ผู้เชี่ยวชาญแนะรัฐบาลกัมพูชาลดภาษีนำเข้าสินค้าบางส่วนลง

กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแนะให้ลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องจักรกลไฟฟ้าและชิ้นส่วนอะไหล่เพื่อลดต้นทุนการผลิตในภาคการผลิตลง โดยจากการสำรวจของกระทรวงฯ พบว่าอัตราภาษีนำเข้าสินค้าและชิ้นส่วนของกัมพูชาในปัจจุบันสูงถึงร้อยละ 15 ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยและเวียดนามตรึงไว้ที่ร้อยละ 5 และ 3 ตามลำดับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าหากกัมพูชาต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้นเพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางด้านการผลิตที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการส่งออกและยังส่งเสริมการกระจายความเสี่ยงจากตลาดส่งออกที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยจะต้องดำเนินการลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าประเภทเครื่องจักรกลร่วมด้วยเพื่อลดต้นทุนการผลิตสำหรับบริษัทข้ามชาติที่จะทำการลงทุนหรือทำการพัฒนาในกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลได้เคลื่อนไหวในการลดอัตราภาษีในสินค้าบางรายการ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมาได้ประกาศลดภาษีนำเข้าและภาษีพิเศษสำหรับสินค้า 35 ประเภท จุดประสงค์คือเพื่อช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในท้องถิ่นเนื่องจากการเติบโตของภาคส่วนเหล่านั้นทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสร้างโอกาสในการจ้างงานมากขึ้น

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50800405/experts-cite-need-for-import-tariff-reductions/

เมียนมาตั้งเป้าเศรษฐกิจปี 64 โต 6%

รัฐบาลเมียนมาคาดเศรษฐกิจจะมีอัตราการเติบโต 6% ในปีงบประมาณ 63-64 ตามคำแถลงงบประมาณของกระทรวงการวางแผนการเงินและอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตในภาคเกษตรกรรม 2.6% ภาคอุตสาหกรรม 6.5% และภาคบริการ 7.4% ในปีนี้ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่ารัฐบาลควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญให้กับภาคการเกษตรเพื่อสร้างการเติบโตเป็นกลยุทธ์ที่ดี ภาคเครื่องนุ่งห่มของเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด -19 ที่ยืดเยื้อเป็นเวลานานซึ่งทำให้คนงานหลายพันคนตกงาน ด้าน นาย อู หม่อง หม่อง เล รองประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมากล่าวว่า ควรปลูกพืชผลที่ทำกำไรและต้นทุนให้ต่ำ สร้างตลาดสำหรับผู้ขายและผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม ควรให้ความสำคัญกับการประมงมากขึ้นเพราะปัจจุบันอุตสาหกรรมทางทะเลเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรขยายไปสู่ตลาดส่งออกใหม่ ๆ ด้วยการร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-targets-6pc-economic-growth-2021.html

มหาชัยพบแรงงานเมียนมาติดเชื้อโควิด กว่า 1,700 คน

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย พบแรงงานเมียนมากว่า 1,700 คนติดเชื้อโควิด -19 ในอำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร จนถึงวันที่ 3 มกราคม 64 สมุทรสาครมีผู้ป่วยกว่า 1,900 คนในจำนวนนี้เป็นแรงงานต่างชาติชาวเมียนมามากกว่า 1,700 คน มหาชัยมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาและมีเพียง 10% เท่านั้นที่เป็นคนไทย ขณะนี้มีการกักตัว การตรวจสอบที่เข้มงวดรวมถึงการห้ามเดินทางระหว่างจังหวัด มีแรงงานเมียนมากว่า 4,000 คนติดอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้จะอนุญาตจะให้แรงงานเมียนมาที่ไม่มีเอกสารได้รับการตรวจสุขภาพอีกด้วย จากรายงานของบางกอกโพสต์ไทยวางแผนที่จะตรวจเชื้อโควิด -19 ในแรงงานเมียนมาประมาณ 10,000 คนและตอนนี้กำลังมีแผนจะเพิ่มจำนวนเป็นประมาณ 40,000 คน จากข้อมูลขององค์กรช่วยเหลือบางแห่งระบุว่าแรงงานเมียนมากำลังเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติในและบางส่วนถูกไล่ออกจากงาน

ที่มา : https://elevenmyanmar.com/news/mahachai-sees-over-1700-myanmar-migrant-workers-infected-with-covid-19

NBC ชี้ถึงความเสี่ยงต่อการเติบโตของหนี้สินส่วนบุคคลในกัมพูชา

ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) กล่าวว่าการลดลงของรายได้ส่วนบุคคลและการออมในปี 2020 ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลักสำหรับการเพิ่มขึ้นของหนี้สินส่วนบุคคลในกัมพูชาที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2021 ตามรายงานเศรษฐกิจและการธนาคารฉบับปรับปรุงปี 2020 โดยยอดสินเชื่อสำหรับผู้บริโภค ณ เดือนกันยายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 9.11 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของ Credit Bureau Cambodia ซึ่งประธานสมาคมธนาคารในกัมพูชา (ABC) และประธานและกรรมการผู้จัดการกลุ่มของธนาคาร ACLEDA รวมถึง NBC กล่าวถึงความเสี่ยงและความกังวลเกี่ยวกับหนี้สินส่วนบุคคล โดยได้เตรียมออกมาตรการที่รอบคอบและการสนับสนุนด้านอื่นๆที่จำเป็น เพื่อรักษาเสถียรภาพของธนาคารในกัมพูชาต่อไป ซึ่งธนาคารกลางกล่าวเพิ่มเติมว่าหากวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 ทั้งยังควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสได้สำเร็จภายในช่วงครึ่งแรก คาดว่าเศรษฐกิจกัมพูชาอาจจะกลับมาเติบโตได้ที่ร้อยละ 4 ในปีนี้

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50799995/nbc-outlines-2021-risks-for-personal-debt-growth/

การเติบโตของบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพืชในกัมพูชา

ในปี 2019 กรุงพนมเปญเพียงแห่งเดียวสร้างขยะมากถึง 3,000 ตันต่อวัน โดย 600 ตันเป็นขยะพลาสติกตามรายงานของ Konrad-Adenauer-Stiftung (KAS) ซึ่งปัจจุบันขยะเพิ่มขึ้นทั่วกัมพูชาในอัตรากว่าร้อยละ 10 ต่อปี ในขณะที่กัมพูชากำลังรอการห้ามใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในประเทศ ก็ได้ส่งผลให้บรรจุภัณฑ์จากพืชได้รับผลกระทบในเชิงบวก โดยผู้อำนวยการบริหารของ Plant-Based Products Council (PBPC) กล่าวว่าผู้บริโภคมีความต้องการที่ชัดเจนในการสนับสนุนและส่งเสริมนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์จากพืชแต่ต้องใช้เวลาสักระยะในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ Single use plastic เช่น ภาชนะโฟม ถุงพลาสติก และช้อนส้อม อยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามขยะพลาสติกเหล่านี้ยังมีส่วนลดทอนความสวยงามตามธรรมชาติของกัมพูชาและยังเพิ่มปัญหามลพิษที่รุนแรงอีกด้วย

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50800189/plant-based-packaging-growing/

Fitch Solutions คาดการณ์ GDP ของเวียดนาม ปี 64 โต 8.6%

Fitch Solutions ได้ประเมินอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของเวียดนามในปี 2564 เพิ่มขึ้น 8.6% จาก 8.2% ก่อนหน้านี้ เป็นผลมาจากภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เหตุจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากข้อตกลงการค้าเสรี อาทิ EVFTA, UKVFTA และ RCEP เป็นต้น เศรษฐกิจเวียดนามในไตรมาสที่ 4 ของปี 63 คาดว่าจะเติบโต 4.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนไว้ที่ 2.7%YoY ซึ่งเศรษฐกิจที่ขยายตัวเร่งขึ้นในไตรมาสที่ 4 นั้น เนื่องมาเศรษฐกิจทั่วโลกดีขึ้น แต่ยังได้รับการส่งเสริมจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างและภาคบริการ ทั้งนี้ การผลิตอุตสาหกรรมและก่อสร้าง ที่มีสัดส่วนร้อยละ 33.7 ของ GDP ในปี 63 ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของประเทศในปีนี้ โดยทางฟิทซ์คาดการณ์ว่าภาคการผลิตจะดำเนินต่อไปอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ จากการได้รับประโยชน์ของข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับ โดยเฉพาะข้อตกลงการค้าเสรีสหราชอาณาจักร – เวียดนาม (UKVFTA) นอกจากนี้ เรื่องการเปิดตัววัคซีน จะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกกลับมาฟื้นตัวและเวียดนามจะรองรับอุปสงค์จากต่างประเทศสำหรับการส่งออกมากยิ่งขึ้น

  ที่มา : http://hanoitimes.vn/fitch-solutions-revises-up-vietnam-gdp-growth-forecast-to-86-in-2021-315738.html

ตลาดค้าปลีกของเวียดนาม มีมูลค่าถึง 172 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 63

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (GSO) เผยตลาดค้าปลีกของเวียดนามในปี 2563 มีมูลค่า 172 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ไปทั่วโลก แต่เวียดนามยังสามารถควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ยอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการฟื้นตัวในเดือนสุดท้ายของปี และการที่ยอดค้าปลีกในช่วงสิ้นปีมีอัตราการขยายตัวได้สูงนั้น เนื่องมาจากกลุ่มร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ทั้งนี้ ในปี 2563 ยอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการของเวียดนามโดยรวม มีมูลค่าสูงถึง 219.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับปี 62 อย่างไรก็ตาม ในตามหัวเมืองต่างๆ หรือจังหวัด ชี้ให้เห็นว่าเมืองโฮจิมินห์มีการเติบโตของค้าปลีกอย่างแข็งแกร่งในปี 63 ด้วยอัตราการเติบโต 12%YoY ด้วยมูลค่า 33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : http://hanoitimes.vn/vietnam-retail-market-expands-7-to-record-high-of-us172-billion-in-2020-315740.html

โอกาส-ความท้าทายโครงการรถไฟและทางด่วนสปป.ลาว-จีน

ถึงแม้จะมีโอกาสมากมายที่เข้ามายังสปป.ลาวผ่านโครงการลงทุนรถไฟสปป.ลาว – ​​จีนและทางด่วนเวียงจันทน์ – โบเตน แต่สปป.ลาวก็จำเป็นต้องจัดการกับความท้าทายที่มาพร้อมกับโอกาสครั้งนี้ ทางรถไฟและทางด่วนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีนและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสปป.ลาวที่จะเปลี่ยนประเทศจากการไม่มีทางออกสู่ทะเลเป็นแผ่นดินที่เชื่อมต่อในภูมิภาค อย่างไรก็ตามยังมีข้อควรพิจารณาที่ต้องได้รับการแก้ไขเพื่อที่จะได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประการแรกจำเป็นต้องสร้างถนนที่เชื่อมทางรถไฟกับแหล่งผลิตเพื่อให้ขนส่งสินค้าได้สะดวก ประการที่สองต้องบูรณาการโลจิสติกส์และบริการข้ามพรมแดนเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า ประการที่สามการพัฒนาเมืองอัจฉริยะเพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุนมากขึ้น ประการที่สี่ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มาที่สปป.ลาวมากขึ้น โครงการดังกล่าวไม่เพียงแค่สร้างการพัฒนาแก่สปป.ลาวตามรายงานของซินหัว หากจีนและประเทศในอาเซียนทำการค้าโดยใช้ทางรถไฟผ่านสปป.ลาวจะได้รับประโยชน์มากขึ้นและจะสร้างมูลค่าการค้าที่สูงขึ้นจากการขนส่งที่มีคุณภาพและรวดเร็วขึ้น

ที่มา : https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Expert_2.php

จีนหนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์คาดแล้วเสร็จภายใน เม.ย. 64

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 29 โครงการที่กำลังดำเนินการโดยจีนในเมียนมาจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายนนี้ คาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์และเมื่อเสร็จสมบูรณ์และสามารถกระจายพลังงานไปยังกริดแห่งชาติได้ โครงการดังกล่าวจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันหลังจากได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลเมียนมา โดยบริษัทที่ได้ชนะการประมูลส่วนใหญ่มาจากจีน ซึ่งราคาประมูลของจีนต่ำกว่าที่อุตสาหกรรมคาดการณ์ไว้ที่ 0.0422 ดอลลาร์สหรัฐต่อหน่วย ราคาเสนอซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ 0.0508 ดอลลาร์

ที่มา: https://www.mmtimes.com/news/china-backed-solar-projects-be-completed-april.html