การส่งออกข้าวของเมียนมาทะลุ 712 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน 11 เดือน

ตามข้อมูล สหพันธ์ข้าวเมียนมา (MRF) การส่งออกข้าวและข้าวหักของเมียนมาร์มีมูลค่า 712 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปริมาณส่งออกกว่า 1.42 ล้านตันในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาของปีงบประมาณปัจจุบันปี 2566-2567 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ซึ่งการส่งออกดังกล่าวประกอบด้วยการค้าทางทะเล 1.343 ล้านตัน และการรค้าผ่านชายแดน มากกว่า 85,000 ตัน อย่างไรก็ดี ปริมาณการส่งออกข้าวในปีงบประมาณดังกล่าวสูงที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยมีการส่งออกรวม 262,116 ตัน เป็นมูลค่า 139 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือเดือน มกราคม 2567 และธันวา 2566 ที่มีการส่งออกรวม 213,605 ตัน และ 195,829 ตัน คิดเป็นมูลค่า 111 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ประธานสมาพันธ์ข้าวเมียนมา กล่าวอีกว่า นโยบายการเงินของธนาคารกลางเมียนมาในการควบคุมรายได้จากการส่งออก ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกข้าวและผลกระทบทางการเงินแก่ผู้ส่งออก นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบด้านสภาพอากาศจากเอลนิลโญอีกด้วย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-rice-exports-surpass-us712-mln-in-11-months/

ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง

ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง 50-85 จ๊าดต่อลิตรในวันที่ 1 มีนาคม หลังจากเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ราคาน้ำมันค่าออกเทน 92 อยู่ที่ 2,770 จ๊าดต่อลิตร ราคาน้ำมันค่าออกเทน 95 2,885 จ๊าดต่อลิตร, สำหรับราคาดีเซลอยู่ที่ 2,565 จ๊าดต่อลิตรและราคาดีเซลพรีเมียม 2,610 จ๊าดต่อลิตร และราคาได้ปรับลดลงเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ราคาน้ำมันค่าออกเทน 92 อยู่ที่ 2,715 จ๊าดต่อลิตร ราคาน้ำมันค่าออกเทน 95 อยู่ที่ 2,835 จ๊าดต่อลิตร, สำหรับราคาดีเซลอยู่ที่ 2,485 จ๊าดต่อลิตรและราคาดีเซลพรีเมียม 2,525 จ๊าดต่อลิตร อย่างไรก็ตา ความผันผวนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดภายในประเทศมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับดัชนีราคาที่กำหนดโดย Mean of Platts Singapore (MOPS) ซึ่งเป็นพื้นฐานการกำหนดราคาสำหรับผลิตภัณฑ์กลั่นหลายชนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลดลงของราคา MOPS ส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงตามที่คณะกรรมการกำกับดูแลการนำเข้าน้ำมัน การจัดเก็บและการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงระบุ ดังนั้น คณะกรรมการจึงทำหน้าที่ขับเคลื่อนตลาดเพื่อให้มั่นใจถึงเสถียรภาพด้านราคาและความมั่นคงของน้ำมันเชื้อเพลิง

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/fuel-oil-prices-set-to-dip/#article-title

‘ก.คลัง’ ปัดข้อเสนอเพิ่ม VAT

กระทรวงการคลัง (MoF) ปัดข้อเสนอขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มของประชาชนและธุรกิจในครัวเรือน มูลค่า 300 ล้านดองเวียดนาม หรือประมาณ 12,500 เหรียญสหรัฐ ต่อปี เนื่องมาจากกังวลว่าหากปรับขึ้นภาษีแล้ว จะส่งผลให้ธุรกิจในครัวเรือนแปรสภาพมาเป็นวิสาหกิจหรือกิจการ โดยจากการร่างกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับนี้ กระทรวงฯ เสนอให้คงอัตราของประชาชนและธุรกิจในครัวเรือนที่มีรายได้เกินกว่า 150 ล้านดองต่อปี จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มขึ้น 50 ล้านดองจากระดับเดิม ทั้งนี้ จากการประชุมครั้งล่าสุดเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยภาษีมูลค่าเพิ่ม ทางด้านตัวแทนของจังหวัดกว๋างหงายได้เสนอให้เพิ่มอัตราเป็น 300 ล้านดอง ในขณะที่หน่วยงานอื่นๆ เสนอระดับที่ต่ำกว่า โดยกระทรวงคมนาคมเสนอ 250 ล้านดอง

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1651252/ministry-of-finance-rejects-proposal-to-raise-vat-threshold.html

ทุเรียนกลายเป็น ‘ผลไม้ทอง’ ส่งออกของเวียดนาม

จากข้อมูลทางสถิติของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (MARD) เปิดเผยว่าเวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนมากกว่า 110,000 เฮคเตอร์ และผลผลิตประมาณ 850,000 ตันต่อปี โดยส่วนใหญ่เพาะปลูกอยู่ในพื้นที่ราบสูงตอนกลาง คิดเป็นสัดส่วนราว 47% ของพื้นที่ทั้งหมด และสาเหตุที่ทำให้เวียดนามผลักดันการส่งออกทุเรียน เนื่องมาจากมีความได้เปรียบทางด้านการตั้งราคาขายสูงและความต้องการนำเข้าของตลาดต่างประเทศ ทำให้ทุเรียนเวียดนามกลายมาเป็นผลไม้สำคัญเมื่อเทียบกับผลผลิตทางการเกษตรชนิดอื่นๆ ด้วยเหตุนี้พื้นที่เพาะปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นประมาณ 25% ต่อปี

นอกจากนี้ จากตัวเลขสถิติแสดงให้เห็นว่าทุเรียนของเวียดนามส่วนใหญ่ส่งออกไปยังตลาดจีน มีสัดส่วนกว่า 99% ของการส่งออกผลไม้รวม

ที่มา : https://vietnamnews.vn/economy/1651246/durian-emerging-as-golden-fruit-among-viet-nam-s-exports.html

สปป.ลาว และติมอร์-เลสเต กระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคี

ประธานาธิบดี สปป.ลาว และติมอร์-เลสเต เห็นพ้องที่จะกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีในภาคส่วนต่างๆ ที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น เกษตรกรรม พลังงาน การบริการและการท่องเที่ยว และการลงทุนในด้านอื่นๆ เป็นต้น โดยข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างเดินการเยือน สปป.ลาว ของ ดร.โฮเซ่ รามอส-ฮอร์ตา ประธานาธิบดีติมอร์-เลสเต และคณะผู้แทน ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ถึง 2 มีนาคม ตามคำเชิญของประธานาธิบดีทองลุน สีสุลิด ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่าง สปป.ลาวและติมอร์-เลสเต เพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมความร่วมมือ ตลอดจนติดตามและดำเนินการตามข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างรัฐบาลทั้งสอง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงดังกล่าวได้รับการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_44_LaosTimor_y24.php

อัตราเงินเฟ้อ สปป.ลาว แตะระดับ 25.35% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567

สปป.ลาว ยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ขยายตัวอยู่ที่ 25.35% เพิ่มขึ้นจาก 24.44% ในเดือนก่อน โดยเงินเฟ้อในหมวดโรงแรมและร้านอาหารมีการปรับขึ้นราคาสูงสุด ขยายตัวที่ 35.1% แต่ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตัวเลขในเดือนก่อน ขณะที่สินค้าหมวดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในเดือนนี้ ได้แก่ เสื้อผ้าและรองเท้า การรักษาพยาบาลและยา อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และการสื่อสารและการขนส่ง สินค้าทั้งหมดนี้มีราคาเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ 22.6% ถึง 35.1% โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ประการแรก ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล เช่น เทศกาลเวียดนามและตรุษจีน ส่งผลให้ราคาอาหารสูงขึ้น ประการที่สอง ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น โดยดีเซลเพิ่มขึ้น 7% และน้ำมันเบนซิน 5% ส่งผลให้สถานการณ์เลวร้ายลง ประการสุดท้าย การอ่อนค่าของเงินกีบเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐฯ และบาทไทย ส่งผลให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจตึงตัวมากขึ้น โดยเงินกีบอ่อนค่าลง 1.70% และ 0.61% ตามลำดับ

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/03/01/laos-inflation-hits-25-35-percent-in-february/

ความร่วมมือด้านเทคโนโลยียานยนต์เมียนมา-อินเดีย โดดเด่นที่งาน Mach Auto Expo 2024

กระทรวงการต่างประเทศเมียนมารายงานว่า เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำอินเดีย ได้เข้าร่วมงาน Mach Auto Expo ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 ที่เมืองลูเธียนา จังหวัดปัญจาบ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีบูธ 650 บูธจาก 12 ประเทศ จัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการมากกว่าหมื่นรายการ ภายในงานได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการค้าและการลงทุนระหว่างเมียนมาร์และอินเดีย โดยเน้นที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนตลาดเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมทั้งได้มีการหารือเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนและความร่วมมือที่มีศักยภาพในด้านเทคโนโลยียานยนต์ระหว่างเมียนมาและอินเดีย อย่างไรก็ดี งานแสดงสินค้าดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 ถึง 26 กุมภาพันธ์ โดยเอกอัครราชทูต U Moe Kyaw Aung เข้าร่วมพิธีเปิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ในฐานะแขกพิเศษ ร่วมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Invest Punjab เอกอัครราชทูตและนักการทูตจากอิหร่าน คีร์กีซสถาน มาดากัสการ์ บุรุนดี มองโกเลีย และเอธิโอเปีย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการชาวอินเดียก็เข้าร่วมด้วย

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/myanmar-india-auto-tech-collaboration-spotlighted-at-mach-auto-expo-2024/#article-title