‘AMRO’ มองเศรษฐกิจเวียดนามปีนี้โต 6% หนุนจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออก

สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (AMRO) เปิดเผยว่าเศรษฐกิจเวียดนามในปีนี้ คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 6% หลังจากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนมาจากการส่งออกที่มีทิศทางเป็นบวก อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจเวียดนามยังคงเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการส่งออกของภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก สังเกตได้มาจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนในปีที่แล้ว

ทั้งนี้ สำนักงาน AMRO คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน+3 ในปี 2567 ขยายตัว 4.5% เนื่องมาจากอุปสงค์ที่มีความแข็งแกร่ง เงินเฟ้อปรับตัวลดลง คาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1639547/viet-nam-s-economy-poised-for-6-growth-in-2024-fueled-by-export-recovery-amro.html

กนอ. สำรวจนิคมอุตสาหกรรมใหม่สำหรับสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคใต้

สมาชิกของคณะกรรมการโรดโชว์แลนด์บริดจ์ กล่าวว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กำลังดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้สำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 2 โครงการ โครงการแรกเน้นการหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระนองและชุมพร เพื่อรองรับโครงการแลนด์บริดจ์ โครงการสะพานทางบกของภาคใต้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดระนองและชุมพร และเชื่อมโยงกับเครือข่ายมอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ โดย กนอ. มองว่านิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่นี้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมชีวภาพ และอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและการท่องเที่ยว ในโครงการที่สอง กนอ. กำลังสำรวจความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอาหารฮาลาลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ โดยคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2565 เพื่อจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจใหม่ ครอบคลุมจังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลทั่วโลกที่มีมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 13.5% ต่อปี กนอ. มองว่านี่เป็นโอกาสที่สร้างรายได้ รวมถึงการส่งออกอาหารฮาลาลของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่า 136.5 พันล้านบาท

ที่มา : https://www.nationthailand.com/thailand/policies/40034914?fbclid=IwAR0QaTDLCDpgs0u1xmTEdyD0p13r7JR6iu8pqcorr9VeTKAWQqhFtl9sWJk

เมียนมาสร้างรายได้กว่า 264 ล้านเหรียญสหรัฐจากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์

ตามที่กระทรวงพาณิชย์เมียนมา (MoC) เผยแพร่สถิติ การส่งออกมีมูลค่ากว่า 264 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคม วันที่ 6 ถึง 12 มกราคม โดยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวหัก ถั่วและถั่วพลัสส์ ผลไม้ ยางพารา และงา ทั้งนี้ จากระบบ MyRo ซึ่งเป็นระบบลงทะเบียนออนไลน์สำหรับคลังสินค้าข้าว ดำเนินการโดย กระทรวงพาณิชย์เมียนมา และสมาพันธ์ข้าวเมียนมาร์ เพื่อควบคุมการส่งออกข้าว เผยว่ามีการส่งออกยางทั้งหมด 326 ตัน สร้างรายได้ประมาณ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้ง ยางแผ่นรมควัน (RSS Rubber) และยางผสม อย่างไรก็ดี กระทรวงฯ เรียกร้องให้ขยายการเพาะปลูกและผลผลิตทางการเกษตรตามฤดูกาลและพืชต้นไม้ เช่น ยางพารา เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ น้ำยางสามารถเก็บได้จากต้นไม้อายุเจ็ดหรือแปดปี และประเทศนี้ก็ได้รับส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกที่สมเหตุสมผลแล้ว สมาคมผู้ปลูกและผู้ผลิตยางแห่งเมียนมาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดเตรียมการผลิตยางพารา นอกจากนี้ กระทรวงยังระบุด้วยว่าการส่งเสริมการส่งออกยางพาราและการผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า คาดว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงฯ เรียกร้องให้หน่วยงาน ช่างเทคนิค ผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันผลิตผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบที่สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ และมีคุณภาพ เพิ่มรายการการผลิต และส่งเสริมการลงทุนในภาคการผลิต การผลิต การเกษตร และการส่งออก

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-generates-over-us264m-from-exports-of-commodities-in-jans-second-week/

รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานตรวจสอบแหล่งก๊าซธรรมชาติ Aphyauk เพื่อเพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติ

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2567 รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานแห่งสหภาพเมียนมาได้เข้าเยี่ยมชมแหล่งก๊าซธรรมชาติ Aphyauk ภายใต้บริษัท Myanma Oil and Gas Enterprise (MOGE) และเยี่ยมชมแหล่งน้ำมันหมายเลข 50 และ 54 ซึ่งมีการศึกษาและวิจัยชั้นทรายบาง ๆ เพื่อปรับปรุงการผลิตก๊าซธรรมชาติ และนำไปสู่การเพิ่มการผลิตอย่างแท้จริง ทั้งนี้ รัฐมนตรีสหภาพฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การฟื้นฟูการดำเนินงานของแหล่งก๊าซธรรมชาติเก่าหลังจากดำเนินการวิจัยและพัฒนาอย่างเหมาะสม ถือเป็นความสำเร็จเชิงบวกสำหรับความพยายามสำรวจน้ำมันและก๊าซของประเทศ นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการสำรวจในแหล่งน้ำมันอื่นๆ เพื่อให้บรรลุผลเช่นเดียวกับแหล่งก๊าซธรรมชาติ Aphyauk อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีสหภาพฯ กล่าวว่า มีความจำเป็นต้องศึกษาทักษะที่จำเป็นในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูง และกำลังพยายามบูรณาการการวิจัยล่าสุดและเทคโนโลยี AI เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพในการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แนวทางนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อคำนวณปริมาณน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ติดอยู่ในหินตะกอนและชั้นทรายบางๆ ซึ่งนำไปสู่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/moe-um-inspects-aphyauk-natural-gas-field-to-boost-natural-gas-production/

JICA ส่งมอบระบบแบ่งปันข้อมูลดิจิทัลให้กระทรวงโยธาฯ สปป.ลาว

สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ส่งมอบระบบแบ่งปันข้อมูลดิจิทัล ได้แก่ VirGo (https://virgo.mpwt.gov.la) ให้กับกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สปป.ลาว โดยมีตัวแทนจากกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง กรมโยธาธิการและขนส่งเวียงจันทน์ สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และทีมผู้เชี่ยวชาญของ JICA จากการสำรวจสภาพปัจจุบันในระยะนำร่องของโครงการพัฒนาขีดความสามารถด้านการควบคุมและส่งเสริมการพัฒนาเมืองในประเทศลาว (CDUDCP) เว็บไซต์ VirGo ได้รับการพัฒนาภายใต้โครงการ CDUDCP ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย JICA ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 เว็บไซต์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการวางผังเมืองและการพัฒนาเมือง ไม่เพียงแต่สำหรับหน่วยงานของรัฐเท่านั้น แต่ยังสำหรับประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจเอกชน โดยการใช้งานผ่านเว็บไซต์ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและข้อมูลอย่างเป็นทางการต่างๆ เช่น แผนการใช้ที่ดิน แผนที่เครือข่ายโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ได้ตลอดเวลา โดยใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือสมาร์ทโฟน

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_15_Jica_y24.php

 

Wanli Tyre ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตในกัมพูชา

Wanli Tyre Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองกวางโจว เมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง ได้เริ่มขยายฐานการผลิตระยะใหม่ในกัมพูชา ท่ามกลางการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตล้อยางเมื่อปีที่แล้ว โดยโครงการระยะนี้ถือเป็นระยะที่ 3 ของการจัดตั้งโรงงานในกัมพูชา ซึ่งมีเป้าหมายที่จะสร้างโรงงานสาธิตการผลิตยางรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีการคาดการณ์กำลังการผลิตไว้ที่ปีละ 12 ล้านเส้น สำหรับในปี 2023 สำหรับปริมาณการผลิตและยอดคำสั่งซื้อของบริษัท Wanli ในกัมพูชา เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 18.77 และร้อยละ 19.42 ตามลำดับ ซึ่งมีกำไรเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่ากว่า 40.69 ล้านดอลลาร์ ในปีก่อน และพร้อมที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตยางในกัมพูชา

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501426360/wanli-tire-eyes-major-capacity-expansion-in-cambodia/

2023 กัมพูชาให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.4 ล้านคน

กัมพูชาให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ราว 5.43 ล้านคน ภายในปี 2023 เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 139 จากปริมาณ 2.27 ล้านคน ในปี 2022 รายงานโดยกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา ซึ่งนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญของกัมพูชา หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 1.82 ล้านคน รองลงมาคือเวียดนาม 1.01 ล้านคน จีน 547,789 คน สปป.ลาว 372,285 คน และสหรัฐฯ 184,780 คน เป็นสำคัญ โดยจากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยว คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนกัมพูชาจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นกว่า 7 ล้านคน ภายในปี 2025 สูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ 6.6 ล้านคน ในปี 2019

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501426346/cambodia-welcomes-5-4-million-foreign-tourists-in-2023/

หอการค้าไทย-จีนหนุนผู้ประกอบการรุก “CIIE 2024” เพิ่มโอกาสส่งออกตลาดจีน

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน ครั้งที่ 7 (China International Import Expo-CIIE 2024) หรือ CIIE จะเป็นการเปิดโอกาสให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีน ขณะที่นายยรรยง พวงราช ที่ปรึกษารองนายกัฐมนตรี กล่าวว่า งาน CIIE 2024 เป็นการเปิดโอกาสให้นักธุรกิจและผู้ประกอบการไทยได้รับฟังศักยภาพของงาน CIIE รวมถึงแนวคิดการจัดงาน CIIE ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการส่งเสริมการนำเข้าสินค้าตามนโยบายเปิดกว้างทางเศรษฐกิจของจีน และเป็นเวทีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับนานาประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทยสู่ตลาดจีน รวมถึงเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐผ่านการเยือนของผู้บริหารระดับสูงของไทย และเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางผลักดันการค้า การลงทุนระหว่างผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนไทย-จีน ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น

ที่มา : https://www.thansettakij.com/business/economy/586466