ได้ฤกษ์ปัดฝุ่นเจรจา เอฟตา ไทยส่งออกผลไม้กระหึ่มโลก

อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ผู้แทนของสมาคมการค้าเสรียุโรป (เอฟตา) 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ลิกเตนสไตน์ และไอซ์แลนด์ มาเข้าพบ และยื่นหนังสือเพื่อขอเริ่มต้นการเจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทย ที่กรมต้องเดินหน้าเจรจาเอฟทีเอเดิม และเริ่มต้นเจรจาเอฟทีเอกับประเทศใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเจรจากับเอฟตาที่ขณะนี้ อยู่ระหว่างนำผลการศึกษาที่เคยทำมาตั้งแต่ปี 2549 มาปัดฝุ่นใหม่ เพื่อดูว่ามีประเด็นใด ที่จะนำเข้าสู่การเจรจาเพิ่มเติมอีก รวมถึงจะหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องถึงผลดี ผลเสีย มาตรการเยียวยา โดยจะรวบรวมทำเป็นข้อสรุป เสนอนโยบายเพื่อตัดสินใจต่อไป โดยล่าสุด เอฟทีเอ ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ ทำให้ประเทศคู่ค้าเอฟทีเอได้ลด/เลิกเก็บภาษีนำเข้าผลไม้จากไทย ทำให้การส่งออก 10 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ต.ค.) เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีมูลค่าการส่งออก 3,213 ล้านเหรียญสหรัฐ มากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก รองจากสเปน เนเธอร์แลนด์ เม็กซิโก สหรัฐฯ ชิลี ขยับขึ้นจากอันดับ 10 เมื่อปี 2561 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ อาเซียน และจีน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/business/1729453

ไทยผลักดันสินค้าจังหวัดนครพนมสู่ CLMV

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรี และนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เดินทางพบปะหารือด้านการค้ากับกลุ่มหอการค้าจังหวัดนครพนม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจการค้าชายแดน ซึ่งทราบว่าจังหวัดนครพนมมีศักยภาพมากอีกจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนบน เช่น การค้าชายแดน การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ทั้งนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน ได้รับทราบปัญหา  โดยเฉพาะการส่งออกชายแดน ซึ่งจังหวัดนครพนมถือว่าเป็นประตูไปสู่เวียดนาม และต่อไปจีน บริเวณมณฑลตอนใต้ ไทยได้ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแดนที่นี่ รวมทั้งผัก ผลไม้ และอื่น ๆ ซึ่งสิ่งที่หอการค้าฯ อยากให้ช่วยคลี่คลายในเรื่องปัญหาการส่งออกผัก ผลไม้ไปที่ชายแดนแล้วข้ามไปจีนบริเวณด่านผิงเสีย ให้ช่วยเจรจาอำนวยความสะดวก นอกจากนี้ ทาง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ระบุว่าจังหวัดนครพนมได้เสนอให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยนำสินค้าไทย และสินค้าท้องถิ่นภาคอีสานไปทำโรดโชว์ (Road Show) ที่ตลาด CLMV และทางหอการค้าจังหวัดนครพนมเสนอไปที่โฮจิมินห์ ฮานอย และดานัง เนื่องมาจากเป็นเมืองใหญ่ของเวียดนาม ถ้าได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ หอการค้าฯ รวมทั้งองค์กรอื่น ๆ โอกาสที่จะได้ตัวเลขการส่งออกเพิ่มขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูง

ที่มา : นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 19 ธ.ค. 2562

ส่งออกตลาดของขวัญปี 62 มูลค่า 2.4 หมื่นล้านบาท ติดลบ 3%

มูลค่าตลาดสินค้าของขวัญ ของชำร่วย ตลาดส่งออกมูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้านบาท ปี 62 คาดว่าจะเติบโตติดลบ 3% จากเดิมวางเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 2% จาก 4 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นกว่า 23% โดยตลาดส่งออกสำคัญ สินค้าของขวัญฯ คือ ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา 2. การถดถอยของ เศรษฐกิจโลก และตลาดหลัก อันได้แก่ สหรัฐ อเมริกา ญี่ปุ่น จีน และสหภาพยุโรป 3.ต้นทุนการผลิตที่แพงขึ้น และ 4. ขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ในหลายประเภท สินค้าที่ต้องพึงพาแรงงานฝีมือ และแรงงานฝีมือหายไปจากตลาด อย่างไรก็ตามในปีหน้า ผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมฯ จะต้องปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลของโลกการซื้อในยุคใหม่ รวมถึงภาครัฐต้องส่งเสริมสนับสนุน อย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมนี้ .ช่วยเหลือให้ผู้ประกอบเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเพื่อใช้ในการ Tranformation องค์กร สำหรับตลาดของขวัญในประเทศ มีมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยในปี 62 คาดเติบโตลดลง ขณะที่ ภาครัฐควรมีมาตรการกระตุ้นออกอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงง่าย เช่น โครงการชิ้มช้อปใช้กระเป๋า 2 ซึ่งหากมีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในประชาชนให้ใช้มากขึ้น คาดจะสามารถกระตุ้นให้ใช้จ่ายมากขึ้นได้ สำหรับเทรนด์สินค้าของขวัญที่คาดว่าจะได้รับความนิยม คือ 1.ตะกร้าของขวัญ กิฟต์เซ็ท 2. สินค้าเพื่อสุขภาพ ทุกหมวดหมู่ 3.ของเครื่องใช้ กระเป๋า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และ 4. ไอที และอุปกรณ์อื่นๆ นอกจากนี้ ในปีหน้าสินค้าที่คาดว่าจะได้รับความนิยมหรือมาแรง คือ ถุงผ้า จากความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ภายใต้นโยบายเลิกใช้ถุงพลาสติก ปัจจุบัน สมาคมของขวัญฯ มีผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมฯนี้ กว่า 3,000 ราย และเป็นสมาชิกกับสมาคมของขวัญของชำร่วยไทยและของตบแต่งบ้าน ประมาณ 350 ราย โดยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายปีนี้ มีผู้ประกอบการเพิ่มเข้ามาอีกเกือบเท่าตัว โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี

ที่มา: https://www.posttoday.com/economy/sme/609127

หนุนพลิกโฉม FTA เจาะประเทศเป้าหมาย-รายมณฑล

ภาพรวมการค้าโลกอ่อนแรงลงมากจากสงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจจีน-สหรัฐ ความไม่แน่นอนของการเมืองระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลก (WTO) ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการค้าโลกปีนี้ว่าจะขยายตัว 1.2% จากเดิม 2.6% และประมาณการปี 2563 ว่าจะขยายตัวเพียง 2.7% จากเดิมที่เคยคาดไว้ 3% แรงกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลให้การส่งออก 10 เดือนแรกหดตัว 2.4% ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 3% ซึ่งแนวทางที่จะฟื้นการส่งออก จำเป็นต้องหาตัวช่วยด้วยการเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศศึกษาแนวทางการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) หรือข้อตกลงกับประเทศจีนและอินเดีย โดยเจาะลงลึกเจรจาเป็นรายมณฑล หรือรายรัฐ เพื่อส่งเสริมการส่งออกพร้อมกันนี้ ให้เร่งผลักดันการเจรจาที่ค้างอยู่ ทั้งเอฟทีเอไทย-ตุรกี, ไทย-ศรีลังกา และไทย-ปากีสถาน ให้แล้วเสร็จภายในปี 2563 และหาข้อสรุปที่จะเริ่มเปิดเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู, ไทย-สหราชอาณาจักร และไทย-ฮ่องกง ส่วนนายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการ การประชุม สหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) และอดีตผู้อำนวยการใหญ่ องค์การการค้าโลก (WTO) กล่าวว่า เห็นด้วยที่จะเร่งผลักดันเอฟทีเอ เนื่องจากเป็นการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และมองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ยังมีโอกาสขยายตัวเป็นบวก โดยเฉพาะนโยบายสำคัญ เช่น การลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซีที่ต้องทำให้ชัดเจนและต่อเนื่อง ส่วนภาคเอกชน นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ต้องเร่งเดินหน้าเจรจาเอฟทีเอต่าง ๆ โดยเร็ว โดยเฉพาะเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป และไทย-สหราชอาณาจักร เพราะการเจรจารายประเทศต้องใช้เวลา ไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จได้เร็ว หากสำเร็จจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ซึ่งทางคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 ฝ่าย จะพิจารณากำหนดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจปี 2563 อีกครั้ง ในช่วงกลางเดือนมกราคม 2563

ที่มา: https://www.prachachat.net/economy/news-401634

ก.พาณิชย์ จัดมหกรรมการลดราคาสูงสุด 70% ส่งท้ายปีเป็นของขวัญประชาชน

ล่าสุด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กระทรวงฯ ประสานงานผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ ห้างสรรพสินค้า ผู้ประกอบการทั่วประเทศ จัดลดราคาสินค้าเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน เป็นการลดตั้งแต่ 10-70% ตามนโยบายลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ทั้งนี้ มอบนโยบายว่าในวันที่ 13 ธ.ค. 2562 เวลา 09.00 ณ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะมีภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการลดราคาจำหน่ายสินค้าช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าร่วมด้วย สำหรับภาคเอกชนที่เข้าร่วมงานลดราคาจำหน่ายสินค้า ได้แก่ ห้างค้าปลีก ค้าส่งสมัยใหม่ ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าส่ง ค้าปลีกท้องถิ่น รวมกว่า 20,000 แห่ง จำนวนที่ลดสูงสุดถึง 70% อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ประจำวัน เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย วัสดุก่อสร้าง เครื่องนอน เครื่องสำอาง เครื่องเขียน เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการยางรถยนตร์อีก 8 ราย เข้าร่วมโครงการกับกระทรวงพาณิชย์ โดยลดราคาจำหน่ายสินค้าประเภทยางรถยนต์-อุปกรณ์อื่นๆ และลดค่าบริการลงถึง 10-30% โดยมหกรรมการลดราคา จะเริ่มระหว่างวันที่ 14 ธ.ค. 2562 ถึง 12 ม.ค. 2563 รวม 30 วัน

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/1721791

‘บิ๊กซี’บุกตลาดซีแอลเอ็มวี ประกาศทุ่มทุน1.5พันล้านขยายสาขา

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการฝ่ายต่างประเทศ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์เปิดเผยว่า ในปี 63 บิ๊กซีจะลงทุนในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีอย่างต่ำ 1,500 ล้านบาท เริ่มจากประเทศเวียดนาม โดยจะเปิดศูนย์ค้าส่ง MM (Mega Market) อีก 3 สาขา จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 18 สาขา และ 25 ธ.ค.นี้ จะเปิดสาขาใหม่ที่เมืองฮานอย รวมทั้งจะเปิดศูนย์การค้าสำหรับธุรกิจอาหารและโรงแรมในเมืองฮาลองและและดานัง ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว ขณะที่ร้านสะดวกซื้อ B’s Mart ซึ่งมี 107 สาขาในเมืองโฮจิมินท์มีแผนขยายออกไปอย่างต่ำอีก 10 สาขา สำหรับในสปป.ปัจจุบันบิ๊กซีเป็นผู้นำ โดยมีมินิบิ๊กซีในเวียงจันทน์ 44 สาขา ในปีหน้ามีแผนเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต 1 แห่ง และ มินิ บิ๊กซีอีก 20 สาขา ส่วนประเทศกัมพูชา ได้เปิดให้บริการไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เมืองปอยเปตเป็นสาขาแรก และอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในเมืองอื่นๆ เช่น พนมเปญ และเสียมเรียบ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท BJC เปิดเผยว่า บริษัทคาดหวังว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/62 จะเติบโตได้ต่อเนื่อง ถึงแม้แนวโน้มการฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศไม่ได้เป็นตามที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะเป็นช่วงจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ จากผลกระทบทางด้านภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอลงตัว โดยภาพรวมรายได้ทั้งปีบริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโตราว 5% จากปีก่อนที่ทำได้ 172,196.38 ล้านบาท

ที่มา : https://www.naewna.com/business/458433

สร้างความสำคัญให้กับชายแดนไทย

ในอดีตความเจริญของชายแดนไทย เช่น ที่ด่านอรัญประเทศเมืองฝั่งตรงข้ามเมืองปอยเปต เมื่อ 30 ปีเป็นแค่ชุมชนเล็กๆ มีร้านค้าไม่กี่ร้าน มีตลาดขายสินค้าอุปโภค-บริโภคจากไทยอยู่แห่งหนึ่ง พอรัฐบาลกัมพูชาเปิดเปิดบ่อนคาสิโนที่นั่น ปรากฏว่าเมืองเจริญขึ้นทันที มีบ่อนใหญ่ๆ เกิดขึ้นหลายแห่ง แต่ฝั่งอรัญประเทศมีแค่ขายสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ความเจริญไม่ได้ไหลเข้ามาสู่อรัญประเทศมากนัก ล่าสุดทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก ที่เคยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติมาใช้บริการร้านอาหารหรือโรงแรมเพิ่มแต่กลับน้อยลง เพราะข้ามฝั่งไปเมืองปอยเปตกันหมด อีกด่านหนึ่ง คือ ด่านเชียงแสน ตรงข้ามเมืองต้นผึ้ง ประเทศสปป.ลาว ซึ่งเกิดเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่มาบูมกันจริงๆ ไม่เกินสิบปีที่ผ่านมา เพราะมีการย้ายบ่อนคาสิโนจากเมืองบ่อเตนข้ามมาที่นี่ สังเกตว่าเชียงแสนก่อนหน้า 30 ปีที่ผ่านมา จะมีสามเหลี่ยมทองคำเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ และจะบูมมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา หลายค่ายของขุมกำลังทรัพย์ที่เป็นผู้ประกอบการ แต่พอนักท่องเที่ยวหดหายไปร้านค้าหรือกิจการก็ซบเซาลงทันที พอเริ่มมีบ่อนคาสิโนมาเปิดฝั่งตรงข้าม ความเจริญยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป การค้าการขายที่เชียงแสนก็ไม่ได้อาณิสงค์ของเมืองบ่อนการพนัน จะมีแต่สิบสองปันนาของจีนเท่านั้น สังเกตว่าถ้าเมื่อใดที่น้ำในแม่น้ำโขงลด สินค้าส่งออกทั้งฝั่งเชียงแสนและอเชียงของจะเงียบเหงาทันที แต่พอปัจจัยทั้งสองแห่งที่เป็นไปในทางบวก ทุกอย่างก็จะคึกคักทันที ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ่อนคาสิโนที่จะส่งผลต่อการค้าการส่งออกเลย

ที่มา: https://www.posttoday.com/aec/trade/607834

จุรินทร์ เปิดงานเศรษฐกิจทันสมัย พัฒนาศักยภาพคน 4 กลุ่มทันโลกดิจิทัล

วันที่ 2 ธ.ค. 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา หัวข้อ “เศรษฐกิจทันสมัย เกษตรไทยก้าวหน้าไปกับสื่อดิจิทัล” ซึ่งจัดขึ้นที่ จ.อุบลราชธานี โดยกล่าวในช่วงหนึ่งว่า การจัดงานนี้เป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์และนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตการแปรรูปและบริการ มี 4 กลุ่มที่เกี่ยวข้อง คือ 1. เกษตรกร 2. นักศึกษา 3. ผู้ประกอบการ และ 4. วิทยุชุมชน ซึ่งโลกเปลี่ยนไป จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้ผู้ผลิตสามารถสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภค และจะสามารถทำให้เกษตรกรไทยสามารถขายสินค้าเกษตรได้ในราคาต่อหน่วยที่ดีขึ้น จึงเป็นที่มาของกิจกรรมวันนี้ที่จัดขึ้นเพื่อสร้างองค์ความรู้และความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสนับสนุนให้เกษตรกรไทยมีการปรับตัว ใช้ช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมในการเข้าถึงผู้บริโภค รวมทั้งสร้างโมเดลธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ “ประเทศไทย มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และแผนการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติตามการเปลี่ยนโลกของธุรกิจดิจิทัล การพัฒนาภาคการเกษตรแบบยั่งยืน คือ การพัฒนาจากต้นน้ำ ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตหรือเพิ่มผลิตภาพ จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเป็นการพัฒนาเกษตรยุคใหม่ หรือ Smart Farmer ด้วยการช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละพื้นที่ โดยมีสถานีวิทยุชุมชนเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างองค์ความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมและขยายโอกาสทางการตลาดของคนในชุมชนในนามของกระทรวงพาณิชย์ ผมมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้ภาคการเกษตรของประเทศมีความเข้มแข็ง งานนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวให้บรรลุสัมฤทธิ์ผลตามวัตถุประสงค์”

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/1716441

การนำเข้าเมล็ดพันธุ์ถูกแบนจากโรคเชื้อรา กระทบต้นยางไทย

หลังจากการระบาดของเชื้อรา Pestalotiopsis หรือโรคใบร่วงชนิดใหม่ ในต้นยาง เมล็ด และกล้ายางของไทย จะไม่ได้รับอนุญาตผ่านสนามบินและประตูชายแดน โรคเชื้อราแพร่กระจายในสวนยางพาราบางแห่งในประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการป้องกันไว้ก่อน นอกจากนี้การนำเข้าจากประเทศอื่น ๆ ก็จะถูกระงับเช่นกัน การระบาดของเชื้อราครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดยางและการนำเข้ายางดิบและน้ำยาง ต้นยางพาราที่เชื้อรา pestalotiopsis จะทำให้ได้น้ำยางมีคุณภาพต่ำ จากข้อมูลของพบว่าเชื้อรายังแพร่กระจายในอินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย และศรีลังกาแม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยัน

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/seed-imports-banned-fungal-disease-hits-thai-rubber-trees.html

กรมพัฒน์ฯ ชี้ธุรกิจ “ซักอบรีด” ยังดาวรุ่ง ลงทุนไม่ผิดหวัง รับเมืองโต-คนชอบสบาย-นักท่องเที่ยวพุ่ง

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าชี้ช่องรวย แนะลงทุนทำธุรกิจ “ร้านซักรีด” รองรับการเติบโตของเมือง คนรุ่นใหม่ที่ชอบความสบาย และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ชี้ควรลงทุนในคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า ที่พักอาศัยย่านชุมชนเมือง ห้าง สถานศึกษา ที่พักของชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพกเกอร์ จากการสำรวจแนวโน้มการลงทุนทำธุรกิจ โดยพบว่า ธุรกิจ “ร้านซักอบรีด” และ “ธุรกิจร้านซักผ้าหยอดเหรียญ” เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างโอกาสในการทำธุรกิจให้กับผู้ที่สนใจจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง เนื่องจากปัจจุบัน การเติบโตของสังคมเมือง ที่ต้องแข่งขันกับเวลา คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต และการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยที่มีจำนวนมากขึ้น สำหรับการลงทุน ควรจะพิจารณาลงทุนทำธุรกิจตามคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล แหล่งที่อยู่อาศัยในย่านชุมชนเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยว ใกล้ห้างสรรพสินค้า หอพักนักศึกษา และโรงแรมที่พัก ที่ชาวต่างชาติหรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางแบบแบ็กแพกเกอร์เข้ามาพักอาศัย ซึ่งจะทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโต เพราะจะมีผู้เข้ามาใช้บริการมาก ส่วนรูปแบบการลงทุน สามารถลงทุนเปิดร้านซักอบรีด ซึ่งเป็นการลงทุนโดยบุคคลธรรมดา ใช้เครื่องซักผ้าแบบบ้าน และให้บริการครบวงจร หรือลงทุนแบบร้านซักผ้าหยอดเหรียญที่มีรูปแบบธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งลงทุนแบบบุคคลธรรมดา นิติบุคคล และแฟรนไซส์ หรือร้านซักอบรีดผ่านตู้ล็อกเกอร์ ที่มีการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ โดยผู้ที่ต้องการซักผ้า สามารถนำผ้าไปใส่ไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ที่ใกล้ที่สุด และผู้ให้บริการจะนำผ้าไปซัก แล้วนำมาใส่คืนไว้ที่ตู้ โดยผู้ใช้บริการสามารถตรวจเช็กได้ว่าตู้อยู่ตรงไหนบ้าง เมื่อซักเสร็จแล้ว ก็มีระบบแจ้งเตือนให้ไปรับผ้า และปัจจุบัน มีการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ ผู้สนใจสามารถซื้อไปลงทุนได้ ทั้งนี้ในการลงทุนทำธุรกิจ มีปัจจัยที่ต้องพิจารณา คือ ต้องตรวจสอบทำเลที่ตั้ง โดยต้องวิเคราะห์สภาพการแข่งขันในพื้นที่ และพิจารณารูปแบบธุรกิจร้านซักผ้าที่ต้องการลงทุน และเลือกลงทุนในแบบที่เหมาะกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งต้องคำนึงว่าการลงทุนในช่วงเริ่มต้น ค่อนข้างใช้ทุนสูง เนื่องจากต้องซื้อเครื่องซักผ้า การตกแต่งร้าน แต่จะมีต้นทุนผันแปรที่ไม่สูงมาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นค่าทำความสะอาด ค่าบำรุงรักษา ค่าน้ำยาทำความสะอาด แต่หากต้องการลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ ต้องศึกษาเงื่อนไข สัญญา รูปแบบการสนับสนุนจากเจ้าของแฟรนไชส์อย่างละเอียดด้วย

ที่มา: https://mgronline.com/business/detail/9620000115121