สปป.ลาวอาจไม่สำเร็จการหลุดพ้นจากสถานะประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดในปี 67

รองนายกรัฐมนตรีสปป.ลาว กล่าวกับสมาชิกสมัชชาแห่งชาติว่า องค์การสหประชาชาติกำลังประเมินความเป็นไปได้ที่สปป.ลาวจะหลุดพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) ในปี 67 ซึ่งสปป.ลาวจำเป็นต้องรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลโดยละเอียดมากขึ้น การวิเคราะห์ผลกระทบของการระบาดอย่างละเอียดต่อการหลุดพ้นจากสถานะ LDC สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการพัฒนาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เกณฑ์ที่กำหนดโดยสหประชาชาติในการหลุดพ้นจากสถานะ LDC ที่ประเทศต่างๆจะต้องบรรลุเป้าหมายบางประการ ที่เกี่ยวข้องกับดัชนีสินทรัพย์มนุษย์ (HAI) ซึ่งประเมินเป้าหมายด้านสุขภาพและการศึกษาความเปราะบางทางเศรษฐกิจ (EVI) และรายได้ประชาชาติมวลรวม (GNI) ต่อหัว การทบทวนของสปป.ลาวในปี 62 พบว่าประเทศนั้นมีคุณสมบัติ GNI ต่อหัวและ HAI ตรงตามข้อกำหนด แต่ดัชนีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ (EVI) ไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด -19 สปป.ลาวต้องเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาหลายประการรวมถึงผลกระทบที่สำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดย คาดว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ 3.3 % ในปีนี้ แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าสปป.ลาวต้องพัฒนาพื้นที่ชนบทและขจัดความยากจนทั่วประเทศ

ที่มา :  https://laotiantimes.com/2020/11/05/laos-may-graduate-from-least-developed-country-in-2024/

การค้าระหว่างกัมพูชากับสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่งแม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยสถิติจากหน่วยงานของทางสหรัฐฯตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายนแสดงให้เห็นว่าการค้าทวิภาคีมีมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งกัมพูชาส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังสหรัฐฯรวมมูลค่า 4.8 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่กัมพูชานำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯรวม 232 ล้านดอลลาร์ลดลงถึงร้อยละ 40 เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยกัมพูชาส่งออกสิ่งทอ รองเท้า สินค้าทางการเกษตรไปยังสหรัฐฯ และนำเข้ายานพาหนะ อาหารสัตว์ และเครื่องจักรเป็นหลัก ซึ่งเมื่อปีที่แล้วการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศมีมูลค่าอยู่ที่ 5.8 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับปี 2018

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50780103/cambodia-us-trade-increase-16-percent-in-the-first-nine-months/

SME bank กัมพูชาเริ่มเปิดดำเนินการอีกครั้งสำหรับภาคธุรกิจ

ธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) แห่งกัมพูชาจะเริ่มดำเนินการด้านการธนาคารในวันนี้ ณ กรุงพนมเปญ ในฐานะธนาคารที่ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับทางภาครัฐบนเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของรัฐบาลกัมพูชา ตามที่กำหนดไว้ภายใต้นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมของกัมพูชา พ.ศ. 2015-2025 โดยธนาคารจะส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มากขึ้นสำหรับเอสเอ็มอีในภาคส่วนที่มีความสำคัญ เช่น การผลิตและแปรรูปอาหาร การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในท้องถิ่น การรีไซเคิลขยะ การผลิตสินค้าสำหรับภาคการท่องเที่ยว การผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ชิ้นส่วนอะไหล่หรือการประกอบชิ้นส่วน และการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลและเทคโนโลยี (IT)

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50780008/sme-bank-of-cambodia-open-for-business/

INFOGRAPHIC : เวียดนามดึงดูด FDI ถึง 23.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้

กระทรวงวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม (MPI) เปิดเผยว่าเวียดนามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) 23.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้

โดยเงินลงทุนจากโครงการใหม่จำนวน 2,100 โครงการรวมมูลค่า 11.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, จำนวน 907 โครงการที่ปรับเพิ่มเงินทุนมูลค่าน้อยกว่า 5.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจำนวน 5,451 โครงการที่มีการซื้อหุ้นกิจการจากนักลงทุนต่างประเทศ มูลค่า 6.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

สิงค์โปร์เป็นประเทศที่มีการลงทุนมากที่สุด ด้วยมูลค่าการลงทุน 7.51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 31.9 ของเงินทุนรวมจากต่างประเทศ รองลงมาเกาหลีใต้ มีมูลค่า 3.42 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 14.6, จีน มีมูลค่า 2.17 คิดเป็นร้อยละ 9.2 และประเทศอื่นๆ มีมูลค่า 10.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 44.3

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/vietnam-attracts-2348-billion-usd-in-fdi-in-ten-months/189661.vnp

อีคอมเมิร์ซเป็นเครื่องมือที่ธุรกิจเวียดนามจะขาดไม่ได้

รองผู้อำนวยการอุตสาหกรรมและการค้าของเมืองโฮจิมินห์ กล่าวว่าท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปยังทั่วโลก อีคอมเมิร์ซถือเป้นเครื่องมือหนึ่งที่ธุรกิจในท้องถิ่นขาดไม่ได้ในการขยายการดำเนินงานและกิจกรรมทางการค้า โดยอเมซอน (Amazon) เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในฐานะตัวเลือกการจับจ่ายสินค้าที่สะดวกและมีความปลอดภัยแก่ผู้ค้าเวียดนาม ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การค้าโลก (WTO) ระบุว่าสถานการณ์การแพร่ะระบาดของไวรัส ส่งผลให้อีคอมเมิร์ซเป็นทางออกของผู้บริโภคในช่วงวิกฤตดังกล่าวและยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงผลักดันธุรกิจขนาดย่อมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม รองผู้อำนวยการแผนกอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่าในช่วงเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอยในปีนี้ แต่ว่าเศรษฐกิจเวียดนามยังอยู่ในทิศทางที่เป็นบวก ถึงแม้อัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับต่ำที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการดำเนินงานทั้งการควบคุมการระบาดและการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ อีคอมเมิร์ซจึงเป็นกลไกที่สำคัญของเศรษฐกิจเวียดนาม ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 14 ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

ที่มา : http://hanoitimes.vn/e-commerce-to-become-indispensable-instrument-for-vietnam-enterprises-314716.html

เศรษฐกิจดิจิทัลเวียดนามในปี 68 คาดพุ่ง 43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

งานสัมมนาในหัวข้อ “การพัฒนาอีคอมเมิร์ซเวียดนามในยุคดิจิทัล” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พ.ย. ณ กรุงฮานอย เผยว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของเวียดนามและอินโดนีเซียมีอัตราการขยายตัวสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 38 ต่อปี ในขณะที่ ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน มีอัตราการเติบโตร้อยละ 20-30 ต่อปี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจที่รวดเร็วในปัจจุบัน สาเหตุส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการแพร่ะบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นแรงผลักดันให้ลูกค้าเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซ ด้วยเหตุนี้ เศรษฐกิจดิจิทัลในปี 2562 มีมูลค่าแตะ 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะสูงถึง 43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 รวมถึงบริการเดินทางออนไลน์ สื่อออนไลน์และยานพาหนะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการกระทรวงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่ามิติที่ 749 ของนายกรัฐมนตรีเหงวียนซวนฟุกเกี่ยวกับการกำหนดวิสัยทัศน์ในปี 2568 ซึ่งเศรษฐกิจดิจิทัล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของ GDP และได้ตั้งเป้ามูลค่าของอีคอมเมิร์ซค้าปลีกและบริการ อยู่ที่ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568

ที่มา : https://vietreader.com/business/finance/22025-vietnamese-digital-economy-expected-to-jump-to-us43-billion-by-2025.html

ปี 65 เมียนมาเดินหน้าสร้างทางด่วน พะโค-ไจ้โต

จากข้อมูลของกรมทางหลวง กระทรวงการก่อสร้างเผย การก่อสร้างทางด่วนที่เชื่อมระหว่างเมืองพะโคและเมืองไจ้โตในรัฐมอญคาดว่าจะเริ่มได้ในปีงบประมาณ 2565-2566 โดยจะได้รับเงินกู้ยืม 483.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB)  เพื่อสร้างทางด่วนระยะทาง 64 กม. โครงการนี้ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2571-2572 โดยจะมีสะพานข้ามแม่น้ำสีตึ้งยาว 2.3 กม. และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) จะเป็นผู้จัดหาเงินทุนสำหรับก่อสร้างสะพาน New Sittaung ด้วยเงินกู้ 27.8 พันล้านเยน ซึ่งโครงการนี้อยู่ภายใต้ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ทั้งนี้ทางหลวงจากพะโคถึงไจ้โตจะช่วยให้เข้าถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวาและไปใกล้ย่างกุ้งได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง EWEC ยังเชื่อมต่อไทยกับเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวาและต่อไปยังพะสิมในเขตอิรวดี

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/construction-bago-kyaik-hto-expressway-commence-2022.html

ดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง หวั่นกระทบส่งออกเมียนมา

ผู้ส่งออกเมียนมากังวลการค้าระหว่างประเทศและรายได้จากการส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากความต้องการที่ลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงจากธนาคารกลางเมียนมา (CBM) ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน อยู่ที่ 1,287.4 จัตต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 ปี กระทรวงพาณิชย์ระบุว่าปริมาณการค้าในช่วงสามสัปดาห์แรกของปีงบประมาณปัจจุบันน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ที่ได้รับในช่วงเวลาเดียวกันของงบประมาณ 62-63 ตลาดส่งออกเริ่มแย่ลงจากพิษ COVID-19 ยังได้รับผลกระทบค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า หากยังลดลงอย่างนี้ผู้ส่งออกย่อมมีโอกาสขาดทุน รัฐบาลและ CBM จะต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น นักวิเคราะห์การเงินคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอาจยังคงต่ำกว่า 1300 จัตต่อดอลลาร์สหรัฐไปอีกระยะ ทั้งยังชี้ให้เห็นว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐได้พิมพ์และใช้เงินจำนวน 3 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาและหากยังพิมพ์ธนบัตรต่อไปยิ่งทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงไปอีก

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/myanmar-exporters-concerned-over-falling-dollar-rate.html

รัฐบาลสปป.ลาวให้คำมั่นว่าจะลดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับเหมาะสม

รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะลดการขาดดุลการคลังให้เหลือเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทุกปีเริ่มตั้งแต่ปี 2564-2568 คำมั่นสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่สปป.ลาวกำลังพยายามลดหนี้สาธารณะและบรรเทาความตึงเครียดด้านงบประมาณที่ขาดดุลต่อเนื่องจากช่วงทศวรรษที่ผ่านมาสปป.ลาวมีโครงการลงทุนใหญ่มากมายไม่ว่าจะเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำหรือเมกาโปรเจกต์อย่างโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจีน-สปป.ลาว ทำให้สปป.ลาวมีความเสี่ยงที่อาจผิดนัดชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้และเงินคงคลังที่ไม่สมดุลกับรายจ่ายของประเทศทั้งนี้การที่จะลดการขาดแคลนงบประมาณ รัฐบาลจะต้องลดการใช้จ่ายซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในระยะยาวรัฐบาลจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการจัดการการขาดดุลและทำให้แน่ใจว่าหนี้ของประเทศอยู่ภายใต้การควบคุม ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่สปป.ลาวกำลังเผชิญกับความตรึงเครียดของเศรษฐกิจจากรระบาดของ COVID-19

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Govt216.php

ผู้ค้าข้าวในกัมพูชากล่าวถึงการถูกขัดขวางการส่งออกด้วยปัจจัยหลายประการ

กัมพูชาส่งออกข้าวประมาณ 30,000 ตัน ในช่วงปี 2009 และ ทางภาครัฐบาลกัมพูชาได้มีการใช้นโยบายในการช่วยกระตุ้นการส่งออกซึ่งในปัจจุบันกัมพูชามีการส่งออกข้าวสารโดยประมาณ 600,000 ตันต่อปี โดยในปี 2015 รัฐบาลตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวสารไว้ที่ 1 ล้านตัน ภายในปี 2020 ซึ่งคนวงการข้าวกล่าวว่าปัญหาต่างๆยังคงไม่ได้รับการแก้ไขมาหลายปี แม้จะมีการจัดตั้งคณะทำงานด้านเทคนิค (TWG) ด้านข้าวเมื่อ 5 ปีก่อน ไปจนถึงปัญหาด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังคงต้องการได้รับการพัฒนาเพื่อให้อุตสาหกรรมการผลิตข้าวสามารถแข่งขันได้และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งระบบชลประทานของประเทศไม่ได้รับการออกแบบและจัดการที่ดีมากในอดีต โดยในปัจจุบันกัมพูชาส่งออกข้าวเปลือกที่ 536,305 ตัน ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2020 ซึ่งเป็นข้าวหอมประมาณ 421,132 ตัน ตามที่กระทรวงเกษตรระบุ

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50779265/rice-exports-hindered-by-a-number-of-factors-says-an-insider/