บริษัทเหล็กเวียดนาม “Hoa Phat Steel Sheet” ได้เปรียบการส่งออกจาก FTA

ข้อตกลงการค้าเสรีสหภาพยุโรป-เวียดนาม (EVFTA), ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน และข้อตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวทั้งหมด ก่อให้เกิดข้อได้เปรียบต่อบริษัทในแง่ภาษีศุลกากรจากยุโรป อาเซียน จีนและกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก โดยเมื่อเร็วๆนี้ ได้ร่วมลงนามสัญญาหลายฉบับ เพื่อส่งออกสินค้าไปยังตลาดเอเชีย ยุโรปและเม็กซิโก เป็นต้น ด้วยจำนวนแผ่นเหล็ก 10,000 ตันไปยังไทย ทั้งนี้ โรงงาน Dung Quat ของหวาฟัต ประสบความสำเร็จในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตของอิตาลี นอกจากนี้ สินค้าในปัจจุบันได้วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก ยุโรป ออสเตรเลีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย กัมพูชาและประเทศอื่นๆ

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/hoa-phat-steel-sheet-enjoying-export-advantages-from-ftas-417781.vov

รัฐบาลสปป.ลาวและUN Habitat ดำเนินการระยะสองในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ

รัฐบาลสปป.ลาวและUN Habitat จะเริ่มดำเนินการในระยะที่สองของโครงการ Adaptation Fund ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตกในภาคกลางของสปป.ลาว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำให้เข้ากับการวางผังเมืองรวมถึงมีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง บันทึกความเข้าใจ (MOU) สำหรับกองทุนดำเนินการในระยะที่สองของโครงการ Adaptation Fund ได้รับความร่วมมือระหว่างกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งและมูลนิธิที่อยู่อาศัยของสหประชาชาติ ซึ่งภายในงานนางวิไลคำรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงโยธาธิการและคมนาคมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของน้ำ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้วัดความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน และเธอหวังว่าโครงการดังกล่าวจะเข้าถึงผู้คนที่เปราะบางมากขึ้น การพัฒนาการโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำดังกล่าว จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่ในการทำให้แนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตกในภาคกลางของสปป.ลาว แข็งแกร่งและดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนได้มากขึ้นและเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกจสปป.ลาวต่อไป

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Ministry_165.php

สปป.ลาวและญี่ปุ่นลงนามข้อตกลงเปิดช่องทางการเดินทางระหว่างประเทศ

ญี่ปุ่นและสปป.ลาวลงนามข้อตกลงที่จะให้ชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวสามารถกลับมาเดินทางระหว่างสองประเทศได้ ซึ่งคาดการณ์จะเริ่มทำได้เร็วที่สุดในเดือนกันยายน ปัจจุบันญี่ปุ่นกำลังก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศริมแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในสปป.ลาวที่มีอัตราการเติบโตของภาคเศรษฐกิจที่ดีนอกเหนือจากความร่วมมือกับญี่ปุ่น สปป.ลาวยังได้ลงนามความร่วมมือระหว่างจีนและกลุ่มแม่น้ำโขลงที่ประกอบด้วย 6 ประเทศ ได้แก่ จีน กัมพูชา เมียนมาร์ สปป.ลาว ไทยและเวียดนาม การร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมสร้างในด้านความมั่นคงด้านอาหารและที่สำคัญช่วยส่งเสริมการค้าของสปป.ลาว แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้กลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขลงต้องหารือถึงแนวทางการป้องการแพร่ระบาดระลอกใหม่และมาตราการบรรเทาหรือฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้ง ซึ่งไทย จีน ญี่ปุ่น พร้อมที่จะช่วยเหลือประเทศในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขลงทั้งในด้านเงินทุน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ในการรับมือ COVID-19 เพื่อให้เศรษฐกิจสปป.ลาวกลับมาเติบโตได้ตามเป้าอีกครั้ง 

ที่มา : https://www.ttrweekly.com/site/2020/08/laos-and-japan-to-open-travel-channel/

DICA และ MIC ออกแนวปฏิบัติในการรับชาวต่างชาติเข้าทำธุรกิจในประเทศ

คณะกรรมการด้านการลงทุนและจดทะเบียนธุรกิจ (DICA) และคณะกรรมการการลงทุนของประเทศเมียนมา (MIC) ได้ออกแนวปฏิบัติสำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ต้องการกลับไปยังเมียนมาเพื่อทำธุรกิจเร่งด่วนในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 ซึ่งทั้งสององค์กรได้ร้องขอให้รัฐบาลอนุญาตให้พนักงานชาวต่างชาติที่ทำงานในบริษัทที่จดทะเบียนกับ MIC และ Myanmar Companies Online (MyCO) ให้บินกลับเข้าไปในเมียนมา ชาวต่างชาติที่ต้องการบินกลับเมียนมาจากต่างประเทศจะได้รับการตรวจและคัดกรองโดยกระทรวงการลงทุนและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่างประเทศ (MIFER) ว่ามีธุระด่วนในประเทศจริงหรือไม่ เนื่องปัจจุบันกระทรวงแรงงานการตรวจคนเข้าเมืองและประชากรไม่ได้ออกวีซ่าขาเข้าสำหรับนักเดินทางชาวต่างชาติ ดังนั้นนักลงทุนต่างชาติที่ทำงานในบริษัทที่จดทะเบียนภายใต้ MIC และ MyCO และรวมถึงเจ้าหน้าที่และสมาชิกในครอบครัวจะต้องติดต่อสถานทูตเมียนมาในประเทศของตนเสียก่อน สำหรับการบินเข้าประเทศ MIC และ DICA จะร่วมคัดกรองกรองผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เดินทางที่ได้รับแจ้งจากสถานทูตเมียนมา กระทรวงการต่างประเทศและ MIFER

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/dica-mic-issue-guidelines-returning-foreign-executives.html

เมียนมามีแผนสร้างสะพานในอิระวดี-รัฐฉาน

จากข้อมูลของกระทรวงการก่อสร้าง สะพานปะเต็ง 2 (Pathein 2) ซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับถนน Mahabandoola ของเมืองปะเต็ง กับฝั่งตะวันตกของแม่น้ำงะวูน (Ngawun) ในเขตอิรวดีจะเปิดให้สัญจรใช้งานอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2563 สะพานถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการจราจรที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากการขยายที่อยู่อาศัยริมแม่น้ำ ซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม รถโดยสารจะสามารถใช้สะพานได้ระหว่างเวลา 05.00 น. ถึง 19.00 น. ก่อนการเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนหน้า สะพานมีความยาว 725 เมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ขณะนี้กระทรวงการก่อสร้างกำลังขออนุมัติเพื่อสร้างสะพานแห่งใหม่ในเมือง Thanlwin ชองรัฐฉานโดยใช้เงินกู้ 8.4 ล้านยูโรจากออสเตรีย Thanlwin Bridge ปัจจุบันเชื่อมระหว่างเมียนมาตอนกลางกับรัฐฉานถูกใช้งานมาตั้งแต่ปี 2542 ทำให้สามารถรองรับน้ำหนักได้ครั้งละ 16 ตันเท่านั้นเมื่อเทียบกับความจุเดิมที่ 30 ตัน ดังนั้นต้องย้ายสินค้าจากรถบรรทุกขนาดใหญ่ไปยังรถขนาดเล็กเพื่อให้สินค้าผ่านได้ต้องใช้เวลานานเกินและไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ สะพานสายใหม่มีความยาว 870 ฟุตและรับน้ำหนักได้สูงสุด 60 ตัน เงินกู้ซึ่งได้รับการอนุมัติจากธนาคาร Uni Credit ของออสเตรียจะปลอดดอกเบี้ยและมีกำหนดชำระคืนภายใน 28.5 ปี ซึ่งรวมระยะเวลาผ่อนผัน 14 ปี

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/new-bridge-infrastructure-planned-ayeyarwady-shan.html

กัมพูชาเรียกร้องให้มีการพัฒนาพื้นที่ใกล้สนามบินเพิ่มเติม

รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้นักพัฒนาภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ความสำคัญกับโครงการพัฒนาในพื้นที่ของสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ใกล้เมืองหลวง โดยรัฐบาลสนับสนุนความร่วมมือระหว่างนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลมองว่าภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในกัมพูชาในปัจจุบัน ซึ่งสนามบินนานาชาติพนมเปญแห่งใหม่ตั้งอยู่ในจังหวัดทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ อยู่ระหว่างการพัฒนาโดย Cambodia Airport Investment Co Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม บริษัท ในท้องถิ่น OCIC และสำนักงานเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐของรัฐบาล โดยมูลค่าโครงการเพื่อการลงทุนอยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์ ตามตัวเลขของกระทรวงการจัดการที่ดินการวางผังเมืองและการก่อสร้างมีโครงการกว่า 2,522 โครงการที่ได้รับการอนุมัติในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ด้วยมูลค่ากว่า 3.842 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1,047 โครงการ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 13.26

ที่มา : https://www.khmertimeskh.com/50756645/call-for-more-development-near-capitals-new-airport/

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชากับไทยในช่วง 7 เดือนแรก

การค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชาและไทยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 4,555 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ลดลงร้อยละ 10.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคมกัมพูชาส่งออกสินค้าไปยังประเทศไทยมูลค่า 839 ล้านดอลลาร์ ลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปีที่ร้อยละ 21.13 ตามประกาศตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ของไทย ซึ่งกัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทยทั้งสิ้น 3,716 ล้านดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 7.27 เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยเมื่อปีที่แล้วการค้าทวิภาคีระหว่างกัมพูชากับไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.28 สู่ 9,418 ล้านดอลลาร์  ซึ่งคิดเป็นกัมพูชาส่งออก 2,272 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 195

ที่มา : https://en.khmerpostasia.com/2020/08/25/cambodia-thailand-bilateral-trade-reaches-us4-5-billion-in-first-seven-months/

INFOGRAPHIC : เมืองญาจางติดท็อป 10 จุดหมายของการดำน้ำในปี 2563

Forbes นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจและการเงินในสหรัฐอเมริกา จัดอันดับเกาะมุน (Hon Mun) จังหวัดคั้ญฮหว่า เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง 10 แห่ง ที่ต้องดำน้ำ (Must-Dive) ในปี 2563

ที่มา : https://m-english.vov.vn/travel/nha-trang-among-top-10-destinations-for-diving-in-2020-410466.vov