รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา รับรองแผนพัฒนาภาคการศึกษาและการกีฬา (ESSDP)

Mrs.Sengdeuane Lachanthaboun รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา ได้ให้การรับรองแผนพัฒนาภาคการศึกษาและการกีฬา (ESSDP) พ.ศ. 2564-2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสนับสนุนให้ประชาชนสปป.ลาวมีการศึกษาที่ดีขึ้นนอกจากนี้แผนยังครอบคลุมถึงการจัดการโครงสร้างทรัพยากรอย่างเหมาะสม ซึ่งแผนพัฒนาESSDP จะมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินงาน 5 ปี โดยกระทรวงจะมุ่งเน้นไปที่ความรับผิดชอบและโครงการพัฒนาที่เฉพาะเจาะจงเช่น การศึกษานอกระบบการศึกษาปฐมวัย รวมถึงโครงการพัฒนาอาชีวศึกษา  Mrs.Sengdeuane Lachanthaboun กล่าวเพิ่มเติมว่า      “สิ่งสำคัญในการจะบรรลุเป้าหมายของแผนดังกล่าวได้ คือการประสานระหว่างหน่วยงานทั้งในและนอกประเทศที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้แก่สปป.ลาว รวมถึงการติดตามรายงานผลอย่างต่อเนื่องเพื่อกำหนดทิศทางของกลยุทธ์และแนวทางนโยบายต่างๆต่อไป”

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Education150.php

รายงานภาวะเศรษฐกิจครึ่งปี 63 เศรษฐกิจสปป.ลาวมีแนวโน้มที่ดี

ตามรายงานการประเมินเศรษฐกิจมหภาคที่เปิดเผยโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติพบว่าตัวชี้วัดเศรษฐกิจสปป.ลาวบางประการมีแนวโน้มที่ดีในช่วงครึ่งปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงตกต่ำและมีความไม่แน่นอนทั่วโลกจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ด้านการส่งออกพบว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่เดือนมิถุนายนเมื่อทางการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนระหว่างสปป.ลาวและเพื่อนบ้าน ด้านการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติในสปป.ลาวลดลงร้อยละ 60 ในช่วงครึ่งปีนี้ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตราการเพื่อบรรเทาและช่วยเหลือภาคต่างๆ รวมถึงธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินได้ชะลอการชำระคืนเงินกู้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเพื่อตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเพื่อบรรเทาและช่วยเหลือภาคธุรกิจ ปัจจุบันถึงแม้สถานการณ์การ COVID-19 ในสปป.ลาวจะดีขึ้นแต่ตัวชี้วัดสำคัญอย่างอัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม ทำให้รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกลับแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างจริงจัง

ที่มา : http://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Study.php

ทุนญี่ปุ่น เบนเข็มสู่อาเซียน ใครได้ประโยชน์?

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (มิติ) ของญี่ปุ่น ได้ประกาศว่ามีกลุ่มบริษัทญี่ปุ่นรวม 87 แห่งมีความประสงค์ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ให้เงินอุดหนุนในการโยกย้ายหรือกระจายการลงทุนในวงเงิน 70,000 ล้านเยน หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาฐานการผลิตในจีน และเพื่อให้ญี่ปุ่นสามารถบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สาเหตุการย้ายฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นออกจากจีน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม หลายอุตสาหกรรมต้องชะงักงันจากการปิดประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อระบบซัพพลายเชน ทั้งนี้ 87 บริษัทญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตออกจากจีนแล้วไปไหน พบว่า 57 บริษัทจะย้ายการดำเนินการกลับไปญี่ปุ่น โดยใช้วัสดุท้องถิ่นทั้งหมด ขณะที่อีก 30 บริษัทจะย้ายฐานการผลิตมายังอาเซียน ซึ่งพบว่าจะย้ายมาเวียดนาม 15 บริษัท อาทิ บริษัทผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดไดร์ฟ บริษัทผลิตแร่เหล็กหายาก, ไทย 6 บริษัท ได้แก่ บริษัทผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อ บริษัทผลิตโลหะผสม บริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ บริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ บริษัทผลิตเสื้อกาวน์, มาเลเซีย 4 บริษัท อาทิ บริษัทผลิตถุงมือยาง, ฟิลิปปินส์ 3 บริษัท, ลาว 2 บริษัท, อินโดนีเซีย 1 บริษัท และเมียนมา 1 บริษัท

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/894038?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=economic=10473&index

ย่างกุ้งเตรียมผลักดันโครงการ FDI ขนาดใหญ่ 3 โครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

คณะกรรมการการลงทุนของย่างกุ้งเปิดเผยว่ากำลังเร่งจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการของเขตอุตสาหกรรม 3 แห่ง ซึ่งจะช่วยธุรกิจในท้องถิ่นและสร้างโอกาสในการทำงานในภูมิภาคเนื่องจากการลงทุนใหม่อื่น ๆ อาจใช้เวลาเนื่องจากข้อจำกัดด้านการเดินทางที่เกิดจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โครงการทั้ง 3 ได้แก่ Hlegu Industrial Park, Yangon Amata Smart Eco City และ Korea-Myanmar Industrial Complex ซึ่งทั้ง 3 โครงการได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการลงทุนของเมียนมา (MIC) โดยโครงการ Hlegu Industrial Park มีมูลค่า 230.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มบริษัท Sembcorp Industries ในสิงคโปร์ครอบคลุมพื้นที่ 566 เฮกตาร์ในเมืองแลกูและเมืองย่างกุ้ง ข้อตกลงสำหรับโครงการนี้ลงนามโดย Sembcorp CSSD Myanmar Co และพันธมิตรในพื้นที่ Phatama Group Co Ltd และ Myanmar Agribusiness Public Corp (MAPCO) โครงการที่ 2 ศูนย์อุตสาหกรรมเกาหลี – เมียนมาร์ (Korea-Myanmar Industrial Complex : KMIC) เป็นโครงการของรัฐกับรัฐ (G2G) ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งอยู่ในเมืองแลกูและเมืองย่างกุ้งซึ่งจะเริ่มดำเนินการก่อนสิ้นปีนี้ โครงการที่ 3 Yangon Amata Smart Eco City  มีมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โครงการนี้จะเกี่ยวข้องกับกรมพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยและอมตะเอเชีย (เมียนมา) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศไทยคืออมตะคอร์ปอเรชัน การพัฒนาจะอยู่ในเขตเมือง East Dagon โครงการการลงทุนใหม่นี้เป็นโครงการจากต่างประเทศ 2 โครงการมูลค่า 6.94 ล้านดอลลาร์สหรัฐและการลงทุนในประเทศ 1 โครงการมูลค่า 2.17 พันล้านจัตในภาคการผลิต คาดว่าจะสร้างโอกาสในการทำงาน 1,073 คน

ที่มา : https://www.mmtimes.com/news/yangon-push-three-large-fdi-projects-boost-economy.html

ตลาดอีคอมเมิร์ซเวียดนามโต 25% ปี 2562

จากรายงาน “e-Commerce White Book 2020” ของหน่วยงานเศรษฐกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซเวียดนาม (iDEA) เปิดเผยว่าในปี 2562 รายได้ของธุรกิจ B2C อยู่ที่ 10.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ซึ่งจำนวนคนช้อปปิ้งออนไลน์ที่ 44.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 225 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว สูงกว่าเมื่อเทียบกับปี 2561 ราว 23 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ทางผู้อำนวยการของ iDEA กล่าวว่าในปี 2562 เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซเวียดนาม เมื่อเวียดนามดำเนินตามแผ่นแม่บทที่รัฐบาลตั้งไว้แก่อีคอมเมิร์ซในปี 2559-2563 อีกทั้ง เวียดนามตั้งเป้าการเติบโตของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซที่ร้อยละ 25 ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ในปัจจุบัน เวียดนามเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุด ติดอันดับที่ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย

ที่มา : https://en.vietnamplus.vn/e-commerce-revenue-grows-25-percent-in-2019/180457.vnp

เวียดนามเผยการบริโภคเหล็กลดลง 9.6% ในช่วง 7 เดือนแรก

สมาคมเหล็กเวียดนาม (VSA) เผยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ การบริโภคเหล็กของเวียดนามอยู่ที่ 12.7 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 9.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยคาดว่าตลาดเหล็กทั่วโลกจะกลับมาปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แต่ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงระบาดอยู่จนถึงตอนนี้ ประกอบกับเวียดนามประสบปัญหาการขายเหล็กในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากหลายๆประเทศยังคงล็อกดาวน์อยู่และการหยุดชะงักของซัพพลายเชน ทั้งนี้ สมาคมฯ ระบุว่าผู้ส่งออกเหล็กชาวเวียดนามจำเป็นต้องพิจารณาเกี่ยวกับการควบคุมผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปที่ส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากรายการสินค้าดังกล่าว ได้รับการแจ้งเตือนถึงมาตรการป้องกันทางการค้า นอกเหนือจากมาตรฐานด้านเทคนิคและมาตรฐานแหล่งกำเนิดสินค้าแล้ว ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับเงื่อนไขป้องกันทางการค้า เมื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และยุโรป

ที่มา : https://english.vov.vn/economy/steel-consumption-down-96-in-first-seven-months-417440.vov