนจะร่วมมือในโครงการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยการสร้างพื้นที่สาธิตการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ (CO2) ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจไชยเชษฐา (SDZ) นครเวียงจันทน์ บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของสปป.ลาว และกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีน โดยลงนามทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองฝ่าย ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีทั้งสองและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่างสองประเทศ พื้นที่สาธิตการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำใน SDZ  โครงการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งรัฐบาลสปป.ลาวและจีนได้มอบหมายให้ SDZ ดำเนินการและพัฒนา มันเป็นหนึ่งใน 10 โครงการสาธิตการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำของจีนในประเทศกำลังพัฒนา พื้นที่สาธิต SDZ จะดำเนินการตามแผนการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำเป็นแบบจำลองสำหรับการขนส่งโดยใช้ยานพาหนะไฟฟ้าและช่วยเหลือภาคอื่น ๆ รวมถึงการสื่อสารโครงการสาธารณะเพื่อเสริมสร้างความพยายามในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสปป.ลาวและสนับสนุนแผนการพัฒนาที่ยั่งยืน และจะมีการสนับสนุนพื้นที่ใน SDZ โดยการสร้างแผนโครงการรวมถึงจัดหาอุปกรณ์ก่อสร้างและยกระดับความเชี่ยวชาญในการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำผ่านการฝึกอบรมและกิจกรรมอื่น ๆ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Lao_China_to138.php

สปป.ลาวจะเพิ่มการส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศจีน

รัฐบาลสปป.ลาวได้ร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ และผู้ประกอบการในการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มการส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งกระทรวงเกษตรและป่าไม้สปป.ลาวรายงานว่าประเทศมีรายรับ 560 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 62 จากการส่งออกสินค้าเกษตรโดย 80% ของสินค้าถูกขายไปยังประเทศจีน ซึ่งได้รับประโยชน์จากโควต้าข้าว 50,000 ตันและวัว 500,000 ตัวต่อปี นอกจากนี้กระทรวงได้เจรจาต่อรองโอกาสทางการตลาดและควบคุมสภาวะสุขอนามัยสำหรับพืชส่งออกและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องไปยังประเทศจีน ขณะนี้กระทรวงกำลังประสานงานกับกรมศุลกากรของจีนเพื่อร่างเงื่อนไขและข้อกำหนดสำหรับการส่งออกใบยาสูบแห้ง เสาวรสและส้ม ทั้งสองฝ่ายยังเตรียมเอกสารเกี่ยวกับการเปิดตลาดสำหรับทุเรียน ลำไย แก้วมังกร ขนุนและลูกเดือย ขณะนี้ 3 บริษัทดำเนินการเสร็จสิ้นไปกว่า 90 % ของศูนย์กักกันปศุสัตว์ที่สามารถประมวลผลสัตว์ 228,000 ตัวต่อปีเพื่อการส่งออกและรอทีมเทคนิคจากจีนเพื่อตรวจสอบและยืนยันสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้งานอย่างเป็นทางการ เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้า จะประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติและผู้ประกอบการเพื่อร่วมมือกับจีนในการเจรจารายการสินค้าเกษตร และกระทรวงจะร่วมมือกับจีนในการตรวจสอบด่านชายแดนระหว่างประเทศและระดับท้องถิ่นระหว่างสองประเทศ เพื่อให้แน่ใจในการส่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งผัก ผลไม้สด

ที่มา : http://www.xinhuanet.com/english/2020-07/15/c_139214642.htm

ครม.เห็นชอบแถลงการณ์ร่วม รมต.อาเซียน-จีนเสริมสร้างการขนส่งสู้โควิด-กระตุ้นศก.

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ว่าด้วยการเสริมสร้างการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ราบรื่นเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 และการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้ รมว.คมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโควิด-19 ด้วยระบบการประชุมทางไกล ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 16 ก.ค.นี้ แถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวแสดงออกถึงความมุ่งมั่นระหว่างอาเซียนและจีนในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก การเดินทางและการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการผลิต การค้าปลีก การคมนาคม และการบริการด้านอื่นๆ รวมทั้งห่วงโซ่อุปทานและตลาดการเงินหยุดชะงัก สาระสำคัญ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ไม่ให้เกิดอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้าที่จำเป็นข้ามพรมแดน รวมถึงอาหาร ยาและเวชภัณฑ์สำคัญ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และสินค้าและบริการอื่นๆ อำนวยความสะดวกในการเข้า ออก และผ่าน ของวัสดุและสินค้า ให้ความสำคัญต่อการเดินเรืออย่างปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสข้ามพรมแดน และลดความเสี่ยงของกลุ่มที่นำเชื้อโรคเข้าประเทศ รวมทั้ง อาเซียนและจีน จะอำนวยความสะดวกในการเตรียมการเดินทางโดยค่อย ๆ ลดข้อจำกัดด้านการเดินทางแต่ยังคงเคารพซึ่งการป้องกันสุขภาพ โดยอาเซียนและจีนเห็นพ้องถึงความสำคัญที่จะต้องสร้างความสมดุลระหว่างความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/news/2020-b451b842b5809ae67c3bef48c86fe410

จีนมอบใบอนุญาตส่งออกข้าวให้กับ 43 บริษัทของเมียนมา

ศุลกากรของจีนได้มอบใบอนุญาตส่งออกข้าวให้แก่ 43 บริษัทของเมียนมา โดยได้อนุมัติใบอนุญาตไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ต้นเดือนมีนาคมจีนเริ่มจำกัดการนำเข้าจากเมียนมาไปยังบริษัทที่จดทะเบียนกับทางการจีนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่งจีนถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ของเมียนมาและจะส่งผลดีในระยะยาว เกษตรกรสามารถได้รับราคาข้าวและข้าวหักที่ราคาดีขึ้น การส่งออกข้าวไปยังจีนสูงถึงหนึ่งล้านตันต่อปี แต่ลดลงเหลือประมาณ 40,000 ถึง 50,000 ตัน หลังจากข้อจำกัดมีผลบังคับใช้ ก่อนปี 2558  จีนกำหนดโควตาการขายข้าวโดยอนุญาตให้บริษัทของเมียนมาเพียง 11 แห่ง ในอดีตการส่งออกข้าวของเมียนมา 60% ถูกส่งออกไปยังจีนและตอนนี้ก็เหลือเพียง 30% จีนและเมียนมาจัดการประชุมผ่านการประชุมทางวิดีโอเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ Belt and Road Initiative การพัฒนาอีคอมเมิร์ซระหว่างสองประเทศ การค้า เศรษฐกิจ และอื่น ๆ  การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือระหว่างมณฑลยูนนานและเขตมัณฑะเลย์ในการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลอีคอมเมิร์ซและการลดความยากจน ทั้ง 2 ประเทศต้องการที่จะดำเนินการโครงการเหล่านี้โดยเร็วที่สุดและเป็นเขตเศรษฐกิจชายแดน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/china-grants-rice-export-licences-43-myanmar-companies.html

ไฟเขียวต่างชาติลงทุนไทย มิ.ย.63 จำนวน 22 ราย

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า เดือนมิ.ย.2563 คณะกรรมการฯ ได้อนุญาตให้คนต่างชาติ 22 ราย ประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน มีการนำเงินเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจ 1,587 ล้านบาท ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนไทย 3,575 คน และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุน โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่วนใหญ่เป็นองค์ความรู้ในแขนงที่คนไทยยังไม่มีความชำนาญหรือมีความเชี่ยวชาญในระดับที่ไม่สูงมากนัก เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานในที่อับอากาศและการถ่ายเทสารเคมีในหอกลั่นสูงที่มีความกดอากาศตามมาตรฐานยุโรป องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องกำเนิดไอน้ำที่ใช้หลักการแลกเปลี่ยนความร้อน (HRSG system) องค์ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมเพื่อออกแบบและพัฒนาคุณภาพชิ้นส่วนยานยนต์ และโปรแกรมเพื่อการตรวจและทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ และองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยงของสินทรัพย์ เป็นต้น สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาต ได้แก่ 1.ธุรกิจบริการโดยเป็นคู่สัญญากับเอกชน จำนวน 4 ราย โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น และจีน มีเงินลงทุนจำนวน 542 ล้านบาท 2.ธุรกิจบริการให้แก่บริษัทในเครือ/ในกลุ่ม จำนวน 6 ราย โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์ มีเงินลงทุนจำนวน 632 ล้านบาท 3.ธุรกิจนายหน้า ค้าปลีก ค้าส่ง จำนวน 7 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ฟินแลนด์ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์  มีเงินลงทุนจำนวน 181 ล้านบาท  4.ธุรกิจบริการให้แก่ลูกค้า จำนวน 5 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากประเทศสวิส ซามัว อังกฤษ สิงคโปร์ และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน มีเงินลงทุนจำนวน 232 ล้านบาท ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/888887?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic

กลยุทธ์ Belt and Road ของจีนและสปป.ลาว

แม้จะมีการระบาดของ Covid-19 เกือบทั่วโลก แต่จีนยังคงผลักดันโครงการ Belt and Road (BRI) อย่างต่อเนื่อง สปป.ลาวถือเป็นประเทศที่จีนให้การช่วยเหลือที่สำคัญของจีนตามกลยุทธ์ BRI เพื่อเป็นการตอบแทนรัฐบาลจีนพวกเขามีความต้องการพื้นฐาน 3 ประการคือการสนับสนุนนโยบายจีนในประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนจีนเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในสปป.ลาวมีโครงการขนาดใหญ่ต่างๆที่จีนไม่ว่าจะเป็นพลังงานน้ำการเกษตรการทำเหมืองและการก่อสร้าง การก่อสร้างทางรถไฟที่มีแผนจะเสร็จสิ้นโครงการในเดือนธันวาคม 2564 เส้นทางรถไฟยาว 414 กิโลเมตรทอดตัวจากเขตเหนือสุดของประเทศลาว Boten ติดกับประเทศจีนสู่เมืองหลวงเวียงจันทน์ อีกหนึ่งโครงการสำคัญของ BRI ที่รัฐบาลลาวเข้าร่วมคือการก่อสร้างเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดลำดับที่เจ็ดในแม่น้ำโขง เขื่อนไซยะบุรีและดอนสะโฮงที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันจะถูกรวมเข้ากับเขื่อน Sanakham 684 เมกะวัตต์พร้อมวันที่โครงการจะแล้วเสร็จในปี 2571 กลยุทธ์ BRI จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจของสปป.ลาวให้สามารถเติบโตไปไดในสถานการณ์ที่เลวร้ายในปัจจุบัน

ที่มา : https://www.thestatesman.com/opinion/chinas-bri-strategy-laos-1502897886.html

ยุโรปเรียกร้องให้จีนชะลอการชำระหนี้ของเมียนมา

ประเทศในยุโรปตกลงที่จะเลื่อนการชำระคืนเงินกู้ของเมียนมาเป็นจำนวนเงินรวม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเรียกร้องให้จีนทำเช่นเดียวกัน ออสเตรีย, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมันนี, เนเธอร์แลนด์และโปแลนด์มีการผ่อนผันการชำระคืนเป็นจำนวนเงินรวม 98 ล้านเหรียญสหรัฐรวมทั้งดอกเบี้ยสำหรับงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม 2563 จำนวนหนี้ประกอบด้วยร้อยละ 20 ของการชำระหนี้ตามกำหนดเวลาของเมียนมาซึ่งมีมูลค่าประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลานี้ สหภาพยุโรปเรียกร้องให้เจ้าหนี้รายใหญ่ของเมียนมาปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน เช่นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของคือ จีนและญี่ปุ่น หนี้ของเมียนมาในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์ซึ่ง 4 พันล้านดอลลาร์เป็นหนี้ที่กู้จากจีน การบรรเทาหนี้ครั้งนี้จะช่วยให้เมียนมาในการสนับสนุนระบบสาธารณสุขชุมชนและธุรกิจในท้องถิ่น สหภาพยุโรปได้ระดมทุนและตั้งโครงการสำหรับภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤต COVID-19 ซึ่งได้แก่กองทุนฉุกเฉิน The Myan Ku Fund เป็นจำนวนเงิน 5 ล้าน สำหรับแรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าใ นเดือนพฤษภาคมและได้จ่ายเงินไปแล้วกว่า 2 พันล้านจัต จากจำนวนแรงงาน 21,690 นอกจากนี้ยังระดมเงินทุนสูงถึง 30 ล้านยูโรสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม พนักงานสาธารณสุข แรงงานข้ามชาติ และผู้ที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/europe-defer-myanmars-debt-payments-urges-china-follow-suit.html