เมียนมาส่งออกปลาแห้งไปยังบังคลาเทศอย่างต่อเนื่อง

เมียนมายังคงส่งออกปลาแห้งหลายชนิดไปยังบังคลาเทศผ่านชายแดนมงดอว์ ในช่วงเดือนมกราคมมีการส่งออกปลาแห้ง 210 ตันมูลค่ากว่า 131,000 ดอลลาร์สหรัฐและเป็นการส่งออกที่มากเป็นอันดับสามผ่านศูนย์การค้าชายแดนเมืองมงดอว์ ในเดือนธันวาคมส่งออกปลาแห้งจำนวน 268 ตันมูลค่าประมาณ 192,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมียนมามีรายรับมากกว่า 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกรวมถึงการส่งออกปลาแห้งในเดือนธันวาคมและมีรายรับมากกว่า 1.538 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมกราคม สินค้าส่งออก เช่น หัวหอม ปลาคาร์พ ปลาแห้ง ถั่วพู ถั่วลูกไก่ ขิงและลูกพลัม และการส่งออกหลักคือหัวหอม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมถึง 14 กุมภาพันธ์ มูลค่าซื้อขายสินค้ามูลค่า 6.707 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านการค้าชายแดนมงดอว์ เพิ่มขึ้น 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อน

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-continues-dried-fish-exports-to-bangladesh

รัฐบาลเมียนมาเผยโครงการพัฒนาระดับชาติ 58 โครงการในธนาคาร

รัฐบาลเปิดเผยโครงการพัฒนาระดับชาติ 58 โครงการระหว่างการเปิดตัวเว็บไซต์ของธนาคารโครงการ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบนเว็บเชิงโต้ตอบที่ออกแบบมาเพื่อเน้นโครงการการลงทุนให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนเมียนมา (MSDP) สำหรับปี 2561-2573 โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 58 โครงการประกอบด้วย ถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน ไฟฟ้า การพัฒนาเมือ งการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม รวมถึงโครงการพัฒนาการเกษตร โครงการที่มีการลงทุนสูงสุดคือสถานีกลางย่างกุ้งซึ่งมีการลงทุนกว่า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารโครงการแสดงให้เห็นถึงร้านค้าครบวงจรออนไลน์ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโครงการที่ออกแบบมาสามารถเข้าถึงได้ง่ายเพียงคลิกเดียว อีกทั้งยังสร้างระบบที่น่าเชื่อถือและโปร่งใสซึ่งเชื่อมโยงโครงการการลงทุนที่สำคัญกับแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมและเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศมากขึ้น

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-govt-reveals-58-national-development-projects-project-bank.html

รัฐบาลกำหนดค่าธรรมเนียมและภาษีใหม่สำหรับสินค้าที่ส่งออก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีราชกิจจานุเบกษาสาธารณรัฐประชาชนลาวในเรื่องของการเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีใหม่สำหรับการขนส่งทางบกและการส่งออกชายแดนรวมถึงสินค้าที่นำเข้าเพื่อการส่งออกจะไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายในสปป.ลาว โดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจปรับใหม่ด้วยสาเหตุที่ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของสปป.ลาวและในอนาคตรัฐบาลได้ลงทุนเป็นจำนวนมากในการสร้างทางรถไฟ ถนนและสะพานเพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านนิกจากนี้ยังมี โครงการลงทุนขนาดใหญ่รถไฟลาว – ​​จีนและรถไฟคุนหมิง – สิงคโปร์ รัฐบาลจึงมีความจำเป็นในการขยายฐานรายได้ของรัฐบาลเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินโยบายเพื่อการลงทุนพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Ministry_42.php

แม้มีข้อจำกัดการเพาะปลูก กล้วยยังคงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของสปป.ลาว

มูลค่าการส่งออกของกล้วยไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะจีนและไทยในปี 62 เพิ่มขึ้น 198 ล้านเหรียญสหรัฐเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถึงแม้รัฐบาลจะมีมาตราการสั่งห้ามไม่ให้มีการเพาะปลูกเพิ่มเละยังมีการปิดโรงงานกว่า 90 บริษัทที่ลงทุนในสวนกล้วยครอบคลุม 26,177 เฮคเตอร์ทั่วประเทศลาวเนื่องจากการเพาะปลูกกล้วยของบริษัทบางส่วนมีการละเมิดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและไม่เป็นมิตต่อระบบนิเวศโดยมีการใช้สารเคมี Paraquat และ DDTที่อาจส่งผลต่อร่างกายมนุษย์ได้ ทำให้พืชดังกล่าวถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดและหากต้องการจะปลูกต้องมีการขออนุญาตจากภาครัฐก่อน อย่างไรก็ตามกล้วยก็ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของสปป.ลาวเพราะมีมูลค่าเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มสินค้าเกษตรที่สร้างรายได้แก่สปป.ลาวนอกจากนี้ยังสร้างงานและรายได้ที่มั่นคงแก่เกษตรกรอีกด้วย จึงเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลต้องกลับมาทบทวนถึงข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้ผลผลิตลดลงและไม่มีนักลงทุนกล้าที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ ทั้งทีมีมูลค่าสูง ในท้ายที่สุดหากมีข้อสรุปที่เหมาะสม กล้วยจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของสปป.ลาวต่อไป

ที่มา : http://annx.asianews.network/content/bananas-remain-large-slice-laos%E2%80%99-export-pie-114628

กระทรวงพาณิชย์กัมพูชาร่างนโยบายการผลิตเม็ดมะม่วงหิมพานต์ภายในประเทศ

กระทรวงพาณิชย์ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อร่างนโยบายยุทธศาสตร์การพัฒนาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในประเทศกัมพูชา โดยจะดำเนินการศึกษาและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การผลิตเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งประธานของ Chan Rasy ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงข้อมูลที่รวบรวมได้จะถูกนำไปใช้ในการร่างนโยบายเชิงกลยุทธ์สำหรับพืชผลในกัมพูชาตามแถลงการณ์ที่ลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งหลังจากรวบรวมข้อมูลแล้วร่างนโยบายจะถูกส่งไปยังรัฐบาลเพื่อตรวจสอบและอนุมัติก่อนนำไปใช้เป็นนโยบายระดับชาติด้านการพัฒนาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในประเทศกัมพูชา โดยกัมพูชาส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์จำนวน 202,318 ตัน ในปีที่แล้วสู่ตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นเกือบ 100% จาก 101,973 ตัน ในปี 2561 จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรป่าไม้และการประมง ราคาปัจจุบันของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบอยู่ที่ 1.25 – 1.5 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัมขึ้นอยู่กับคุณภาพของถั่วด้วยการผลิตเม็ดมะม่วงหิมพานต์ยังคงคาดว่าจะเติบโตได้ดีในปี 2020 จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรระบุว่ามีการวางแผนที่จะปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์มากกว่า 500,000 เฮกตาร์จากปัจจุบัน 150,000 เฮกเตอร์

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50695612/ministry-moves-to-implement-draft-policy-for-cashew-nut-production

ภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศยังเติบโต แต่ยังคงต้องติดตามต่อในอนาคต

กัมพูชามีรายรับราว 4.91 พันล้านเหรียญสหรัฐจากภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 12.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน  โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6.61 ล้านคน ตามรายงานล่าสุดจากกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา ซึ่งเมื่อปีที่แล้วจำนวนนักท่องเที่ยวรวมภายในประเทศที่มาเยือนกัมพูชาเพิ่มขึ้น 11.3 ล้านคน จากนักท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยจากรายงานแสดงให้เห็นถึงภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึง 12.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งการท่องเที่ยวมีลูกจ้างถึง 630,000 คน ในการให้บริการภายในประเทศ โดยประเทศจีนอยู่ในอันดับต้นๆของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในกัมพูชาเมื่อปีที่แล้วสูงถึง 2.361 ล้านคน รองลงมาคือเวียดนาม 908,803 คน ไทย 363,951 สปป.ลาว 363,951 เกาหลีใต้ 254,874 คน สหรัฐ 248,863 คน ญี่ปุ่น 207,636 คน มาเลเซีย 203,008 และญี่ปุ่น 207,636 คน เป็นต้น ซึ่งกระทรวงฯคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะสูงถึง 7 ล้านคนในปี 2563 อย่างไรก็ตามเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 การคาดการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก ในปัจจุบันในเสียมราฐเพียงอย่างเดียวจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงประมาณร้อยละ 60 จนถึงปีนี้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50695677/international-tourism-up-but-fears-for-the-future

กนอ.จ่อคลอดแผนนิคมอุตสาหกรรมสกัด ‘โควิด-19’

กนอ.เตรียมออกมาตรการเฝ้าระวังโควิด-19 ในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เล็งปรับเป้าขายที่ดินปีนี้รับพิษเศรษฐกิจทรุดด้านเอเชียคลีนฯเชื่อไทยสร้างความมั่นใจคุมไวรัสได้ โดยผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่าจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในหลายประเทศ กนอ.เตรียมจะออกประกาศให้นิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศมีมาตรการและบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มงวดในการตรวจและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรค โควิด – 19 ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดและลดความเสี่ยงของผู้ที่ทำงานในโรงงานและนิคมอุตสาหกรรม จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายการจำหน่ายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในความดูแลของ กนอ.ประมาณ 3,000 ไร่ต่อปี โดยปีนี้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากหลายด้าน ซึ่งนอกจากเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสแล้วจะต้องประเมินถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนด้วย โดยเชื่อว่าหากยังสามารถควบคุมการระบาดในประเทศได้ในระดับนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่มีแผนที่จะขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นโอกาสรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/868079