อินเดียเริ่มนำเข้าข้าวโพดปลอดภาษีจากเมียนมา

อ้างถึง The Hindu Business Line มีการรายงานว่า อินเดียเริ่มนำเข้าข้าวโพดเมียนมาโดยไม่มีภาษี ด้าน Vangili Subramanian ประธานสมาคมการตลาดเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกไข่ของรัฐทมิฬนาฑู (PFMS) กล่าวว่า ณ ท่าเรือ VO Chidambaranar ในเมือง Thoothukudi ของรัฐทมิฬนาฑู มีเรือ 3 ลำที่บรรทุกข้าวโพดจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของอินเดีย และเรืออีก 10 ลำถูกกำหนดให้เทียบท่าตามข้อตกลง ซึ่งตามโครงการปลอดภาษีของอินเดียสำหรับประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ข้าวโพดของเมียนมาได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากร ตามการระบุของเจ้าหน้าที่ที่ไม่เปิดเผยนามจากสมาคมการค้าแห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งเดิมทีอินเดียมีการจัดเก็บภาษีศุลกากร 60 เปอร์เซ็นต์ ภาษีสินค้าและบริการ 5 เปอร์เซ็นต์ และภาษีประกันสังคม 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับข้าวโพดที่นำเข้าจากประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับข้าวโพดภายใต้โควตาอัตราภาษี (TRQ) รัฐบาลกลางของอินเดียให้ภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ และนำเข้าข้าวโพดจำนวน 500,000 ตันภายใต้ TRQ ในปี 2020 ซึ่งกลุ่มธุรกิจฮินดูอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่รัฐบาลว่าการนำเข้าข้าวโพดชุดแรกถูกกำหนดให้นำมาผลิตแป้ง และชุดที่สองสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงเอทานอล ซึ่งสำหรับการนำมาผลิตแป้งส่งออก คาดว่าจะมีการนำเข้าข้าวโพดแบบปลอดภาษีประมาณ 300,000 ตัน อย่างไรก็ดี นักวิจัยในนิวเดลี ชี้ให้เห็นว่าการนำเข้าข้าวโพดอาจต้องคำนึงถึงข้อจำกัดราคานำเข้าและข้อจำกัดของท่าเรือ เกษตรกรทางตะวันออกและทางใต้ของอินเดีย ซึ่งสภาพอากาศเลวร้ายเมื่อปีที่แล้ว คาดว่าจะมีผลผลิตสูงและมีรายได้ดีในปีนี้ นอกจากนี้ การนำเข้าข้าวโพด อาจทำให้เกิดผลกำไรที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลประโยชน์ การครอบครอง และอัตราภาษีพิเศษดังกล่าวอาจทำให้โครงสร้างตลาดเสียหาย ถึงแม้ว่า อินเดียจะมีความต้องการข้าวโพดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเฉพาะในภาคการเลี้ยงสัตว์ปีกเพียงอย่างเดียวก็มีความต้องการมากถึง 1 ล้านตัน ต่อปี และนอกจากภาคปศุสัตว์แล้ว อุตสาหกรรมการผลิตแป้งและเอทานอลยังมีความต้องการที่สำคัญอีกด้วย หลังจากที่รัฐบาลกลางอินเดียจำกัดการใช้อ้อยเพื่อการผลิตเอทานอล ความต้องการข้าวโพดก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยการใช้ข้าวโพดเพื่อผลิตเอทานอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 ล้านตันในปีนี้ จาก 0.8 ล้านตันในปีงบประมาณที่แล้ว

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/india-starts-to-import-myanmar-maize-duty-free/

‘เปิดโอกาสใหม่’ เวียดนาม-รัสเซีย

การเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการของนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย นับเป็นโอกาสใหม่ในการสร้างความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ และจากความสัมพันธ์ที่ดีในอดีตที่ผ่านมาระหว่างเวียดนาม-รัสเซีย ส่งผลให้ในปี 2555 เวียดนามได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (EAEU) ประกอบไปด้วยเบลารุส คาซัคสถาน รัสเซีย อาร์เมเนีย และคีร์กีซสถาน ทั้งนี้ จากข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเวียดนามและรัสเซียในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 1.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 51.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) การส่งออกและการนำเข้าของเวียดนามจากตลาดรัสเซีย มีมูลค่า 955.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 44.7%YoY และ 58.4%YoY ตามลำดับ

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/new-opportunities-for-vietnam-russia-trade-post288748.vnp

‘เวียดนาม’ ส่งออกสินค้าเกษตรไปรัสเซีย 5 เดือนแรก พุ่ง 48.7%

จากข้อมูลสถิติเบื้องต้นของกรมศุลกาการ เปิดเผยว่าในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ เวียดนามส่งออกสินค้าเกษตรไปยังรัสเซีย เพิ่มขึ้น 48.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) โดยสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ กาแฟ มูลค่า 161.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 39%YoY รองลงมาอาหารทะเล เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผักและผลไม้ ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ตลาดรัสเซียไม่ใช่ตลาดส่งออกขนาดใหญ่ของสินค้าเกษตรเวียดนาม แต่ว่าเมื่อประเมินในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ทิศทางการส่งออกไปยังรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ในขณะที่สมาคมผู้ส่งออกและผู้ผลิตอาหารทะเลของเวียดนาม (VASEP) ระบุว่าการส่งสินค้าจากเวียดนามไปรัสเซีย มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้ขนส่งรัสเซียได้เปิดเส้นทางขนส่งจากโฮจิมินห์-ไฮฟอง-วลาดิวอสต๊อก

นอกจากนี้ ยังมีผู้ขนส่งสินค้ารายอื่นที่เปิดเส้นทางการขนส่งใหม่ ทำให้ช่วยลดระยะเวลาในการขนส่งและส่งสินค้าได้เร็วขึ้น ประกอบกับเวียดนามได้รับประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม- สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย หนุนให้เวียดนามยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันสินค้าเกษตรในตลาดยุโรปและรัสเซีย

ที่มา : https://english.vov.vn/en/economy/five-month-farm-exports-to-russia-soar-by-487-post1102239.vov

การผลิตผลิตภัณฑ์สิ่งทอในประเทศเมียนมาจำเป็นต้องลดการนำเข้า

เมื่อเช้าวานนี้ ประธานสภาบริหารแห่งรัฐ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายบริการกลาโหม พล.อ.มิน ออง หล่าย ได้ให้คำแนะนำระหว่างการตรวจสอบโรงงานทอผ้าทัดมาดอว์ (เมติลา) ในเมืองเมติกติลา เขตมัณฑะเลย์ ว่า เมียนมาจะต้องพยายามอย่างต่อเนื่องในการผลิตสิ่งทอคุณภาพสูงโดยใช้สำลีหรือด้ายที่ผลิตในประเทศ โดยที่ห้องประชุมของโรงงาน ผู้จัดการโรงงาน อู นาย ลิน รายงานต่อนายพลอาวุโสเกี่ยวกับการดำเนินการตามคำแนะนำของนายพลอาวุโสในการทัศนศึกษาเมื่อเดือนกันยายน 2565 ซึ่งได้กล่าวรายงานถึงประวัติโดยย่อของโรงงาน การผลิตเส้นด้าย การดำเนินการด้านการเกษตร และงานเลี้ยงปศุสัตว์ เพื่อสวัสดิการของพนักงาน และการผลิตเส้นด้าย 2/80 เส้น โดยใช้สำลีท้องถิ่น อย่างไรก็ดี พลเอกอาวุโสเน้นย้ำว่าเนื่องจากมีการผลิตสิ่งทอต่างๆ รวมถึงมุ้ง ผ้าห่ม และผ้าปูที่นอนที่บ้าน จึงจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่นเพื่อลดปริมาณการนำเข้า และยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าหากด้ายและสิ่งทอสำหรับอุตสาหกรรม MSME ตอบสนองความต้องการในประเทศได้ ปริมาณการนำเข้าสิ่งทอจะลดลง นอกจากนี้ ยังได้มีการตรวจสอบคุณภาพสิ่งทอสำหรับเครื่องแต่งกายที่ผลิตที่โรงงาน และแนะนำถึงการรักษามาตรฐานตามความต้องการของตลาด รวมทั้งได้ตรวจสอบความคืบหน้าของการติดตั้งเครื่องจักรที่โรงงานปั่นเส้นด้ายและโรงงานย้อมผ้าสำหรับผลิตด้ายคุณภาพสูง ที่มีการประสานงานกับผู้จัดการโรงงานและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ

ที่มา : https://www.gnlm.com.mm/home-production-of-textile-products-essential-to-cut-imports/

‘BYD’ เปิดเกมรุกตลาดเวียดนาม เดือน ก.ค.

บีวายดี (BYD) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่สัญชาติจีน เดินหน้าจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดเวียดนาม เริ่ม 18 ก.ค. จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ ‘BYD Atto 3’ (ความจุแบทเตอรี 49.9 และ 60.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง) มาพร้อมกับการติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ ตามมาด้วยรุ่น ‘BYD Dolphin’ รุ่น GLX (ความจุแบตเตอรี่ 44.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง) โดยสามารถขับได้ไกล 405 กม. และ ‘BYD Seal’ จะมีการจำหน่ายในเวียดนาม 2 รุ่นด้วยกัน รวมถึงรุ่น Advanced ที่ขับได้ไกลถึง 550 กม. และ Performance ที่ขับได้ไกลถึง 650 กม.ต่อการชาร์จ

ที่มา : https://tuoitrenews.vn/news/business/20240617/3-byd-evs-to-hit-vietnam-market-in-july/80456.html

‘ไทย’ เตรียมเปิดเส้นทางเชื่อมโยงทางทะเลเวียดนามและกัมพูชา

นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานเปิดโครงการระเบียงเศรษฐกิจกัมพูชา-เวียดนาม-ไทย (CVTEC) ภายใต้ชื่องาน “CVTEC-Trat Business Roadshow 2024” โดยมีผู้แทนจาก 6 จังหวัดของ 3 ประเทศ

ในขณะที่นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่าสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ ได้เร่งจัดการประชุมการเชื่อมโยงทางทะเล CVTEC ด้วยการที่สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) เป็นผู้จัดงานร่วมและผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะส่งเสริมเส้นทางเดินเรือเชื่อมโยง 3 ประเทศ ภายใต้วัตถุประสงค์ของโครงการ “หนึ่งตลาด 3 จุดหมาย”

ทั้งนี้ นายณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด กล่าวว่าถึงความสำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในครั้งนี้ และภายในกรอบการประชุม ทางด้านผู้แทนภาคเอกชนและภาครัฐฯ ของทั้ง 3 ประเทศ ได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) การส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/thailand-looks-to-maritime-tourism-connectivity-with-vietnam-cambodia-post288678.vnp

สปป.ลาว เตรียมแผนที่จะขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำของข้าราชการภายในปี 2568

รัฐบาล สปป.ลาว ได้ประกาศแผนการเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำของข้าราชการเป็นระหว่าง 2 ล้านกีบถึง 2.2 ล้านกีบ หรือประมาณ 91.45 – 100.60 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 เพื่อตอบสนองต่อค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นและความท้าทายทางเศรษฐกิจนานับประการ โดยในปี 2566 รัฐบาลได้ขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำเป็น 1.7 ล้านกีบ หรือประมาณ 77.74 ดอลลาร์สหรัฐ และจัดสรรเงินเพิ่ม 150,000 กีบ หรือประมาณ 6.86 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อชดเชยค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปีนี้ และมีการเพิ่มค่าจ้างขึ้นอีกครั้งทำให้เงินเดือนขั้นต่ำปัจจุบันอยู่ที่ 1.85 ล้านกีบ หรือประมาณ 84.59 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ การเพิ่มเงินเดือนที่เสนอนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการบรรเทาผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อและค่าเงินกีบที่อ่อนค่าลง

ที่มา : https://laotiantimes.com/2024/06/14/laos-plans-to-raise-minimum-government-salary-by-2025/

หนี้สาธารณะของกัมพูชาอยู่ที่ 11.09 พันล้านดอลลาร์ ณ ไตรมาส 1 ปี 2024

กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของกัมพูชา (MEF) เผยแพร่รายงานสถิติหนี้สาธารณะประจำไตรมาส 1 ปี 2024 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 มิ.ย.) โดยระบุว่าปัจจุบันหนี้สาธารณะของกัมพูชาอยู่ที่ 11.09 พันล้านดอลลาร์ สำหรับองค์ประกอบของหนี้สาธารณะแบ่งเป็นร้อยละ 64 มาจากพันธมิตรการพัฒนาแบบทวิภาคี (Bilateral Development Partners) และร้อยละ 36 จากองค์กรพัฒนาพหุภาคี (Multilateral Development Partners) ซึ่งรายละเอียดสกุลเงินของหนี้สาธารณะแบ่งเป็นสกุลเงินดอลลาร์ร้อยละ 46, สิทธิพิเศษถอนเงิน (Special Drawing Rights: SDR) ร้อยละ 19, เงินหยวน (CNY) ร้อยละ 11, เงินเยน (JPY) ร้อยละ 11, เงินยูโร (EUR) ร้อยละ 7 และสกุลเงินท้องถิ่นและสกุลเงินอื่นๆ อีกราวร้อยละ 6 โดยรวมแล้วสัญญากู้เงินทั้งหมดเป็นแบบผ่อนปรนสูง มีองค์ประกอบเป็นเงินอุดหนุน (Grant Element) เฉลี่ยประมาณร้อยละ 40 ซึ่งในรายงานยังระบุเสริมว่า ในไตรมาส 1 ปี 2024 กัมพูชาได้ชำระหนี้บริการหนี้สาธารณะให้แก่พันธมิตรการพัฒนาเป็นมูลค่า 181.5 ล้านดอลลาร์

โดยสัญญากู้เงินทั้งหมดนำไปใช้เพื่อสนับสนุนโครงการลงทุนภาครัฐในสาขาสำคัญ ซึ่งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว และเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ยอดหนี้สาธารณะของกัมพูชาอยู่ที่ร้อยละ 19 ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 40

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501506352/cambodias-total-public-debt-stands-at-11-09-bln-as-of-q1/

FAO คาดการณ์ราคาข้าวที่น่าดึงดูดจะกระตุ้นผลผลิตข้าวในกัมพูชา

องค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ (FAO) คาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.9 จากปีก่อนหน้า แตะสถิติสูงสุดที่ 534.9 ล้านตัน ในฤดูกาล 2024/25 โดยรายงานดังกล่าวถูกกว่าไว้ใน World Food Outlook ฉบับล่าสุด ซึ่ง FAO ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียคาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยผลผลิตข้าวโดยรวมของภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 หรือคิดเป็นปริมาณรวมกว่า 478.9 ล้านตัน เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้อต่อการปลูกข้าวและการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากรัฐบาล อย่างไรก็ตาม คาดว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าวจะขยายตัวเพื่อตอบสนองต่อราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับในประเทศไทยโอกาสที่ผลผลิตจะฟื้นตัวเต็มที่นั้นถูกกระทบโดยความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นในการปลูกข้าว เนื่องจากความแห้งแล้งในช่วงต้นฤดู รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงการสนับสนุนของรัฐบาลที่ประกาศออกมา ด้านกัมพูชากลับมีแนวโน้มการส่งออกที่สดใส โดย FAO คาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวของกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 หรือคิดเป็น 7.9 ล้านตันในปีนี้ ทำให้กัมพูชาเป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดอันดับ 10 ของโลก หลังจากแซงหน้าบราซิลและญี่ปุ่นในปีที่แล้ว

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/501506357/fao-expects-attractive-prices-to-boost-rice-output-in-cambodia/

รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศ สปป.ลาว เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่ม BRICS+

นายสะเหลิมไซ กมมะสิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ สปป.ลาว เข้าร่วมการประชุม BRICS Foreign Ministers’ Dialogue with Developing Countries (BRICS+) ที่เมืองนิจนีนอฟโกรอด ประเทศรัสเซีย โดย ฯพณฯ ท่าน กล่าวในที่ประชุมว่า ในบริบทโลกปัจจุบัน สปป.ลาว อยากเห็นกลุ่ม BRICS มีบทบาทมากขึ้นและปกป้องความร่วมมือแบบพหุภาคีในการพัฒนาและความมั่นคงระดับโลก และการป้องกันขั้วการเมืองโลกแบบฝ่ายเดียว รวมถึงพฤติกรรมสองมาตรฐานในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งนี้ สปป.ลาว มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนและร่วมมือกับ BRICS ในทุกระดับ การหารืออย่างมีประสิทธิผลในวันนี้ จะช่วยยกระดับความร่วมมือไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในอนาคต

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freefreenews/freecontent_113_DPM_y24.php